ตอน จดหมายจากโนอาห์ (3)

4873 Words
ฤดีเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาที่แขวนบนผนังเมื่อได้ยินเสียงมันตีบอกเวลา สามทุ่มแล้ว เสียงผู้คนพูดจากันดังแว่วมาจากบ้านหลังใหญ่ พวกญาติพี่น้องของหมี่ยะจะนั่งร่วมพิธีอยู่ในห้องโถงนั้นตลอดสามวันสามคืน ฤดีถอนใจและก้มลงอ่านเนื้อความในจดหมายของโนอาห์ต่อไป... ...คุณรู้สึกอย่างไรเมื่ออ่านข้อความที่ผมลอกมา คุณคิดว่าเป็นความบังเอิญไหมที่ปี ค.ศ.2020 คือปีหนูของชาวอาข่าและเราเริ่มต้นปีด้วยข่าวโรคระบาดจากไวรัส เฮมาลอยด์ ที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วยด้วยอาการมีเลือดออกตามผิวหนัง หายใจติดขัด ไข้ขึ้นสูง สมองถูกทำลาย และคนที่ตายจากโรคระบาดนี้ก็ทวีจำนวนขึ้นทุกวัน พอถึงตอนนี้ผมเชื่อว่าคุณเริ่มมองเห็นสิ่งที่ผมกำลังบอก ฤดี ผมแต่งงานกับหมี่ยะมายี่สิบห้าปี ผมได้เรียนรู้เรื่องของชาวอาข่าในทุกมิติ ทั้งภาษา วัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ และความรู้ต่างๆ ไปจนถึงปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นผมจึงกล้าตีความคำสวดในรายงานนี้ตามวิธีของผม และผมขอร้องให้คุณเทียบกับสิ่งที่คุณกำลังคิดว่าตรงกันไหม เรามาดูย่อหน้าแรกกัน เรื่อยมาจนถึงปีหนูหิว ผีร้ายจากป่าออกอาละวาด เข้ากัดกินผู้คนจนเลือดไหลโซมกาย ลมหายใจติดขัด ตัวร้อนดังไฟ จากนั้นจึงสิ้นชีพไปทุกคน คำว่า “...เรื่อยมาจนถึง” แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องราวต่อเนื่องจากสิ่งที่บอกเล่ามาก่อนหน้านั้นในรายงาน คุณควรหาเวลาอ่านภายหลัง แต่ไม่ใช่เวลานี้ คำถัดมาในประโยคเดียวกันนั้นคือคำว่า “ปีหนูหิว” ซึ่งปี 2020 คือปีหนูของชาวอาข่า และปีนี้ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะเรียกว่าปีหนูหิว เนื่องจากฤดูร้อนของปีนี้แล้งสาหัส ฝนขาดช่วงหลายเดือนจนชาวบ้านบนดอยสูงทำไร่ได้ผลผลิตไม่พอบริโภค พวกหนูซึ่งเคยได้กินเศษเมล็ดข้าวที่ตกหล่นจากยุ้งฉางจึงอดอยากหิวโหย ไม่มีอาหารใส่ท้อง ประโยคต่อมามีใจความว่า “ผีร้ายจากป่าออกอาละวาด” ฤดี คุณเคยศึกษาระบบความเชื่อของชาวอาข่ามาแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาที่คุณจะสามารถเข้าใจได้ว่ามันหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรง คำว่า “ผีร้าย” ที่อะผ่าถอดความมานั้นมาจากคำว่า “แหน่ะ” ซึ่งสำหรับชาวอาข่าแล้วคำนี้ตีความได้หลายอย่าง มันอาจหมายถึงความชั่ว เคราะห์ร้าย ภัยธรรมชาติ หรืออะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดผลในทางลบ ในทางคริสต์ศาสนาก็มีคำเช่นที่ว่านี้ ซึ่งให้ความหมายถึงสิ่งชั่วร้ายและโรคภัยไข้เจ็บรวมถึงความดำมืดในจิตใจของมนุษย์ เรามาดูประโยคถัดไป “เข้ากัดกินผู้คนจนเลือดไหลโซมกาย ลมหายใจติดขัด ตัวร้อนดังไฟ จากนั้นจึงสิ้นชีพไปทุกคน” ความหมายชัดเจนอยู่แล้วว่ามันคือโรคที่กำลังระบาดในหมู่มนุษย์ทุกวันนี้ แม้ไม่อธิบายผู้ที่ไม่ใช่นักวิจัยอย่างคุณก็สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออาการและผลกระทบจากพิษไข้ ซึ่งโรคที่เกิดจากไวรัส เฮมาลอยด์ ก็มีผลเช่นที่ว่า ย่อหน้าที่สอง “มันแผ่สยายเข้าไปทุกแห่งหน เข้าสิงคนทุกเผ่าพันธุ์ เด็กน้อย หญิง ชาย คนแก่ ผิวขาว ผิวดำ มั่งมี สิ้นไร้ ไม่มียกเว้น ไม่มีใครหยุดผีร้ายเหล่านี้ได้” ไม่ต้องสงสัยว่ามันหมายถึงอะไรหรือใคร เพราะเราได้อ่านข่าวทุกวันตั้งแต่ต้นปีมา ว่าพลเมืองทุกชั้นวรรณะของเกือบทุกประเทศเจ็บป่วยและตายลงจำนวนมากจากโรคระบาดร้ายแรงชนิดนี้ และยังไม่มีชาติใดที่คิดค้นยารักษาได้ นับวันยิ่งมีแต่ข่าวร้าย มันน่าเศร้านะ ฤดี เมื่อคิดถึงว่าจุดจบของมนุษยชาติไม่ได้เกิดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือสงคราม แต่มันเกิดจากเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และหากไม่มีใครหยุดยั้งมันไว้ วันหนึ่งพี่น้องชาวอาข่าของเราบางกลุ่มอาจได้รับเชื้อโรคตัวนี้ และอย่างที่คุณรู้ ผู้คนบางหมู่บ้านไม่มีภูมิต้านทานโรคติดต่อบางชนิด อย่าว่าแต่ไวรัส เฮมาลอยด์ เลย แม้เชื้อหวัดบางสายพันธุ์ก็อาจทำให้พวกเขาป่วยตายได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นจึงมีชาวอาข่าบางกลุ่มที่สร้างหมู่บ้านอยู่บนดอยสูง ไม่ติดต่อกับบุคคลภายนอก พวกเขาทำไร่ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ หาของป่า ปลูกฝ้าย ทอเสื้อผ้าสวมใส่ตามแบบของตนเอง การหาคู่ครองก็ใช้วิธีคัดสายตระกูลที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องใกล้ชิดเกินหกช่วงขึ้นไป มีหลักปฏิบัติที่ผู้ชายทุกคนต้องท่องจำชื่อบรรพชนของตนให้ได้เพื่อตรวจสอบว่าจะรับใครเข้ามาร่วมสืบสายสกุล หากในหมู่บ้านมีแต่ญาติใกล้ชิด พวกเขาต้องหาคนจากหมู่บ้านอื่นมาแต่งงานด้วยหรือไม่ก็ต้องอยู่เป็นโสดไร้คู่ไปจนตายโดยไม่กระทำนอกกฎที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา เรื่องการท่องจำชื่อบรรพบุรุษของคนอาข่านับว่าพวกเขาเป็นชาติพันธุ์เดียวในโลกที่ทำเช่นนี้ อย่างผมเองนะฤดี ผมบอกได้เพียงแค่ว่าปู่ย่าตาทวดของผมชื่ออะไร แต่หากจะสืบขึ้นไปไกลกว่าสี่หรือห้าช่วงอายุคนผมก็บอกไม่ได้แล้ว ดังนั้นผมจึงรู้แค่ว่าปู่ของปู่ผมแต่เดิมเป็นชาวยุโรปแล้วอพยพเข้ามาหาดินแดนใหม่ที่ทวีปอเมริกา มารุกรานเจ้าของถิ่นที่เคยอยู่ดั้งเดิมยาวนานในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่ารัฐมิสซูรี ส่วนคุณเองผมเชื่อว่าคุณก็จดจำชื่อบรรพบุรุษคุณได้ประมาณสี่หรือห้าช่วงเท่านั้น หากจะสืบขึ้นไปไกลกว่านั้นประวัติศาสตร์ของคุณก็ย้อนขึ้นไปได้ไม่ถึงหนึ่งพันปี และแถมเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ลงรอยกันด้วยซ้ำว่าก่อนยุคสุโขทัยพวกคุณมาจากไหน หากเทียบกับชาวอาข่าที่ท่องชื่อบรรพบุรุษของตนได้ขึ้นไปถึงหกสิบช่วง แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าตนเป็นใคร มาจากไหน เรากลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่าก่อนที่ผมจะหลงประเด็นไปไกลตามนิสัยของผม ย่อหน้าต่อไป มีหมู่บ้านลึกลับแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมธาร ซ่อนตัวหลังน้ำตกแห่งภูผาดำปลายเทือกเขาสีแดง “เทือกเขาสีแดง” คุณนึกออกหรือเปล่าว่ามันคือที่ไหน ผมรู้แน่ว่าคุณไม่ลืม มันคือเทือกเขาแห่งดอยผาแดงอันเป็นที่ตั้งหมู่บ้านของอะผ่านี่แหละ และในบทสวดที่อะผ่าถอดความมานั้นเอ่ยถึง “น้ำตกแห่งภูผาดำ” ผมลองหาดูแผนที่ภูมิศาสตร์จากอินเทอร์เน็ตเปรียบเทียบกับแผนที่ทหารที่ผมได้มาเมื่อสามสิบปีที่แล้ว นอกจากนั้นผมยังดูแผนที่ของกรมทรัพยากรธรณีประกอบ มันระบุไว้จุดหนึ่งว่ามีแหล่งหินแกรนิตอยู่ทางทิศตะวันออกปลายเทือกเขาผาแดง ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามันคือภูผาดำที่เอ่ยถึงในคำสวดนี้ และแน่นอนว่าเมื่อมีภูเขาก็ต้องมีน้ำตก เมื่อมีน้ำตกก็ต้องมีลำธาร ข้อนี้ผมไม่ต้องอธิบายมาก ประเด็นสำคัญของประโยคนี้อยู่ที่ “หมู่บ้านลึกลับ” ผมไม่แน่ใจว่าอะผ่าหมายถึงอะไร แต่ผมเดาเอาว่าเขาหมายถึงหมู่บ้านที่บุคคลภายนอกไม่เคยเข้าไป ซึ่งต้องเป็นเรื่องที่น่าศึกษาสำหรับคุณผู้ชอบสังเกตการณ์วิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อยต่างๆ เส้นทางที่จะเข้าสู่หมู่บ้านนี้มีบอกไว้แล้วในย่อหน้าที่ผ่านตาคุณไปว่ามันอยู่หลังน้ำตก ซึ่งคุณจะต้องหาน้ำตกนี้ให้พบ ก่อนที่ผมจะอธิบายว่าทำไมคุณถึงต้องรู้เส้นทาง (ผมเดาสีหน้าคุณออกในเวลานี้!) ผมจะขอตีความคำสวดในรายงานของอะผ่าให้จบก่อนนะครับ ย่อหน้าต่อไปมีว่า นางผู้เป็นญิผ่าแห่งหมู่บ้านนี้สามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายลงแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ นางผู้มีอายุขัยอันยาวนานได้ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้มานับไม่ถ้วนด้วยเมตตา เมื่ออ่านมาถึงท่อนนี้ ก็เป็นเรื่องแน่ใจได้ว่าสมาชิกหมู่บ้านลึกลับนี้เป็นชาวอาข่า เพราะมีผู้อยู่ในตำแหน่ง “ญิผ่า” แต่บางสิ่งที่อะผ่าเขียนมานั้นทำให้ผมคลางแคลงใจว่าเขาใช้คำศัพท์ผิดหรือเขาเข้าใจผิด มันอยู่ในย่อหน้าที่ผมกล่าวถึงนี้และย่อหน้าถัดไป ซึ่งเมื่อสิบปีที่แล้วผมนึกเอาว่าเป็นเพราะภาษาอังกฤษของอะผ่ายังค่อยไม่เข้าที่ เรามาดูประโยคที่เป็นปัญหาจากย่อหน้าที่สี่กัน สามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายลงแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ เมื่ออ่านคราวแรกผมเข้าใจว่าอะผ่าตั้งใจจะเขียนว่าญิผ่าผู้นี้สามารถช่วยผู้ใกล้ตายให้รอดชีวิต แต่ผมก็ไม่ได้แก้ไขอะไร คงปล่อยให้เป็นไปตามต้นฉบับ (ตอนนี้ผมนึกดีใจที่ไม่ได้แก้สำนวนของเขาก่อนเก็บงานเข้าแฟ้ม จึงทำให้เป็นเรื่องท้าทายว่าความจริงนั้นเป็นเช่นใด ซึ่งคุณต้องทำหน้าที่ค้นหาหลังจากนี้!) ส่วนประโยคถัดมาที่ว่า “นางผู้มีอายุขัยอันยาวนาน” ก็น่าสงสัย คือหากให้ผมตีความ ผมเข้าใจว่าอะผ่าหมายถึงหญิงที่แก่ชรา แต่ชาวอาข่ามีศัพท์โดยเฉพาะและตรงไปตรงมาว่า “เชาะหม่อ” หากเขา (หรือพิมะผู้สวด) ใช้คำนี้ มันก็จะให้ความหมายถึงความแก่เฒ่าในแบบของเราชาวโลกที่มีอายุอย่างมากแค่ร้อยกว่าปี แต่ในเมื่อเขาใช้ประโยคดังกล่าวในรายงานก็ทำให้เกิดข้อกังขา ซึ่งเรื่องนี้คุณคงต้องไขข้อข้องใจด้วยการไปพบญิผ่าผู้นี้ด้วยตนเอง (อย่าเพิ่งร้องเอ๊ะ! นะครับ ขอให้เราจบย่อหน้าสุดท้ายกันก่อน) ย่อหน้าที่ห้า ผีร้ายแห่งปีหนูหิวจะถูกกำจัดหากท่านเดินทางไปพบหาและขอตัวยาจากนางผู้มีกำเนิดจากพรรณไม้ ประโยคท้ายของย่อหน้านี้ก็เช่นกันที่รบกวนความผิดผม นางผู้มีกำเนิดจากพรรณไม้ สิบปีที่แล้วผมมีความเข้าใจว่าอะผ่าเขียนผิด เขาอาจหมายถึงนางผู้เกิดมาเพื่อเป็นผู้เยียวยาด้วยพืชพรรณหรืออะไรทำนองนี้ แต่ผมก็ไม่ได้ซักไซ้เขาเมื่อคราวที่อ่านครั้งแรก ผมคิดอย่างเดียวว่าต้องให้เด็กคนนี้ฝึกอ่าน เขียน พูดภาษาอังกฤษให้คล่องเพื่อจะได้สื่อสารกันอย่างไม่ผิดพลาด อันที่จริง หลังจากค้นงานของเขามาอ่านซ้ำผมควรเรียกอะผ่ามานั่งคุยสอบถาม เพราะเขาก็อาศัยอยู่ในเชียงใหม่หลังจากเรียนจบและได้งานแล้ว และเขาคงพอจำได้ถึงรายงานที่เขาเขียนส่งผมมาตั้งแต่เขายังเป็นนักเรียนทุน แต่ผมอยากใช้เวลานั่งพิมพ์จดหมายฉบับนี้ถึงคุณจนหมดสิ้นสิ่งที่ผมต้องการบอก เวลาผมเหลือน้อยกว่าที่ผมประเมินไว้ วันนี้ผมอ่อนแรงและไม่มีกำลังจะพูดคุยกับใคร ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ ใช้มือกดจิ้มแป้นคีย์บอร์ด นัยน์ตามองหน้าจอ และสมองก็คิดไป ฤดี ผมมีความเชื่อว่าโรคระบาดที่กำลังกัดกินผู้คนอยู่ในขณะนี้ต้องมีทางรักษา หากผมไม่ป่วยหนักใกล้ตายอย่างนี้ ผมจะเดินทางไปค้นหาหมู่บ้านลึกลับตามรายงานที่อะผ่าถอดความจากคำสวดของพิมะ ผมมีความหวังสำหรับชาวโลกว่าเราไม่มีวันอับจนหนทาง ผมคิดว่าคำตอบของการรักษาโรค เฮมาลอยด์ อยู่ที่ญิผ่าแห่งหมู่บ้านริมธารแห่งนี้ คุณอาจแย้งว่าความเชื่อและความคิดของผมเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล แต่ผมอยากบอกคุณว่าปรากฏการณ์ทุกสิ่งอย่างในชีวิตผมและคุณไม่มีเรื่องบังเอิญ การที่ผมดึงเอารายงานเก่าของพวกนักเรียนมาอ่าน เป็นเพราะผมได้รับการกระตุ้นจากเวลาที่เหลือน้อยลงและจากข่าวการระบาดของเชื้อโรคร้ายที่กำลังคร่าชีวิตผู้ป่วย มันเป็นไปเพื่อจุดมุ่งหมายนี้ คือการที่เราจะได้พบตัวยารักษาตามที่พิมะได้กล่าวไว้ สิ่งที่อะผ่าเขียนมาเมื่อสิบปีที่แล้ว มันคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนี้ ใจจริงผมไม่อยากเรียกคำสวดของพิมะผู้นั้นว่าเป็นคำทำนาย ผมอยากเรียกมันว่าเป็นการบอกเหตุล่วงหน้าพร้อมทางแก้โดยบุคคลที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปีหนู 2020 แต่มันก็ยาวเยิ่นเย้อ เอาละ มาถึงย่อหน้าสุดท้ายของคำสวดกันแล้ว ผมขอให้คุณใส่ใจกับย่อหน้านี้ให้มาก อนึ่ง ปลายเดือนสามต่อเดือนสี่มีเภทภัยบางประการที่ท่านต้องร่วมมือกันขจัดเพื่อให้โลกมนุษย์ปลอดภัย... ฤดี นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง สำหรับคุณผู้จะต้องออกเดินทางไปที่หมู่บ้านหลังน้ำตก (ขอให้อดใจสักครู่) ย่อหน้านี้ผมแน่ใจว่าไม่ได้หมายถึงโรคระบาดอย่างแน่นอน แต่เป็นเภทภัยอะไรนั้นผมก็สุดจะเดา มันคงไม่ใช่เรื่องระดับหมู่บ้านหรือตำบลหากเป็นไป เพื่อให้โลกมนุษย์ปลอดภัย ผมพยายามคิดอย่างหนักว่าเรื่องอะไรหนอที่พวกคุณจะต้อง ร่วมมือกันขจัด หรือจะเป็นการถูกรุกรานที่คุณต้องช่วยพวกเขา แต่มันก็ไม่น่าใช่ เพราะตามปกติแล้วชาวอาข่าเป็นคนที่รักสันติ รักษาตัว ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับคนนอกเผ่า พวกเขาจะใช้วิธีหนีหากมีภัยคุกคามจากนอกหมู่บ้าน อันตรายที่ชาวอาข่าต้องเผชิญนั้นส่วนมากเป็นเรื่องที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสงครามกันระหว่างกลุ่มชนของประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ทั้งในจีน เวียดนาม พม่า ลาว และทางเหนือของประเทศไทย อันจะทำให้พวกเขาต้องอพยพย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ แล้วสร้างหมู่บ้าน ปลูกข้าว ปลูกถั่ว เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ทำกินกันไปตามประสาชนกลุ่มน้อย ซึ่งในประเทศไทยมีชาวอาข่าอาศัยอยู่ประมาณร่วมแสนคน พวกเขาชอบสร้างบ้านอยู่บนที่สูงเป็นเพราะมันให้ความปลอดภัยและถูกอุปนิสัยรักอิสระ ดังนั้นเมื่อคิดมาถึงตรงนี้มันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องการถูกรุกรานที่เขาต้องการความช่วยเหลือจากคุณ อันที่จริงแล้วคุณไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้มากนักหากเป็นเรื่องนี้ ดังนั้นพวกคุณต้องไปค้นหากันเองว่ามีเภทภัยอะไรที่คุณจะสามารถช่วยพวกเขากำจัดออกไปได้ และมันคงไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนกับยารักษาโรค เพราะไม่มีส่วนไหนในคำสวดนี้ที่บ่งบอก มีแต่ช่วงเวลาเท่านั้นที่เกิดพร้อมกันปลายเดือนสามต่อเดือนสี่ ฤดี จดหมายฉบับนี้ผมใช้เวลาเขียนและเรียบเรียงติดต่อกันมาแล้วหลายชั่วโมง ผมอยากเขียนมันให้เสร็จก่อนที่ร่างกายผมจะปิดสวิตช์ หวังว่าคุณคงเข้าใจและไม่บ่นว่าผมเขียนอะไรมากมายให้คุณอ่าน แต่อันที่จริงคุณก็อ่านงานเขียนของผมมานับสิบเล่มแล้ว จดหมายเพียงไม่กี่หน้าเท่านี้ไม่ใช่ปัญหา สิ่งท้าทายจริงๆ ก็คือหลังจากคุณอ่านจดหมายฉบับนี้จบแล้วต่างหาก ผมเชื่อว่าคุณอาจมีข้อถกเถียงอยู่ในใจว่าคำสวดของพิมะที่คุณเคยได้ยินได้ฟังรวมทั้งที่ได้ศึกษามาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ทำงานกับผมไม่เคยมีคำทำนายเช่นนี้ ที่คุณรู้เพราะคุณเป็นคนแปลรายงานของนักเรียนทุนของเราที่พวกเขาบันทึกคำสวดส่งวิญญาณที่ร่ายโดยพิมะหลายหมู่บ้าน และหากสอบถามท่านผู้เฒ่าที่กำลังสวดในพิธีศพของผมอยู่ในขณะนี้คุณก็จะพบว่าไม่มีคำทำนายดังกล่าว ฤดี ผมรู้ว่าคุณกำลังนั่งอ่านจดหมายของผมหลังจากหลบผู้คนที่พลุกพล่านและส่งเสียงพูดกันอย่างไม่หยุด คุณเกิดมาเพื่อจะอ่านและเขียน ในขณะที่ชาวอาข่ารุ่นเก่าเขาสื่อสารกันด้วยการพูดและการฟัง ซึ่งเป็นคนละโลกกับคุณ ผมขอพูดตรงๆ อย่างไม่เกรงใจว่าคุณเรียนรู้ช้ากว่าพวกเขา เพราะคุณต้องตีความหลายชั้น คุณต้องการโลกเงียบเพื่อทยอยย่อยข้อมูล ในขณะที่คนไม่รู้หนังสือเขาใช้ประสาทหู ประสาทตา และความคิดประสานกันเป็นหนึ่งเดียวและเผชิญกับโลกที่อยู่ตรงหน้าในเวลาจริง พวกเขาจึงจดจำสิ่งต่างๆ ไว้ได้มากโดยไม่เอาไปฝากลงสมุด นอกจากนั้นความสามารถในการเรียนรู้ทางภาษาของพวกเขาก็ว่องไวกว่าคนที่อยู่ในระบบโรงเรียนนานนับสิบปีกว่าจะเรียนรู้ภาษาที่สองหรือที่สาม คุณคงสังเกตเห็นได้ว่าเด็กอาข่าในหมู่บ้านสามารถพูดภาษาไทยได้แค่เพียงนั่งคุยกับคุณสองสามวัน รวมทั้งเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากนักท่องเที่ยวและพูดกันรู้เรื่องในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ภาษาเขียนหรือตำรา ที่ผมเอ่ยยืดยาวเลื้อยมาถึงตรงนี้ เนื่องจากผมกำลังจะคลี่คลายข้อสงสัยของคุณว่าเมื่อสิบปีที่แล้วพิมะผู้ร่ายคำสวดที่อะผ่าถอดความมาหน้าสุดท้ายนั้น เขารู้ได้อย่างไรว่าจะมีโรคระบาดเกิดขึ้นในปีหนู 2020 นี้ ฤดี คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าบรรดาพิมะสืบทอดความรู้ต่างๆ ต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่บรรพชนชาวอาข่าคนแรกหกสิบชั่วคนมาแล้ว ทั้งคำสวดยืดยาวที่ท่องกันหลายวันก็ไม่หมดหัวสมองของพวกเขา ไปจนถึงเรื่องขนบธรรมธรรมเนียมพิธีกรรม และแม้กระทั่งการติดต่อกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ โดยทั่วไปแล้วพิมะแต่ละคนเรียนรู้คำสอนหลักจากต้นตระกูลที่ถ่ายทอดมาตรงกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก หากเขามีโอกาสพบปะ เช่น ในงานศพของพิมะใหญ่ พวกเขาจะช่วยตรวจสอบกันและกันโดยการนั่งฟังคำสวดและแก้ไขในส่วนที่พิมะอ่อนอาวุโสบางคนอาจมีการท่องจำผิดพลาดคลาดเคลื่อน ด้วยวิธีนี้โอกาสที่จะมีพิมะนอกรีตเกิดขึ้นนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีบ้างที่พิมะบางคนฝึกฝนเคี่ยวกรำตนเองจนเกิดสิ่งที่เรียกว่าญาณหยั่งรู้ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัว โดยปกติแล้วผู้ที่ได้ญาณหยั่งรู้ชนิดนี้มักไม่เห็นว่าเป็นเรื่องประหลาดอันใด พวกเขามองเป็นเรื่องของธรรมชาติมากกว่า ใครปลูกอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น พิมะผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในพิมะที่ขยันขันแข็งในการจดจำท่องบ่นจนเกิดปรากฏการณ์บางอย่างในจิตที่กล้าแข็งด้วยสมาธิ เมื่อเขาทำหน้าที่เป็นผู้นำวิญญาณของผู้ตายไปสู่ปรโลกในงานศพที่อะผ่าบันทึกเสียงไว้ ขณะที่เขาสวดอาจมีบางสิ่งปรากฏขึ้นในห้วงความคิดและเขาก็ร่ายมันออกมาอย่างอัตโนมัติในช่วงสั้นๆแค่ไม่กี่ประโยคและกินเวลาไม่ถึงนาที ฤดี สิ่งที่ผมตีความจากคำทำนายสั้นๆ นี้ คงมีบางส่วนตรงใจคุณบ้าง และนับจากวันนี้ไปคุณต้องเตรียมตัวเดินทาง อย่าคิดว่าผมสั่งคุณนะครับ โปรดถือว่าเป็นคำขอร้องจากเพื่อนเก่าที่จากโลกนี้ไปแล้ว อันที่จริงร่างของผมยังนอนอยู่ในห้องโถงที่กำลังจัดงานศพอยู่ ส่วนวิญญาณนั้นอาจกำลังนั่งดูคุณอ่านจดหมายพร้อมกับความคาดหวัง ผมอยากให้คุณจริงจังกับข้อเสนอของผมว่ามันจะบังเกิดประโยชน์แก่ชาวโลก อย่างน้อยหากคุณพยายาม แม้ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่คุณจะเกิดความภูมิใจว่าอย่างน้อยคุณได้ลงมือทำบางสิ่งด้วยความปรารถนาดีต่อสังคม ผมมีคำแนะนำสักสามสี่ข้อสำหรับการเริ่มต้นดังนี้ หนึ่ง คุณต้องรวมทีมให้ครบและออกเดินทางทันที ผมเขียนมาถึงบรรทัดนี้แล้วผมก็เสียดายสุดใจ ผมอยากลงมือปฏิบัติงานโครงการเร่งด่วนนี้ด้วยตนเองพร้อมกับคุณและคนอื่นๆ เราจะสร้างประวัติศาสตร์หน้านี้ด้วยกัน โดยเราจะไปค้นหาผู้ที่สามารถมอบตัวยารักษาโรคร้ายที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ แต่ช่างเถอะ ผมมาได้ไกลเท่านี้ ชีวิตที่ผ่านมาผมใช้มันอย่างคุ้มค่าและมีความหมายแล้ว สอง คุณต้องไปตั้งต้นที่หมู่บ้านผาแดงของอะผ่าแล้วหาเส้นทางไปยังน้ำตกที่ภูผาดำ คุณจะพบหมู่บ้านริมธารซึ่งผมมั่นใจว่าตั้งอยู่ไม่ไกลจากต้นน้ำ สาม เมื่อพบหมู่บ้านริมธารแล้ว สิ่งต่อไปคือคุณต้องไปหาญิผ่าและขอตัวยาจากนางเพื่อนำออกมาสู่ชาวโลก เราคงมีวิธีทำให้ตัวยางอกเงยออกมาเพียงพอสำหรับผู้ป่วยทุกคน (เทคโนโลยีด้านชีวภาพสมัยใหม่ล้ำยุค คุณไม่ต้องห่วง) และ สี่ ข้อนี้สำคัญมาก คุณต้องพาตัวคุณและตัวยาพร้อมลูกทีมออกมาจากหมู่บ้านให้ได้อย่างปลอดภัย (บรรทัดสุดท้ายของรายงานทำให้ผมกังวลจนเกิดความเครียดว่าเภทภัยที่คุณต้องร่วมมือขจัดคืออะไร) ภารกิจทั้งสี่ข้อนี้ควรกินเวลาไม่เกินห้าวัน คุณเข้าใจใช่ไหมว่าทุกปฏิบัติการ ยิ่งใช้เวลาน้อยเท่าไรก็จะยิ่งดีต่อชีวิตคุณและลูกทีม ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่าคุณอาจได้ตัวยาสำคัญมารักษาโรคเฮมาลอยด์ ที่กำลังคุกคามชีวิตผู้คน นอกจากนั้นยังเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ไปเห็นชีวิตของชาวอาข่าในหมู่บ้านที่ปิดตัวจากโลกภายนอก ผมเชื่อแน่ว่ามันต้องเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจสำหรับนักวิจัยเก่าอย่างคุณและมันยังเป็นสิ่งที่คลังความรู้ของมูลนิธิเราจะต้องทำการศึกษาไว้ เอาละ ทีนี้เรามาพูดกันเรื่องทีมที่จะเดินทาง บุคคลสองคนต่อไปนี้ผมเลือกไว้ให้เป็นผู้ช่วยคุณ คนแรก อินญา หลานสาวผม เธออายุยี่สิบสี่ เพิ่งเรียนจบจากวิทยาลัยสดๆร้อนๆ แม่ของอินญาเป็นหญิงงามชาวไอริช เธอแต่งงานกับโจนาห์-น้องชายผม ผู้ไปทำงานสอนหนังสือที่ภาคเหนือของไอร์แลนด์เมื่อสามสิบปีที่แล้ว (ช่วงเดียวกับที่ผมและคุณเริ่มทำงานด้วยกันนั่นแหละ) โจนาห์แต่งงานก่อนผมสองปี เขาอุตส่าห์มีลูกได้เมื่ออายุสี่สิบห้า แต่ก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์เจ็บตัวกันไปทั้งเขาและเอลีนผู้เป็นภรรยา อินญาเติบโตที่ไอร์แลนด์จนถึงสิบขวบ จากนั้นน้องชายผมก็เกษียณและพาครอบครัวย้ายกลับไปอยู่รัฐมิสซูรีบ้านเกิดของเขา(และของผมด้วย) อินญาสนใจผู้คนเจ้าของถิ่นดั้งเดิมของมิสซูรีมาก พวกเขาเป็นชาวพื้นเมืองผู้อยู่อาศัยในพื้นที่นี้ประมาณแปดพันปีก่อนถูกคนผิวขาวผู้อพยพจากยุโรปรุกรานจนเกือบสิ้นเผ่าพันธุ์ ผู้คนเหล่านี้มีวัฒนธรรมเก่าแก่ มีภูมิปัญญาและหลักปฏิบัติที่สืบทอดต่อกันมายาวนาน ผมเองก็เติบโตมาที่รัฐนั้น คุณคงได้คำตอบว่าทำไมผมจึงหลงรักชนกลุ่มน้อยและตัดสินใจใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับหมี่ยะและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากเธอและครอบครัว กลับมาที่อินญากันอีกที เมื่อย้ายไปอยู่มิสซูรี เธอเรียนไฮสกูลที่โรงเรียนของรัฐ จากนั้นเข้าวิทยาลัยและเลือกเรียนสาขามานุษยวิทยา ซึ่งในโลกปัจจุบันแทบไม่มีใครสนใจเรียนสาขานี้เพราะมันล้าสมัย และเมื่อเรียนจบมาแล้วก็ต้องเข้าสู่งานอาชีพที่ไม่ทำเงิน ไม่สร้างรายได้เท่ากับการเรียนวิชาที่วิ่งตามโลก อย่างไรก็ตาม สี่ปีผ่านไปเธอเรียนจบออกมาด้วยคะแนนเกียรตินิยม ครอบครัวอินญาและผมสนิทกลมเกลียวกันดี อีกทั้งผมกับหมี่ยะไม่มีลูกแม้จะแต่งงานกันมาถึงยี่สิบห้าปี (นักเรียนทุนของเราทุกคนคือลูกของผมและหมี่ยะ ผมย้ำกับพวกเขาเสมอ) ดังนั้นอินญาจึงเป็นญาติรุ่นเยาว์คนเดียวของผม ไม่นานมานี้อินญาส่งข้อความคุยกับผมว่าเธออยากเป็นอาสาสมัครให้มูลนิธิของเรา ผมดีใจมาก เพราะมันตรงกับความประสงค์ของผม ผมเคยชวนเธอให้มาเยือนเชียงใหม่หลายครั้ง แต่เธอก็ผัดผ่อนเรื่อยมาเพราะเธอต้องการใช้เวลาภาคฤดูร้อนศึกษาวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองอเมริกันในนิคมที่มิสซูรี ไอโอวา เนแบรสกา และรัฐอื่นๆ ซึ่งเธอทำติดต่อกันมาสามปีแล้ว ผมเข้าใจความมุ่งมั่นชนิดนี้และผมก็ภูมิใจที่เธอเป็นคนมีนิสัยเด็ดเดี่ยว เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้วก็ทำไปจนสุดทาง (ผมคิดว่าอุปนิสัยเช่นนี้เป็นกรรมพันธุ์เช่นเดียวกับก้อนเนื้องอกในลำไส้ใหญ่ของปู่ ของพ่อ และของผม และผมเดาว่าน้องชายผมอาจไม่ใช่ข้อยกเว้น ผมภาวนาขอให้เขาอายุยืนยาวกว่าผม) เอาเป็นว่า อินญาวางแผนเดินทางมาเชียงใหม่ไว้แล้ว และเธอคงจะมาถึงในเร็ววันนี้ ถ้าผมโชคดีผมคงมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่เธอมา อินญาขับรถได้คล่อง (เธอคงต้องฝึกขับรถบนถนนเมืองไทยที่ขับรถสวนทางความเคยชินของเธอ) เมื่อคราวที่หมี่ยะและผมเดินทางไปเยี่ยมบ้านที่สหรัฐฯ เราพักที่บ้านโจนาห์และเอลีน หลานสาวผมขับรถพาหมี่ยะตระเวนไปโน่นมานี่ตลอดสองอาทิตย์ การเดินทางร่วมไปกับคุณครั้งนี้ถือเป็นการให้ประโยชน์แก่อินญาที่จะได้มีโอกาสฝึกฝนตนเองให้แก่กล้าเชี่ยวชาญในการเป็นนักมานุษยวิทยา เป็นการช่วยฟื้นฟูศาสตร์สาขานี้ให้ผู้คนหันมาสนใจเพิ่มขึ้นมากกว่าการเรียนรู้เรื่องธุรกิจเพื่อหากำไร ฤดี การที่คุณหันหลังหนีจากงานของเรา มีเหตุผลหนึ่งที่ผมเข้าใจคุณอย่างลึกซึ้งว่าคุณเบื่อหน่ายผู้ให้ทุนที่มุ่งหวังหาประโยชน์จากมูลนิธิหมี่ยะ-โนอาห์ และของชนกลุ่มน้อยอื่นๆ อีกหลายแห่งทั่วทุกภูมิภาค พวกเขาเห็นนักเรียนทุนชาวอาข่าเป็นเพียงเครื่องมือประชาสัมพันธ์เพื่อจะได้รับผลกำไรมากขึ้นจากผู้บริจาครายใหญ่ที่มอบเงินก้อนหมึมาให้หน่วยงานของพวกเขาเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย แต่น่าเศร้าที่มันกลับกลายเป็นเงินเดือนและสวัสดิการของบรรดาเสือตัวใหญ่ที่นั่งคุดคู้อยู่ในห้องแอร์ รับเบี้ยสนามกันครั้งละหลายร้อยดอลลาร์ต่อคนต่อวัน พวกเขาและครอบครัวกินอยู่กันอย่างสุขสบาย ได้เอกสิทธิทางการทูต เดินทางด้วยเครื่องบินชั้นหนึ่งไปยังโครงการที่รับทุนแล้วเจียดเศษเงินนิดหน่อยมาให้เรา ช่างน่าเศร้านะ ฤดี ผมเข้าใจที่คุณทนเรื่องนี้ไม่ได้ ดังนั้นผมจึงฝากความหวังไว้ที่อินญาว่าเธอจะสามารถพัฒนาวิชาความรู้ของตนในทางมานุษยวิทยา วันหนึ่งเธอจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารมูลนิธิฯ ร่วมกับหมี่ยะ และเมื่อนั้นทั้งสองจะมีโอกาสนำเสนอเรื่องราวของชาวอาข่าและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ให้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียม ไม่ใช่แค่ชนเผ่าที่รอรับเศษเงินของพวกองค์กรนายหน้าที่หากินกับเงินบริจาค และผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชาวอาข่าจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในโลกสมัยใหม่ที่พวกเขาต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายเพื่อความอยู่รอด ไม่ใช่เป็นเพียงตุ๊กตาที่สวมใส่เสื้อผ้าประดับเครื่องเงิน และทำได้แค่ร้องเพลงหรือเต้นรำให้คนถ่ายรูป ... ผมเถลไถลอีกแล้ว เฮ้อ กลับมาที่การสรรหาผู้ร่วมเส้นทางคนที่สองของคุณกันดีกว่า ผู้นั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อะผ่า อดีตนักเรียนทุนผู้เขียนรายงานอันเป็นต้นเรื่องที่ทำให้คุณต้องอดหลับอดนอนอ่านจดหมายผมจนดึกและคุณจะไม่ได้พักผ่อนหัวสมองจนเช้า เพราะคุณคงต้องคว้าเอารายงานของอะผ่ามาอ่านตั้งแต่ต้น ผมรู้จักคุณนะฤดี ผมขอแนะนำว่าพรุ่งนี้คุณต้องหาเวลานอนพักสักสองชั่วโมง เพราะสุขภาพของคุณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับภารกิจนี้ ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD