ตอนที่ 7 ตอแย
~อือ~อือ~
สายตาของฉันค่อยๆ เปิดขึ้นทีละนิดๆ เพื่อปรับแสงที่เล็ดลอดผ่านช่องม่านสีเทาจากหน้าต่างทรงสูงเข้ามาจ่อดวงตาของตัวเองอย่างจังก่อนที่จะดันตัวเองให้ลุกขึ้นพิงกับเตียงนอนเก่าๆ ไม่สิ ซากของเตียงนอนมากกว่า
จริงสิทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?
แล้วที่นี่คือที่ไหน?
ส่วนไหนของประเทศ?
ว่าแล้วพาสายตาของตัวเองสำรวจที่แห่งนี้ทันที มันเป็นห้องเล็กๆ ที่มีเพียงแค่เตียงนอนเก่าๆ ที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่เท่านั้น
มันตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องนอกจากนั้นมันก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากกระป๋องและขวดของเบียร์ ไวน์ตกอยู่ไปทั่ว นี่ยังไม่ร่วมถึงใยแมงมุมที่มีทุกมุมของห้องราวกับไม่เคยได้ทำความสะอาดเมื่อว่าแล้วฉันก็รีบก้าวเท้าเปล่าลงจากเตียงทันที
โอ้ย!
แต่ทว่าเมื่อก้าวเท้าลงเหยียบพื้นก็ทรุดลงกับพื้นทันทีความเจ็บปวดมันโลดแล่นเข้าหาร่างกายราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทะ ทำไมถึงได้เจ็บปวดไปหมดไม่เว้นแม้กระทั่งใจกลางของความเป็นหญิง
ไม่สิ ต้องไม่เกิดอะไรขึ้น
เกิดการภาวนาในใจเรื่อยๆ
ทันใดที่ฉันก้มมองดูสภาพตัวเองก็พบว่าตอนนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่คลุมไปถึงเข่าโดยที่ด้านในมันปราศจากบราเซียมีแต่ร่องรอยสีกุหลาบเป็นจุดๆ เต็มตัวไปหมดทั้งร่างกายไม่เว้นแม้แต่โดนขาอ่อน
เธอโดนข่มขืนใช่ไหมญานิน?
พยายามคิดทวนเหตุการณ์เรื่อยๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
เสียงแหบแห้งที่เปล่งออกมาไม่ดังนักทวนถามตัวเองและแล้วความทรงจำต่างๆ รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ผ่านเข้ามาในสมองราวกับภาพยนตร์ที่ฉายเป็นตอนๆ
มันชัดเจนมากจน...
ตอนนี้ฉันอยากฆ่าตัวตาย!
ย้อนกลับไปเวลา 02.45 น.
“หึ เธอ..ตอแหลไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะญานิน!”
“…”
เขารู้ในสิ่งที่ฉันโกหก
สายตาฉันเบิกกว้างเมื่อได้ยินประโยคนี้ออกมาจากริมฝีปากได้รูปของแวนเดอร์ ใบหน้าเรียวก้มมองดูฉันที่นั่งอยู่ตรงพื้นก่อนที่เขาจะปรับเปลี่ยนมาเป็นค่อยๆ นั่งยองๆ ลงต่อหน้าฉันอีกที
สายตาอันเย็นยะเยือกคู่นั้นที่จับจ้องมองเข้ามาสบนัยน์ตาของฉันอย่างรู้ทัน
ผู้ชายคนนี้ฉลาดมาก
“สายตาส่ายไปมา เนื้อตัวสั่นเทาราวกับลูกนกขาดความอบอุ่นจากแม่ พูดทีละคำยังติดๆ ขัดๆ เพื่อให้ตัวเองรอด ดูก็รู้ว่ามันเป็นอาการของคนโกหก”
ความมั่นใจของฉันแทบติดลบ
ถึงจะดูเป็นผู้หญิงหยิ่งมั่นใจมากขนาดไหนเมื่อตกม้าตายมันก็ดูออกง่ายๆ เหมือนกันแหละ ยิ่งฉันแสดงอาการแบบนี้ออกมามันยิ่งแสดงให้เห็นเพิ่มมากขึ้นและมั่นใจมากเป็นร้อยเท่าว่าโกหก
ไม่ได้การแล้ว
ปึก!
ตุบ!
โอ้ย!
“เหอะแต่นายเคยรู้ไหมว่าในขณะที่นายเผลอศัตรูก็พร้อมที่จะจู่โจมนายได้ทุกเมื่อเหมือนกันไอ้สารเลว!”
ฉันตัดสินใจใช้กำลัง
ฉันใช้จังหวะที่แวนเดอร์เผลอก็เลยจู่โจมโดยใช้ศีรษะของตัวเองกระแทรกเข้ากับใบหน้าของเขาเต็มๆ ด้วยความแรงก่อนที่จะผลักเขาให้ล้มลงกับพื้น
โดยไม่สงสารสักนิดจากนั้นก็รีบวิ่งออกไปทันที
“คืนนี้ถ้าชั้นเอาเธอมาครางใต้ร่างไม่ได้อย่าเรียกว่าไอ้แวนเดอร์ MISCREANT เลย!”
ประโยคดังลั่นตามมาให้ได้ยินก็ยิ่งต้องหนีไปไกลๆ
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงเท้าของฉันวิ่งอย่างไม่รีรออะไรทั้งนั้นแต่ทว่าฉันวิ่งไปทางไหนมันก็เจอเพียงลานกว้างๆ ที่เป็นที่สำหรับจอดรถเท่านั้น
มันไม่ได้ออกจากถนนใหญ่หรือว่าออกจากบริเวณคลับนี้แม้แต่น้อยยิ่งได้ยิ่งเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาอีกมายิ่งทำให้ต้องออกแรงวิ่งให้เร็วออกไปเป็นเท่าตัว
ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเริ่มเข้ามาสู่ร่างกายของฉันจนทำให้การหายใจติดๆ ขัดๆ จนตอนนี้มันก้าวขาไม่ออกแล้วถึงต้องหยุดทันที
เฮ้อ!
ฉันถอดหายใจพร้อมกับทรุดลงพิงเสาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ทั้งเหงื่อความร้อนเริ่มเข้ามาลุกลามเข้าไปใหญ่แล้วระบบการหายใจที่จมูกมันไม่พอเลยจะต้องหายใจทางปากไปพร้อมๆ กันราวกับคัดจมูกเวลาป่วยก็ไม่ปาน
ตุบ!
เสียงฝีเท้าวิ่งมาหยุดที่ลานกว้างก่อนจะสอดส่ายหาตัวของฉันอย่างไม่วางสายตา
ใบหน้าของแวนเดอร์ตอนนี้เขาดูโกรธมากเป็นเท่าตัวอีกทั้งยังมีเลือดไหลออกมาด้วยยิ่งทำให้ใจเสียมากไปกว่าเดิม
สายตาที่แข็งกระด้างมันทำให้ฉันค่อยๆ ขยับตัวให้พอดีกับเสาต้นใหญ่เพื่อบังตัวเองเอาไว้ให้รอดพ้นจากสายตาดุจเหยี่ยวของเขา
ต้องรอด ต้องรอด
“ออกมาเดี่ยวนี้ญานิน ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่นี่”
“…”
ประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้นมันดังสะท้อนขึ้นมาซ้ำๆ กันในหัวของฉันทันทีจนตัวเองต้องรีบเอามือปิดปากไว้แน่นเพื่อหลัวตัวเองจะส่งเสียงออกมา
“อยากเล่นซ่อนหาใช่ไหมถึงพูดดีๆ ไม่ชอบถ้าชั้นเจอบอกไว้เลยว่าเธอไม่เหลือซากแน่”