เช้าวันใหม่ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ประโคมข่าวของงานหมั้นล่ม เพราะฝ่ายชายหนีหายไป พาวินีมองดูหนังสือพิมพ์น้ำตารื้น สงสารลูกจับใจ แหงนหน้ามองชั้นบนรู้แค่เพียงลูกยังหมกตัวอยู่ในนั้นไม่ยอมออกไปไหนเลย
“แม่จะทำยังไงดีลูก แม่ขอโทษ...”พาวินีเอ่ยกับตัวเองเสียงพร่าน้ำตานอง
เรนิกาเหม่อมองภายในห้องดวงตาแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนัก แสนอับอาย ไม่มีหน้าออกไปไหนเลย ป่านนี้นักข่าวคงประโคมข่าวเสียๆ หายๆ ไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าชายหน้าตาสุภาพเช่นนั้นจะทำเรื่องแบบนี้กับเธอ
“เรน...”
เสียงแม่เรียกอยู่หน้าห้องแต่เธอไม่ได้สนใจ ตอนนี้ไม่อยากฟัง ไม่อยากได้ยิน หรือพบหน้าใครทั้งนั้น มันเจ็บเสียจนอธิบายไม่ได้
“เรนได้ยินแม่ไหมลูก เปิดประตูหน่อยนะลูกนะ”เสียงเครือเอ่ยเรียกลูกอีกครั้ง หัวใจแม่แทบสลาย
ไม่มีเสียงใดตอบรับ พาวินีทรุดกายลงนั่งกับพื้น หยาดน้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาด มือยกขึ้นทาบประตู
“เรน... อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ต่อให้คนทั้งโลกไม่รักลูก แม่ก็ยังรัก... ต่อให้คนทั้งโลกจะต่อว่าด่าทอลูก แต่แม่จะเป็นคนให้กำลังใจลูก เรน... ทำเพื่อแม่ได้ไหม แม่ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรักลูก”พาวินีเอื้อนเอ่ยถ้อยคำในหัวใจออกไป หวังเพียงลูกจะได้ยินและรับรู้ถึงความรักนี้
แอด...
ประตูเปิดออกร่างบางหยุดยืนต่อหน้าแม่น้ำตานอง พาวินีลุกยืนกอดกระชับลูกสะอื้นพร้อมกัน มือแม่ลูบไล้แผ่นหลังปลอบประโลมด้วยความรัก ยามนี้คิดได้ขึ้นมาตนเองไม่ควรจมอยู่กับความผิดหวัง พี่ทิวาต่างหากควรชดใช้กับเรื่องนี้ เธอจะตามหาตัวเขาให้เจอเพื่อทำให้ชายคนนี้ยอมเอ่ยขอโทษเธอต่อหน้าสื่อในประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะติดตามไปจนกว่าจะเจอ
เรนิกาหันมองนาฬิกาที่พนังบอกเวลาหกโมงเช้า เธอสะบัดผ้าห่มออกคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ยืนมองตนเองในกระจกแววตามุ่งมั่นต้องชำระแค้นกับเขาให้ได้ ร่างบางสาวเท้าลงมาชั้นล่างหลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ มองเห็นมารดากำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ถอนใจออกมายกใหญ่
เธอหยุดยืนด้านหลังมารดากวาดตามองตัวหนังสืออ่านข่าวตนเอง ยังไม่เลิกลงข่าวของเธออีก เรนิกาถอนใจออกมาจนพาวินีชะงักหันมอง
“เรน! มาได้ยังไงลูก”รีบปิดหนังสือพิมพ์ด้วยความตกใจ
“ลงมานานแล้วล่ะค่ะ จนได้อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์พร้อมกับแม่นี่แหละค่ะ”ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมสีขาว สาวใช้นำอาหารมาตั้งโต๊ะในยามเช้า
“จะไปไหนเหรอลูก แต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอก”
“ไปทำธุระนิดหน่อยค่ะ”พยายามตอบเลี่ยงไม่อยากให้มารดารู้ว่าตนเองคิดทำอะไร
“ธุระ? ที่ไหนเหรอลูก”
ดวงตาจดจ้องลูกราวต้องการจับผิด เรนิกายิ้มกลบเกลื่อนพยายามหาข้อแก้ตัวให้ตนเอง
“เรนนัดกับยัยอรไว้ค่ะ จะไปช็อปปิ้งแล้วก็จะหาที่เรียนภาษาด้วยค่ะ”พูดออกมาแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ถ้าจะไปเที่ยวกับอรก็ไปเถอะลูก อย่ากลับให้ดึกนักนะเรน ออกไปข้างนอกถ้าได้ยินอะไรอย่าไปฟังพวกเค้านะ”พาวินีพยายามเตือน รู้สึกเป็นห่วงกลัวลูกจะคิดมากหากได้ยินคำนินทาผู้อื่น
“ค่ะ ไม่ต้องห่วงเรนค่ะแม่ เรนเข้มแข็งพอที่จะรับฟังเรื่องเหล่านั้นแล้วล่ะค่ะ”แววตามุ่งมั่นตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำให้แม่ต้องเสียใจ และไม่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บ
เรนิกาหยิบกุญแจรถแล้วสาวเท้าถึงโรงรถมือบางเอื้อมเปิดประตูลงนั่งประจำที่คนขับ เธอเคลื่อนมันออกด้วยใจมุ่งมั่นมือข้างหนึ่งหยิบโทรศัพท์กดเบอร์หนุ่มเป้าหมายในการสืบสาวความจริงว่าทิวากรอยู่ที่ใด
“สวัสดีครับ”ปลายสายตอบรับ
“พี่พสิน เรนเองนะคะ!”
พสินชะงักชั่วครู่ มือชื่นเหงื่อขึ้นมาทันใดเมื่อทราบว่าปลายสายคือใคร
“ครับ ว่าไงครับน้องเรน”น้ำเสียงสั่นๆ ตอบกลับมา
“พี่พสินทราบไหมคะว่าพี่ทิวาอยู่ที่ไหน!”
“เอ่อ....”
อีกฝ่ายพูดไม่ออกอึกอักยกใหญ่ จนกระทั่งหญิงสาวชักหงุดหงิดขึ้นมา
“พี่พสินได้ยินที่เรนพูดไหมคะ!”ตะโกนเสียงลั่นคนรับสายสะดุ้ง ยกมือเกาศีรษะอันเป็นกิริยาที่อีกฝ่ายไม่เห็น
“เอ่อ... คือ... พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่า... น้องเรนต้องการพบไอ้ทิวามันทำไมเหรอ”ลองลอบถามดู บางทีเขาเองก็นึกสงสารเรนิกาเหมือนกันที่ต้องอับอายขายหน้า
หญิงสาวถอนใจออกมาริมฝีปากเม้มสนิท ตั้งสติระงับอารมณ์เพื่อบอกความมุ่งมั่น
“เรนต้องการคุยกับพี่ทิวาให้รู้เรื่องค่ะ อยากรู้ว่าพี่ทิวาต้องการอะไรกันแน่ ถ้าพี่ทิวาไม่ต้องการหมั้นกับเรนทำไมเขาถึงไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกหรือยกเลิกงานหมั้นไปเสีย เรนต้องการความรับผิดชอบ ต้องการ...คำขอโทษจากเขา”
พสินครุ่นคิดน้องเรนพูดถูก แม้แต่เขาก็ไม่ถูกใจกับการกระทำของเพื่อนเท่าใดนัก คนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มีไม่น้อย หากไม่ต้องการหมั้นทำไมไม่ปฏิเสธ
“น้องเรน... พี่ยอมแล้วล่ะ ไอ้ทิวามันอยู่คอนโดพี่ เดี๋ยวพี่จะบอกที่อยู่น้องเรนไปที่นั่นได้เลยนะพี่จะบอกให้พนักงานเปิดให้”
“ขอบคุณมากค่ะพี่พสิน”วางสายจากพสิน เธอรีบขับเคลื่อนรถไปยังเป้าหมายทันที