ตอนที่ 8 ตอแย 1
ประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้นมันดังสะท้อนขึ้นมาซ้ำๆ กันในหัวของฉันทันทีจนตัวเองต้องรีบเอามือปิดปากไว้แน่นเพื่อหลัวตัวเองจะส่งเสียงออกมา
“อยากเล่นซ่อนหาใช่ไหมถึงพูดดีๆ ไม่ชอบถ้าชั้นเจอบอกไว้เลยว่าเธอไม่เหลือซากแน่”
“ทำไมเงียบ” เสียงนั้นเงียบลงจนทำให้ฉันอยู่ไม่ติดจึงค่อยๆ ที่จะออกจากเสาไปทีละนิดๆ จนตอนนี้ใบหน้ามองไปยังจุดที่แวนเดอร์ยืนอยู่เมื่อกี้แต่ทว่าตอนนี้กับไม่เห็นร่างใหญ่ของเขาแล้วแม้แต่เงา สายตาจึงสอดส่ายไปทั่วทั้งซ้ายและขวาก็ไม่เจอเขาแล้ว “หรือว่าจะกลับไปแล้ว..”
ฉันเอ่ยพูดกับตนเองเบาๆ และหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ตอนนี้ตัวเองได้รอดพ้นจากเนื้อมือของไอ้สารเลวคนนั้น
“อยู่ข้างหลัง”
“…”
เสียงแข็งอันราบเรียบพูดขึ้นมาทำให้ฉันหันหลังกลับไปทันทีก็พบกับนัยน์ตาดำสนิทของแวนเดอร์ทันที
ใบหน้าที่เรียบแต่ฉันรู้ว่ามันแฝงความป่าเถื่อน โหดร้ายไว้ข้างในมันทำให้ตัวของฉันเหมือนถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ
“ลุกขึ้นมา!”
เขากระชากร่างกายของฉันให้ลุกขึ้นจากนั้นจึงลากเดินมายังรถ BMW M9 Concept โดยที่ไม่สนใจเลยว่าฉันที่โดนลากมาอย่างไม่มีความปรานีจะล้มลุกคลุกคลานกี่ครั้ง ได้แผลมากี่แผล
“โอ้ย! ปล่อยฉันนะแวนเดอร์ฉันเจ็บ!”
ฉันพูดขึ้นเสียงดังในขณะที่โดนลากทั้งๆ ที่ไม่ได้เดิน อย่างงกันเลย แวนเดอร์ลากฉันในท่านอน หงายด้วยแรงเสียดสีของตัวเองกับพื้นปูนมันทำให้ทั้งตัวของฉันถลอกเป็นแผลไปหมดโดยเฉพาะช่วงตัวด้านหลัง
ดีนะที่ช่วงล่างฉันใส่กางเกงยีนก็เลยค่อนข้างหนาจึงไม่ค่อยเกิดแผลนัก
“วิ่งมาไกลได้ ทำไมจะโดนลากกลับคืนไปแค่นี้ไม่ได้สำออยหรืออ่อยวะ?”
ตอนนี้ฉันกำลังพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น เสื้อยืดสีขาวเปื้อนไปด้วยฝุ่นและก็รอยเลือดเสียงแดงเป็นแห่งๆ บางจุดก็ขาดจนทำให้เห็นผิวที่ซ่อนอยู่ด้านใน
“ฉันไปทำอะไรให้นายไม่ทราบทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วย เพียงแค่ฉันเข้าไปนั่งตักเพื่อทำตามคำดูถูกของยัยลาวาเท่านั้น!”
“เธอทำเพื่อเงินมากกว่ามั้งลืมไปแล้วหรอ?”
ฉันไม่เถียงเพราะมันจริงว่าเงินคือเรื่องหนึ่งส่วนเรื่องรองก็คือคำดูถูกจากผู้หญิงคนนั้น
เขาอยู่ตรงหน้าฉันยิ้มเยาะออกมาอย่างน่าสมเพช
“ฉะ ฉัน..”
“เงินสำคัญกับเธอมากกว่าความรู้สึกคนอื่น”
พอเจอประโยคนี้ไปทำไมฉันถึงพูดไม่ออกนะ มันตันไปหมดทั้งเสียงที่จะเปล่งออกมาหรือแม้กระทั่งสายตาที่มองแวนเดอร์
“พูดไม่ออกเลยใช่ไหม ก็แน่ล่ะมันเป็นความจริงนิ ความรู้สึกของฉันเป็นของเล่นให้พวกเธอเดิมพันเล่นๆ ด้วยเงินใช่ไหม มันไม่ได้มีค่าเลยนิ!”
“นายพูดเรื่องอะไรฉันไม่เข้าใจ จริงอยู่ที่ฉันทำแบบนั้นแต่...”
“แต่อะไร อย่าบอกนะว่าสนใจความรู้สึกฉัน”
ฉันมองสายตาของแวนเดอร์ที่แวบหนึ่งมันแสดงออกมาว่าเจ็บปวดมากก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นสายตาที่เย็นชาราบเรียบเหมือนเดิม มันเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
เขาเปลี่ยนเร็วมาก
“มันเป็นสิ่งที่คนอย่างเธอต้องชดใช้ให้ฉันไงญานิน”
“จะบ้าหรือไง ถ้าเป็นเรื่องนั้นที่ในคลับ ฉันขอโทษที่ไปล้อเล่นกับความรู้สึกของนาย ขอโทษจริงๆ”
“ง่ายแบบนี้เลยหรอ ง่ายไปมั้งคิดว่ายุ่งกับฉันแล้วจะไปแบบง่ายๆ งั้นสิ บอกเอาไว้เลยนะญานินงานนี้เธอเล่นผิดคน เมื่อกี้เธอยังทำฉันเจ็บตัวแล้วเรื่องอะไรจะเชื่อเธออีกครั้ง โอกาสมันมีให้แค่ครั้งเดียวในเมื่อเธอหนีไม่รอดก็รับกรรมที่ก่อซะ!”
ฉันอึ้งกับคำพูดของเขายิ่งกว่า
นายนั่นไม่รับคำขอโทษจากฉันอีกทั้งยังถามกลับมาด้วยอารมณ์ที่ยั่วยุอีกต่างหากและเมื่อมองไปที่ใบหน้าของแวนเดอร์ชัดๆ ก็เห็นคราบเลือดเปื้อนอยู่
“ถามจริงนายโรคจิตเปล่าเป็นโรคประสาทหรือไงถึงได้เป็นแบบนี้หรือว่ามีปัญหากับแฟน แฟนไม่รัก แฟนทิ้ง แฟนนอกใจ ฟะ”
“หุบปาก!”
“ไม่มีสิทธิอะไรมาสั่งฉัน นายไม่ใช่พ่อแม่หรือญาติเสียหน่อย ยิ่งกิริยามารยาททั้งทรามเลวป่าเถื่อนแบบนี้อย่าหวังว่าจะเชื่อเลย”
ฉันตะหวาดใส่ใบหน้าแวนเดอร์อย่างไม่กลัวเหมือนกัน คิดว่าทำได้คนเดียวหรือไงการกระทำแบบนั้นบอกไว้เลยไอ้ญานินคนนี้ก็ทำได้เหมือนกัน
“…”
“คิดว่าเหนือคนอื่นนักหรือไง มีปัญหากับใครก็ไปเคลียร์กับคนนั้น ไปเคลียร์กับแฟนนายเลย ไปเคลียร์สิ! แฟะ..”
ปัง!
ฉันเอามือปิดหูทันทีด้วยอาการสั่นเทาเมื่อคนตรงหน้าตะหวาดใส่หน้าอย่างเกรี้ยวกราด ใบหน้าแข็งกระด้างบึ้งตึงราวเป็นคนละคน
ขะ เขามีปืนและเขาก็ใช้มันยิงขึ้นฟ้าเมื่อกี้เอง
เสียงปืนที่ดังสนั่นก้องไปทั่วแล้วตอนนี้ปืนก็อยู่คามือข้างซ้ายอย่างนั้นก่อนที่มือใหญ่จะกระชากมือฉันไปบีบแน่นจนห่อเลือด
“มีสิทธิอะไรมาถาม?”
“…”
“อยู่ดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม?”
“…”
“ไอ้แวนจัดให้ เข้าไป!”
“…”
ฉันถูกกระชากตัวแล้วก็ถูมือใหญ่ของแวนเดอร์พยายามยัดตัวของฉันเข้าไปในรถหรูสีส้มที่จอดไว้
ไม่รู้ว่าเขาไปเปิดประตูรถค้างไว้เมื่อไหร่แต่บอกได้เลยว่ามันเร็วมากและแล้วฉันก็พยายามสุดแรงด้วยการใช้เท้ายันกับประตูรถเพื่อไม่ให้เข้าไปได้
ให้ตายยังไงฉันก็ไม่เข้า!
“ไม่เข้าไอ้เลว ปล่อยฉันนะ”
“ถ้าไม่อยากตายตอนนี้ก็เข้าไป”
น้ำเสียงโทนต่ำสุดขีดพูดขึ้นเหมือนพยายามกดอารมณ์ที่คุกกรุ่นตอนนี้ให้ฉันได้ยิน
“ให้ตายก็ไม่เข้า”
ยังไงฉันก็ไม่เข้าไปนั่งในรถกับไอ้เฮงซวยนี้แน่นนอน
“ได้!”
เขากระชากเข็มขัดของตัวเองออกแล้วจัดการมัดไปที่ข้อมือของฉันทันที ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ก็ถูกรัดแน่นเท่านั้นก่อนที่จะอุ้มขึ้นรถและก็ยังคว้าเชือกด้านหลังเบาะรถมัดฉันไว้กับเบาะอีกทีพอเสร็จเรียบร้อยจึงปิดประตูเดินไปประจำที่คนขับทันที
“ไอ้โรคจิตทำแบบนี้ทำไมปล่อยฉันนะ ปล่อย บอกให้ปล่อย ขาดความอบอุ่นจากบ้านหรือไง ปล่อย!”
“ใช่! ขาดมากไอ้ความอบอุ่น งั้นเรามาทำความอบอุ่นกันในรถมั้งดีกว่าคงจะฟินใช่ย่อย”