เมื่อห้าปีที่แล้ว ทั้งหมดเคยทำงานที่มหาวิทยาลัยอินเตอร์แห่งหนี่งในหุบเขาไกลปืนเที่ยงทางภาคตะวันออก ตอนที่อยู่ด้วยกันที่นั่น พวกเธอตัวติดกันราวกับแฝดสาม ...กินด้วยกัน นอนด้วยกันและไปไหนไปด้วยกันเป็นทีมเสมอ
“เหรอ” กิ่งหลิวตอบ
“เออดิ ใจฉันน่ะอยากให้แกมาอยู่ที่นี่ด้วยมากเลยรู้ไหม ตอนมาซาฮารุบอกมานะ ฉันงี้ ฉันแทบจะกรี้ด มันเป็นโอกาสและเงื่อนไขที่ดีที่สุด มันเข้าท่าที่สุดตั้งแต่ฉันเคยได้ยินมาเลยนะเว้ย แก ... แต่พวกเราแยกย้ายกันแล้ว พอฉันมาอยู่ไกลถึงที่นี่แล้วใจก็คอยเป็นห่วงแกตลอด ไอ้เบญจ์ก็เหมือนกัน"
แล้วยิหวาก็เหมือนนึกขึ้นได้ ถึงเรื่องสำคัญที่สุดของกิ่งหลิว...
"เออ นี่... เรื่องลูกแกน่ะ ฉันว่าแกไม่ต้องเป็นห่วงมันเลย แกเอาไปให้ไอ้เบญจ์มันเลย ฝากมันเลี้ยงแค่สามสี่เดือนมันดูลูกแกให้แกได้อยู่แล้ว ฉันรู้พวกแกมันทาสแมวเหมือนกัน คุยกันรู้เรื่องนี่ เหมือนมาซาฮารุซังนั่นแหละ เขารู้ว่าแกรักแมวเหมือนเขาไง เขาถึงได้มาขอร้องให้ฉันช่วยพาแกมาที่นี่ไงเล่า”
“ไอ้เบญจ์มันก็มีของมันอยู่ตั้งสี่ตัว” กิ่งหลิวท้วงด้วยเสียงอันเบา
“โอ้ย เพิ่มลูกแกไปอีกตัวเดียวมันจะไปหนักหนาอะไร เชื่อฉันเหอะ มันไม่มีทางปฏิเสธแกหรอก ฉันว่า มันจะดีใจไชโยโห่ร้องเสียด้วยซ้ำ ถ้ารู้ว่าอยู่ๆ แกก็จะได้มาอยู่กับฉันที่นี่”
“นั่นสิ คิดถึงสมัยเราสามคนยังอยู่ด้วยกันที่มหาลัยนั่นน่ะ นี่ถ้าเบญจ์มันไปด้วยกับฉันอีกคนก็ดีสินะ แกงค์เราจะได้อยู่กันครบทีม”
“จะบ้าเหรอแก”
“แหม ฉันก็แค่หมายถึงว่าถ้าเราได้อยู่กันครบทีม”
“เข้าใจ แต่เรื่องไอ้เบญจ์น่ะ จิ้บจ๊อย ถ้าแกมาอยู่ที่แล้วเราจะให้มันมาหาเราเมื่อไรก็ได้น่ะ เรื่องขี้ผง มันมาได้แน่ๆ ฉันเตรียมการไว้ให้ได้เสมอแหละ ขอแค่ให้แกมาอยู่ที่นี่ก่อน ถ้าแกอยู่ๆ ไปแล้วมันโอเค มันใช่ เราก็ชวนเบญจ์มันมาเที่ยวสบายเลย”
“อืมม มันคงดีแน่ๆ เลย”
“ดีสิ ดีแน่ๆ” ยิหวาย้ำ
“งั้นแกก็ให้เบญจ์ไปพร้อมฉันเลยสิ ให้มันกลับมาก่อนฉันก็ได้”
“วะ แกนี่...คิดก่อนสิยะ ถ้าให้เบญจ์มันมาเสียแต่ตอนนี้แล้วใครจะดูลูกแกล่ะ ลูกมันอีก ไหนจะแฟนมันด้วย เขากำลังวางแผนจะแต่งงานกัน แกจะให้เขาแยกจากกันเลยเหรอ ไหนจะงานการมันที่ไทยอีกล่ะ พ่อแม่มันด้วย ไอ้เบญจ์มันไม่ได้คนตัวเปล่าเหมือนแกนี่...นะๆ เอาแบบนี้ไปก่อน นี่ลงตัวที่สุดแล้ว”
“อืมม เข้าใจล่ะ”
กิ่งหลิวตอบแต่เพียงสั้นๆ ทำเอาคนพูดใจแป้ว แต่ก็ยังพยายามรวบรวมความคิดสติปัญญาที่จะพูดอีกครั้ง
“นี่หลิว... ตะหลิวเอ้ย ฟังฉัน ในตอนนี้ชีวิตแก ตัวแก อนาคตแกสำคัญที่สุดนะจำไว้ รักตัวเองมากๆ แล้วค่อยรักคนอื่นเข้าใจไหม เออ อันนี้ไม่เกี่ยวกับแมว ฉันรู้ลูกแกคือที่สุดในชีวิตของแกแล้ว แต่ฉันหมายถึงคน... คนที่อยู่รอบๆ ตัวแกนั่นน่ะ ชีวิตแกทุกวันนี้ที่เป็นอย่างนี้ก็ไม่เพราะแกมัวแต่แคร์คนที่อยู่รอบๆ ตัวแกเองหรอกหรือ มีเท่าไรก็ให้เขาไปหมด ประเคนให้หมด แล้วไงล่ะ เขาแคร์แกเหมือนกันด้วยหรือเปล่า ทุกวันนี้ที่แกเหลือแต่แมวตัวหนึ่งเพราะอะไร มีใครมาดูดำดูดีแกไหม เปล่าเลย ตัวแกเองก็พูดเองไม่ใช่เหรอว่าพอเงินแกหมด แกก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง"
ยิหวาหยุดพูดนิดนึง... ถอนหายใจแล้วพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอันเนิบช้า และเน้นเสียงทุกถ้อยคำ
"ออกมาเสียเถอะแก ออกมาหาที่ที่เป็นของแก ...ฉันไม่ได้จะให้แกตัดขาดจากคนที่ล้อมรอบแกหมดหรอกนะ แต่ฉันแค่อยากจะบอกว่า ที่ผ่านมา ที่แกต้องอยู่ในสภาพนี้เพราะอะไร และถ้าแกออกมาจากตรงนั้นได้แล้วเมื่อไร แกค่อยมองย้อนกลับไปว่าที่ฉันพูดนี้มันจริงไหม แกไปคิดดูให้ดีอีกทีก็แล้วกัน เออ ฉันต้องไปแล้ว ดึกๆ จะโทรหาแกอีกทีหรือไม่ก็พรุ่งนี้สายๆ นะ”
พูดจบยิหวาก็ตัดสายไป ส่วนกิ่งหลิวก็เอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์ เธอพยายามคิดถึงสิ่งที่เพื่อนพูดก่อนที่จะวางสาย...
...มันก็จริงดังที่เพื่อนพูดทุกอย่าง สถานะของเธอที่บ้านในวันนี้ เหมือนหมาตัวหนึ่งจริงๆ เธอกลายเป็นคนไร้ตัวตน และถูกด้อยค่าแทบทุกด้านในทันใดที่เงินร้อยบาทสุดท้ายหลุดออกจากบัญชีธนาคาร
กว่าเธอจะรู้ตัวเองว่า หมดเนื้อหมดตัวก็ต่อเมื่อได้ยินคนอื่นพูดถึง...
“เป็นภาระจริง ทำอะไรเองก็ไม่เป็นสักอย่าง ตั้งแต่มาอยู่ด้วยนี่ วันๆ ก็เออาแต่เล่นคอม เล่นมือถือหมกตัวอยู่ในห้องกับแมว ไปไหนก็ไม่ไป อ้างแต่ว่ารองานๆ ...เลี้ยงหมายังอาศัยว่าเฝ้าบ้าน เลี้ยงคนอยู่เฉยๆ งานการไม่ยอมทำนี่เสียเวลาฉิบหาย”
แรกๆ ที่ได้ยินกิ่งหลิวนึกว่า คนในบ้านพูดถึงคนอื่น ใครก็ได้ที่เขานึกอยากจะนินทา เพราะนิสัยเขาเป็นแบบนั้นตั้งแต่วันแรกๆ ที่เจอหน้ากันแล้ว ไม่นึกสักนิดว่า พี่สะใภ้กำลังพูดถึงตัวเอง
...ความรู้สึกเธอมักช้าเสมอกับเรื่องแบบนี้
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามในชีวิตนี้ เธอมักจะช้ากว่าคนอื่นเสมอ กว่าเธอจะไหวตัวทัน กว่าเธอจะรู้สึก... เรื่องบางเรื่องมันก็ไปไกล
...ไกลจนเกินกว่าจะไขว่คว้าให้มันกลับมา แล้วน้ำตาของเธอก็ไหลลงมา...
ช่างน้ำตามันเถอะนะ... กิ่งหลิวบอกตัวเอง