เมื่อสามปีที่แล้ว ในวันแรกที่กิ่งหลิวขนข้าวของ ขนแมวกลับมาอยู่บ้านนี้ เธอไม่สำเหนียกถึงภัยร้ายอะไรเลย ไม่แม้กระทั่งจะนึกถึงว่า ตัวเองจะกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกและไร้ตัวตนของคนบ้านนี้ในที่สุด
ถ้าเพียงแต่วันแรกที่เธอกับเพื่อนๆ ที่อุตส่าห์ลางานมาช่วยเธอขนของกลับบ้าน แล้วสังเกตสังกาถึงความรู้สึกนึกคิดของคนรอบข้างบ้าง อย่างน้อยก็ดูสีหน้าค่าตาของพี่สะใภ้สักนิด หรือเอะใจสักหน่อยว่า ทำไมชายหนุ่มของเธอถึงไม่สนใจเลย ทำไมเขาไม่ลางานแล้วมาช่วยเธอขนของเหมือนที่ยิหวากับเบญจ์กำลังทำอยู่
...เธอคงจะทั้งระวังระไว ...ระแวงเกรงกริ่งอะไรมากกว่านี้ แต่นี่เธอไม่เคยเลย...
อีกนานเป็นปีกว่าเธอจะรู้ว่า เขาคนนั้นไม่เหมือนเดิมกับเธออีกแล้ว... เขามีคนอื่นซ่อนไว้โดยที่เธอไม่เคยระแคะระคายเลย ซึ่งพอได้รู้แล้ว ทุกอย่างก็จบลงแค่นั้น
แม้ตอนนั้นจะเจ็บมาก ...แต่กิ่งหลิวก็ยังรู้สึกว่า มันเจ็บน้อยกว่าสิ่งที่เธอกำลังถูกกระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งต่อหน้าและลับหลังจากคนบ้านนี้
เธอยังจำบรรยากาศวันแรกที่เธอขนของกลับมาอยู่บ้านได้ดี
“ตายแล้ว น้องหลิว ข้าวของอะไรเยอะแยะขนาดนี้เนี่ย แล้วก็ไม่บอกกันก่อนเนิ่นๆ ดูสิเนี่ย ห้องเก่าเราตอนนี้ หลานมันก็เข้าไปยึดเสียแล้ว เอาไงดีพ่อ... แต่น้องหลิวคงอยู่ที่นี่ไม่นานใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวก็ต้องไปทำงานที่อื่นอีกใช่ไหม งั้นเอากองๆ ไว้หน้าโรงรถก่อนก็แล้วกันนะ อย่าเพิ่งไปวุ่นวายรื้อมันเลย เผื่อได้งานการไวก็จะได้ขนขึ้นรถอีกรอบ ไม่ต้องมานั่งห่อนั่งหุ้มให้เสียเวลาไง”
พี่สะใภ้ส่งเสียงเอะอะวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการในทันทีที่รถขนของเธอเข้ามาในบ้าน ในขณะที่พี่ชายได้แต่คอยปรายตามองเป็นระยะ และยังคงไม่ใส่ใจเลยอะไรนอกจากจดจ่ออยู่กับจอมือถือและแก้วเบียร์ตรงหน้า
ตอนนั้น กิ่งหลิวได้แต่ยืนงง เพราะเธอโทรมาเล่าเรื่องถูกให้ออกจากงาน และต้องขนของกลับมาอยู่บ้านในทันทีที่ได้รับเงินเลิกจ้างเรียบร้อยให้พี่ชายรู้ล่วงหน้าหลายวันแล้ว
...แต่ดูเหมือนว่าการเลิศจะไม่ได้บอกเมียกับลูกเขาให้รู้เรื่องนี้ด้วยเลยสักนิด
“เธอก็บอกบิวมันให้ย้ายกลับมานอนที่เดิมสิ อาหลิวกลับมาอยู่บ้านแล้ว ฉันบอกตั้งแต่ตอนสร้างบ้านแล้วว่านั่นห้องอาเขา ทำไมไม่รู้จักฟัง เออ...แล้วนั่นก็ข้าวของของหลิวเขา ก็แล้วแต่เขาจะจัดการซิ ไปยุ่งอะไรด้วยล่ะ”
พอถูกสามีปราม วิมลก็เดินหน้าตูมเข้าบ้านไป แล้วส่งเสียงปึงปังอยู่ข้างใน เสียงกระแทกโน่นนี่ดังโครมครามภายในบ้านดังขึ้นมาแทนเป็นระยะๆ
“บ้านก็หลังเล็กนิดเดียว อยู่ๆ กันไป คงมีใครสักคนอกแตกตายกันบ้างแหละ บ้านออกจะแคบ ยิ่งมีคนมาอยู่เพิ่มก็ยิ่งเกะกะ ใครทนได้ทนไปแล้วกัน”
พี่สะใภ้เอาแต่บ่นแบบนี้กระปอดกระแปดแบบนี้อยู่เสมอ หล่อนทำราวกับว่า กิ่งหลิวมาขออยู่ด้วย หรือเป็นแค่ผู้อาศัย... ทั้งๆ ที่บ้านหลังนี้ มีกิ่งหลิวเป็นเจ้าของอยู่ครึ่งหนึ่งแท้ๆ
หลังจากนั้น อีกนานเป็นเดือนกว่ากิ่งหลิวจะจัดการข้าวของห้องหับของเธอเรียบร้อย ส่วนเครื่องใช้ต่างๆ ที่เธอขนมาดวยนั้น จากที่พี่สะใภ้บอกว่า ยังไม่ต้องแกะอะไรออกมาเพราะจะได้ไม่เสียเวลาห่อหุ้มอีกนั้น กลายเป็นว่า อยู่ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นภายในบ้านมีอันใช้ไม่ได้ หรือไบเบิ้ลกับบิว จำเป็นต้องใช้
ซึ่งกิ่งหลิวก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรนัก เพราะเธอคิดว่า ในเมื่อของมันมีอยู่แล้ว และคนในบ้านจำเป็นต้องใช้ ก็ให้เขาไปใช้มีประโยชน์กว่า ...ดีเสียอีกที่ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อของใหม่ มีอะไรใช้ได้ก็ใช้ไป เธอไม่ใช่คนขี้งกขี้หวงสักหน่อย
เมื่อกลับมาอยู่บ้านช่วงแรกๆ กิ่งหลิวก็คิดว่า ที่นี่คือ “บ้าน” ของเธอ แม้ว่าจะไม่มีแม่กับพ่ออยู่ด้วยแล้วก็ตาม
...บ้านหลังนี้ เพิ่งสร้างขึ้นหลังจากที่แม่เสียไปแล้วและเธอยังทำงานอยู่ที่ชลบุรี กิ่งหลิวไม่มีโอกาสแม้จะได้เลือกแบบบ้าน เธอให้การเลิศจัดการดูแลให้ทุกสิ่งอย่าง เพราะคิดว่า เขาเป็น “พี่ชาย” และเป็นครอบครัวของเธอ
และคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่เธอยังเหลืออยู่นี้ บอกว่า เขาทำตามคำสั่งเสียของแม่กับพ่อที่ต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ เพื่อให้กิ่งหลิวมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ที่บ้านนี่...
กิ่งหลิวก็เชื่อตามนั้นหมดใจ...
แม้ฟังดูแล้วเป็นเรื่องประหลาดในสายตาคนอื่น เพราะแทนที่พ่อแม่จะแบ่งมรดกเป็นสองส่วนให้ลูกสองคนได้รับเท่าๆ กัน แต่แม่กลับสั่งเสียให้พี่ชายเอามรดกทั้งหมดนั้น มาสร้างบ้านหลังใหม่แล้วให้สองคนพี่น้องที่ไม่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อนเลย ไม่สนิทกันและไม่ผูกพันกันเลย มาอยู่บ้านเดียวกัน...
...แต่กิ่งหลิวกลับไม่รู้สึกประหลาดเพราะเธอเข้าใจเอาเองว่า แม่กับพ่อคงรู้สึกผิดที่เอาเธอไปให้ยายเลี้ยงตั้งแต่ยังตัวแดงๆ หนำซ้ำพอยายเสียไปแล้ว แทนที่กิ่งหลิวจะได้บ้านของยายตามส่วนแบ่งของแม่เป็นมรดก แต่ป้ากับลูกสาวกลับฉวยโอกาสตอนนั้น ยึดทุกอย่างไปหมด เพราะกิ่งหลิวมัวแต่เรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพ แล้วแม่ของเธอก็มัวแต่ดูแลพ่อที่ป่วยหนัก จนกระทั่งพ่อจากไปแล้ว แม่ก็ไม่มีโอกาสเรียกร้องส่วนแบ่งของตนมาให้กิ่งหลิว เพราะแม่ก็ล้มเจ็บ และจากไปเสียก่อนในเวลาไล่เรี่ยกันนั้นเอง
ทุกคนในชีวิตของกิ่งหลิว รวมถึงทุกอย่างในชีวิตของกิ่งหลิว ล้มตามกันไปเป็นโดมิโน ชีวิตเธอพังภิณฑ์นับแต่นั้น เป็นแบบนั้นเอง...
ตอนที่แม่ล้มเจ็บและจากไปอย่างกะทันหันนั้น กิ่งหลิวไม่มีโอกาสแม้แต่มาดูใจแม่ก่อนจาก เมื่อเธอไม่รู้ว่าใจจริงแม่คิดอะไรไว้ กิ่งหลิวจึงคิดเองว่า แม่คงอยากให้พี่น้องอยู่ดูแลกันกระมัง...
...เธอคิดเช่นนี้และไม่เคยคิดอะไรที่ไปไกลเกินกว่านี้เลย...
เมื่อแม่บอกพี่ชายมาว่าให้เธออยู่ที่นี่ กิ่งหลิวก็จะอยู่ไปจนกว่าจะพบหนทางหรือมีที่ทางที่เป็นของตัวเอง เธอไม่ได้จะอยากเป็นเจ้าของครอบครองที่นี่เลยสักนิด
...บ้านยายก็เหมือนกัน กิ่งหลิวไม่ได้จะอยากเป็นเจ้าของทั้งหมดเพียงคนเดียว ไม่ได้อยากมีชื่อว่าเป็นเจ้าของบ้านเลย เธอคิดแค่ว่า อยากอยู่บ้านที่เคยอยู่กับยายก็เท่านั้น แต่เมื่อป้ากับลูกๆ กีดกันและไม่ต้อนรับเธอ กิ่งหลิวก็มีไม่มีทางเลือก และไม่มีอะไรจะโต้แย้ง เพราะไม่อยากเสียใจไปมากกว่านี้แล้ว
เมื่อตอนที่พี่ชายสร้างบ้านหลังนี้ก็เช่นกัน กิ่งหลิวพยายามไม่ก้าวก่าย ไว้ใจและเชื่อใจ เขาให้เซ็นอะไร กิ่งหลิวก็เซ็นไปทุกครั้ง และแม้พี่สะใภ้บอกว่า งบบานปลายไปมากและเงินสร้างบ้านไม่พอ กิ่งหลิวก็เต็มใจที่จะเอาเงินเก็บมาช่วยสร้างบ้านหลังนี้จนเสร็จ จนเมื่อได้มาอยู่ร่วมกันเช่นนี้แล้ว เธอถึงรู้ว่า คนที่จัดการทุกสิ่งอย่างคงไม่ใช่พี่ชายเธอคนเดียว แต่เป็น “พี่สะใภ้” ต่างหากที่บงการอยู่ข้างหลังเขา
ที่ผ่านมา กิ่งหลิวไม่เคยตั้งคำถามกับใครเลยว่า มรดกของพ่อแม่ ทั้งเงินเก็บเงินก้อน เงินตายของพ่อกับแม่ถึงสร้างบ้านได้หลังแค่นี้เอง... เมื่อเธอไม่มีคำถามเสียตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาถามคำถามกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว
...มันไม่ใช่เวลาที่จะมาถามอะไรอีก แต่เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่า วันที่เธอได้กลับมาอยู่บ้านหลังนี้นั้น จะเป็นวันที่ทุกอย่างพังทลาย... ฝันสลายไปจนสิ้น
เมื่อเลือกที่จะมาอยู่บ้านหลังนี้ และคิดว่ามันเป็นบ้านของเธอหลังหนึ่งเช่นกัน เธอก็ต้องยอมรับกับทุกสิ่งให้ได้ ดังนี้ ไม่ว่าใครร้ายมา กิ่งหลิวก็ไม่เคยร้ายกลับ เพราะยายไม่ได้สอนให้เธอเติบโตมาเป็นคนแบบนั้น
ยายสอนให้กิ่งหลิวเป็นคนอดทน...
...อดทนได้ ก็ทนไปนะลูก สักวันมันจะดีขึ้น...
นี่คือสิ่งที่กิ่งหลิวเป็นมาตลอด และคิดว่าสักวันมันจะดีขึ้นเอง ถ้าเพียงแต่เรา “อดทน” เท่านั้น
มาจนกระทั่งวันที่ตัวเองไม่เหลืออะไรแล้ว และเห็นพฤติกรรมทั้งของพี่สะใภ้กับพี่ชายที่ไปคนทิศละทางเช่นนี้ กิ่งหลิวก็เริ่มตาสว่างขึ้นทีละนิด...
"ออกมาเสียเถอะแก ออกมาหาที่ที่เป็นของแก ...ฉันไม่ได้จะให้แกตัดขาดจากคนที่ล้อมรอบแกหมดหรอกนะ แต่ฉันแค่อยากจะบอกแกว่า ที่ผ่านมา ที่แกต้องอยู่ในสภาพนี้เพราะอะไร และถ้าแกออกมาจากตรงนั้นได้แล้วเมื่อไร แกค่อยมองย้อนกลับไปว่าที่ฉันพูดนี้มันจริงไหม แกไปคิดดูให้ดีอีกทีก็แล้วกัน”
คำพูดของยิหวาที่เพิ่งคุยกันเมื่อเช้ายังก้องอยู่ในหู นี่มันคงถึงเวลาที่กิ่งหลิวจะต้องจริงจังกับอนาคตได้แล้ว เธอตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าที่ผ่านมา เธออดนทนรออะไรอยู่...
รอไปเรื่อยๆ งั้นหรือ ...รอโดยที่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดมันอยู่ที่ใดงั้นหรือ
...รองานการที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้ทำ หลายครั้งที่เธอไปสอบแล้วต้องผิดหวัง แม้จะดีใจเมื่อถูกเรียกตัว ถูกเรียกไปสอบสัมภาษณ์ มันก็ได้แค่ดีใจเก้อ เมื่อได้คำตอบซ้ำๆ ว่า เธอยังไม่ใช่ตัวจริง
เมื่อยิหวาบอกให้ตัดสินใจ ให้เธอคิดให้ดี กิ่งหลิวก็เริ่มคิดใคร่ครวญถึงเรื่องที่จะไปญี่ปุ่นตั้งแต่วางสายแล้วจนถึงเดี๋ยวนี้
แต่...มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอยังลังเล ไม่กล้าตัดสินในทันทีทันใดก็คือ “เซมิ” ...
เธอไม่ห่วงหรอกว่า ถ้าเซมิไปอยู่กับเบญจ์แล้วจะเป็นอย่างไร เพราะเธอเชื่อว่า เพื่อนจะดูแลลูกรักของตนให้ดีที่สุด เซมิจะสมบูรณ์พูนสุข อาจจะมีความสุขมากกว่าอยู่ที่นี่กับเธอด้วยซ้ำ
แต่ที่เธอกังวลก็คือ ตัวเธอเองจะอยู่ได้อย่างไรโดยที่ไม่มีเซมิ
… ต้องอยู่ห่างกันไกลขนาดนั้น ความรัก ความคิดถึงมันจะมากมายเพียงใด...
เซมิกับเธอไม่เคยอยู่ห่างกันเลย นับแต่วันที่เธอเก็บเจ้าเหมียวผู้น่าสงสารนี้มาจากถังขยะ... ต่างคนต่างผูกพันกันมากมาย แค่เธอถอนหายใจ หรือกะพริบตาเซมิก็รู้ได้ทันทีว่า เธอคิดอะไร จะทำอะไรต่อ
...แล้วอย่างนี้จะให้จากกันไปได้ง่ายๆ ละหรือ