ฤดีแหงนมองบนหิ้งริมประตูที่มีรูปใบเล็กของหญิงชราใส่กรอบโลหะตั้งไว้ เธอเอ่ยปากขออภัยที่ล่วงล้ำเข้ามา จากนั้นเธอเดินช้าๆ ออกจากกระท่อมและงับประตูปิดไว้ตามเดิม
เสียงรถหลายคันทยอยแล่นผ่านประตูรั้วเข้ามา ฤดีเร่งฝีเท้าเดินไปตามทางปูอิฐผ่านอาคารห้องสมุด ผ่านอาคารเกสต์เฮาส์ และอาคารหอพักไปยังลานหน้าบ้านที่มีเสียงผู้คนทั้งหญิงชายพูดกันฟังไม่ได้ศัพท์
ฤดีเห็นหมี่ยะกำลังลงจากรถคันหนึ่งที่มีสุจาเป็นผู้ขับ ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มของหมี่ยะดูซีดเซียวและหมองคล้ำ ฤดีสาวเท้าตรงไปหา
“หมี่ยะ สุจา” ฤดีทักเสียงเบา
“พี่ฤดี!”
หมี่ยะโผเข้ากอดร่างฤดีไว้แน่นพร้อมกับส่งเสียงร้องให้กระซิก ฤดีโอบร่างอ้วนกลมของหมี่ยะไว้ครู่หนึ่งจนเสียงสะอื้นแผ่วลง สุจาในชุดกระโปรงสีดำผ้าบางพลิ้วเดินฉับๆ เข้ามาหาฤดี ใบหน้างามแต่งแต้มเครื่องสำอางบางเบา ดวงตาแดงก่ำ
ฤดีพูดอะไรไม่ออก เธอพยุงร่างหมี่ยะให้เข้าไปในลานบ้านอันกว้างขวาง รถพยาบาลเปิดไฟวาบสีน้ำเงินกำลังแล่นตามทางมาอย่างเชื่องช้าและจอดเบื้องหน้าเรือนหลังใหญ่อย่างสำรวม หลังจากดับเครื่องยนต์แล้วเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลในชุดเครื่องแบบสีขาวลงมาจากที่นั่งคนขับ ประตูท้ายรถเริ่มขยับเปิดจนเห็นร่างของโนอาห์คลุมด้วยผ้าแดงถึงหน้าผากนอนตัวแข็งอยู่บนเปลล้อเลื่อน พนักงานที่นั่งอยู่ภายในช่วยกันเลื่อนเปลออกมาจากรถ เสียงร้องไห้ระงมของเหล่าญาติพี่น้องสตรีของหมี่ยะดังขึ้นโดยรอบ บรรดานักเรียนทุนของมูลนิธิที่รวมตัวกันในบริเวณบ้านต่างลุกยืนขึ้น
ชายหนุ่มในชุดสีดำหกคนเดินนำหน้าเปลที่เข็นอย่างช้าๆ เข้าไปจนถึงบันไดบ้าน พวกเขาช่วยบุรุษพยาบาลยกร่างโนอาห์ขึ้นบันไดสิบห้าขั้นขึ้นไปที่ชั้นสอง เบื้องหน้าของพวกเขาคือห้องโถงขนาดใหญ่มีโลงศพที่ขุดจากไม้ทั้งต้นตั้งวางอยู่ มันมีรูปทรงโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยว ผู้คนทั้งชาย หญิง เด็ก ผู้ใหญ่พรั่งพรูตามเข้าไปพร้อมกับเสียงพูดโต้ตอบกันไปมาน่าสับสน ร่างโนอาห์ถูกยกไปวางนอนบนแท่นยาว บุรุษพยาบาลโค้งคำนับลาผู้ตายและหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ที่บัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ทยอยเข้าไปนั่งกับพื้นอย่างไม่ขาดสาย
ชายผมขาวโพกผ้าแดงที่กำลังวางเครื่องบูชาอยู่เบื้องหน้าร่างโนอาห์ในขณะนี้คือ “พิมะ” ผู้ซึ่งนั่งรถประจำทางมาจากหมู่บ้านของหมี่ยะตั้งแต่เช้ามืด
“พิมะ” คือตำแหน่งหัวหน้าผู้ประกอบพิธีกรรมในงานศพ ซึ่งหมู่บ้านชาวอาข่าทุกแห่งจะมีผู้อาวุโสหนึ่งหรือสองคนที่เป็นพิมะ บทสวดที่ใช้ร่ายส่งวิญญาณผู้ตายมีความยาวหลายสิบชั่วโมง พิมะและผู้ช่วยต้องนั่งสวดปากเปล่ากันข้ามวันข้ามคืน เนื้อหาของคำสวดเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของบรรพชนตลอดจนคำสอนต่างๆ และนำทางผู้ตายไปสู่ภพภูมิใหม่ โนอาห์เคยบอกว่าผู้ที่เป็นพิมะนั้นมีสมองเทียบได้กับฮาร์ดดิสก์ของคอมพิวเตอร์ซึ่งเก็บรับข้อมูลคำสวดจากบรรพบุรุษเข้ามาสู่ความทรงจำโดยการฟังเท่านั้น
หมี่ยะ ฤดี สุจา และญาติพี่น้องของหมี่ยะพากันไปห้อมล้อมดูการบรรจุศพโนอาห์ใส่โลงไม้ครึ่งวงกลม ร่างผอมสูงแข็งทื่อของผู้ตายถูกกดบีบลงไปในโลงอย่างยากลำบาก หมี่ยะจับมืออันเย็นชืดของโนอาห์ไว้โดยไม่ยอมปล่อย เสียงสะอื้นร่ำไห้ของสุจาดังอยู่ข้างฤดีที่เบือนหน้าไปทางอื่น ครู่ใหญ่ผ่านไปฝาโลงไม้หนาหนักก็ถูกนำมาคว่ำปิดและมัดด้วยเชือกหลายทบตามแบบที่ปฏิบัติสืบมา ชายหนุ่มทั้งหกคนช่วยกันยกโลงศพขึ้นวางบนที่ตั้ง ฤดีพยุงหมี่ยะออกมาจากห้องเมื่อวางช่อดอกไม้ให้โนอาห์แล้ว สุจาเดินเช็ดน้ำตาป้อยๆ ตามหลัง
ขณะเดียวกันที่ลานบ้านเบื้องล่าง ชายไทยผมบางรูปร่างท้วมใหญ่วัยหกสิบห้าปีกำลังเร่งฝีเท้าฝ่าแดดจ้าผ่านประตูรั้วกำแพงเข้ามาที่บริเวณงาน หลังของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อที่ไหลพลั่ก เมื่อสามสิบปีที่แล้วชายผู้นี้ทำงานเป็นมัคคุเทศก์พานักท่องเที่ยวขึ้นไปทัศนาจรบนดอยสูง เขาได้รู้จักฤดี โนอาห์ และสุจาจากการเดินทางบนรถโดยสารคันเดียวกัน ซึ่งในครั้งนั้นมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นช่วงพลบค่ำอันนำไปสู่ประสบการณ์แปลกประหลาด สยดสยอง และสะเทือนใจ[1] หลังจากค่ำคืนอันหนาวเหน็บผ่านไปทั้งหมดได้กลายเป็นเพื่อนกัน หลายปีต่อมาเขาแต่งงานกับหญิงชาวอังกฤษและย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่ชานกรุงลอนดอนนานกว่ายี่สิบปี เขาเพิ่งกลับมาเชียงใหม่และปลูกบ้านอยู่อาศัยที่สันกำแพงเมื่อไม่นานมานี้ เขาและฤดีและคนอื่นๆ พบปะพูดคุยกันผ่านสื่อสังคมออนไลน์เป็นประจำ
ชายคนดังกล่าวกำลังเบียดผ่านผู้คนขึ้นบันไดมาที่ชั้นสอง ฤดีมองเห็นเขาและโบกมือให้ สุจามองตามสายตาของฤดีและอุทานอย่างดีใจ
“พี่ชด!”
ชดเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขากางแขนโอบหมี่ยะ ฤดี และสุจาพร้อมกัน
“ทุกคน ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ นึกไม่ถึงเลยว่าคุณโนอาห์จะจากเราไป”
ครู่หนึ่งจากนั้นคนทั้งสี่ก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ริมระเบียง หมี่ยะเล่าให้ชดฟังอีกครั้งถึงอาการป่วยของโนอาห์จนถึงเวลาที่เขาสิ้นลม
“ญาติคุณโนอาห์จะมาสักคนไหม” ชดถามหลังจากฟังสิ่งที่หมี่ยะพูดเล่าอยู่ครู่ใหญ่
“เมื่อตอนสายน้องชายคุณโนอาห์โทรมาจากอเมริกาบอกว่ายังเดินทางมาไม่ได้ ประเทศเขาก็มีโรคระบาดเหมือนเรา มีขั้นตอนมากมายเรื่องการเดินทาง รัฐบาลของเขาสั่งให้ประชาชนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ร้านค้าถูกสั่งปิด สินค้าอะไรก็ขาดตลาดไปหมด”
“เรื่องใหญ่มากครับโรค เฮมาลอยด์ ที่กำลังระบาดหนักตอนนี้ ประเทศในยุโรปทั้งหมดมีปัญหาเช่นกัน มีคนป่วยตายใกล้จะถึงแสนคนแล้ว และตอนนี้มันคืบคลานขยายข้ามเขตแดนไปเรื่อยๆ” ชดกล่าว หมี่ยะถอนหายใจและพยักหน้า
“นั่นสิคะ หมี่ยะว่ามันน่ากลัวมากจริงๆ แต่อินญา...หลานสาวของโนอาห์น่ะค่ะ บอกว่าจะออกเดินทางคืนนี้ก่อนที่สหรัฐฯจะสั่งปิดประเทศ เขาสนิทกับคุณโนอาห์ตั้งยังเด็ก ตอนที่คุณโนอาห์พาหมี่ยะไปเยี่ยมบ้านของเขาที่มิสซูรีก็ได้อินญานี่แหละค่ะที่ขับรถตระเวนเที่ยวกับเรา หมี่ยะรู้จักเพื่อนอินญาแทบทุกคนรวมทั้งครอบครัวของพวกเขา อินญาวางแผนไว้ล่วงหน้าหลายเดือนแล้วว่าหากเรียนจบจะมาเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิและคุณโนอาห์ก็รออยู่ แต่น่าเสียดาย...” หมี่ยะเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนพูดต่อ “...อินญาจะมาได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้นะคะ สนามบินอาจจะปิด...”
แล้วการพูดคุยก็หันมายังเรื่องโรคระบาดที่สร้างปัญหาให้แก่คนทั้งโลก
“ของบ้านเราก็มีข่าวคนติดโรค เฮมาลอยด์ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าตอนนี้จะไม่มียาที่รักษาให้หายขาด แต่ฉันเชื่อว่าอาจมีการค้นพบวัคซีนป้องกัน เพราะเท่าที่อ่านข่าวทุกประเทศกำลังพยายามคิดค้นกันอย่างเต็มที่นะคะ และอีกอย่างโรคนี้ติดต่อโดยการสัมผัสสารคัดหลั่งเท่านั้น คนไทยจึงติดโรคนี้น้อยกว่าพวกฝรั่ง” ฤดีกล่าว สุจาและหมี่ยะพยักหน้า
ชดเสริมว่า “มันก็คงเนื่องจากเหตุผลที่ว่าพวกคนไทยไม่ค่อยถูกเนื้อถูกตัวกันเพราะวัฒนธรรมเราเป็นแบบนี้ ใช้การไหว้ การรักษาท่าที อีกอย่าง ไวรัสตัวนี้หากโดนแดดสักพักมันก็ตายแล้ว ประเทศเราอยู่ในช่วงฤดูร้อนโรคจึงไม่กระจาย ที่พวกฝรั่งติดโรคระบาดกันมากเพราะพวกเขามักโอบกอดและจับมือกัน พอคนหนึ่งไม่สบายก็กลายเป็นว่าพากันป่วยไปทั้งครอบครัว แถมเลยไปถึงเพื่อนร่วมงานและเพื่อนลูกที่โรงเรียน ขยายตัวไปหลายเท่าทวีคูณจากการสัมผัส นอกจากนั้นยังมีปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ และในบางระดับพวกเขาไม่ได้ป้องกันตนเองให้รัดกุมทำให้กลายเป็นพาหะนำเชื้อโรคไปสู่ประชาชน”
หลังจากพูดคุยกันจนพอใจแล้ว หมี่ยะก็ลุกขึ้นยืนและเชิญให้ทุกคนเข้าไปนั่งในห้องโถงเพื่อร่วมฟังคำสวดของพิมะ
โลงที่บรรจุศพโนอาห์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องด้านใน ผู้คนทยอยเข้าไปทำความเคารพและพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่ของหมี่ยะ พิมะวัยกลางคนส่งเสียงสวดอยู่บนที่นั่งด้านขวาติดกับโลงศพ เขาโพกผ้าสีแดงและสวมเสื้อสีดำ มีถ้วยน้ำร้อนน้ำชาวางอยู่ในถาดเบื้องหน้า ผู้ฝึกสวดนั่งเยื้องไปข้างหลัง นักเรียนชายหญิงมีสมุดปากกาในมือเพื่อจดบันทึกสิ่งที่เห็นไว้ศึกษา พวกเขาจะได้เรียนรู้พิธีกรรมงานศพที่จัดแบบชาวอาข่าในบ้านที่ตั้งอยู่กลางเมืองเชียงใหม่ ผู้มาร่วมงานต่างนั่งอย่างสำรวมเพื่อฟังถ้อยคำซึ่งจะร่ายต่อเนื่องไปเป็นเวลาสามวันอันเป็นพิธีส่งวิญญาณผู้วายชนม์ไปสู่ดินแดนบรรพบุรุษ โนอาห์แม้ไม่มีลูกชายสืบสกุล แต่การที่เขาช่วยอุปถัมภ์บุตรชายบุตรสาวของชาวอาข่าให้ได้รับการศึกษาและพัฒนาความรู้นั้น เขาก็มีสิทธิ์เดินบนเส้นทางไปสู่บ้านอันถาวรและได้พบความสุขอันนิรันดร์
เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำชดขอตัวลากลับ เขาบอกทุกคนว่าวันพรุ่งนี้เขาจะมาอีกครั้งจนถึงวันฝังศพ ส่วนฤดีลงบันไดไปชั้นล่างเมื่อเวลาใกล้สองทุ่มและเดินลัดเลาะไปยังอาคารที่สามอันเป็นที่ตั้งของห้องสมุด
อาคารนี้เป็นที่ทำงานของฤดีนานนับสิบปีก่อนเธอลาออกจากมูลนิธิเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว มันเก่าโทรมลงเมื่อเวลาผ่านไป ห้องสมุดชั้นล่างเป็นที่เก็บรวบรวมเอกสารและบทความจากหลายแหล่งที่เขียนเกี่ยวกับชนกลุ่มน้อยในภาคเหนือของประเทศไทย นอกจากนั้นยังมีหนังสือที่ให้ความรู้ด้านวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ทั่วโลก อีกทั้งยังมีหนังสือแปลกประหลาดหลายสิบเล่มที่โนอาห์สะสมไว้ซึ่งเขาขนมาจากบ้านที่สหรัฐฯ
ฤดีเอื้อมมือกดสวิตช์ไฟ ทุกอย่างแทบจะอยู่ในสภาพเดิมก่อนเธอจากไป มีชั้นหนังสือตั้งเรียงรายเต็มผนังสามด้านจนชิดขอบประตู กลางห้องเป็นโต๊ะยาวล้อมด้วยเก้าอี้สิบสองตัว ฤดีนึกเห็นภาพโนอาห์ หมี่ยะ สุจา อาผี่ญิผ่า และตัวแทนนักเรียนทุนกำลังนั่งประชุมหารือกันเดือนละสองครั้ง
ผนังด้านที่สี่มีตู้เอกสารโลหะวางไว้สองข้างโต๊ะทำงานที่ตั้งริมหน้าต่าง มีสมุดบันทึก แฟ้มเอกสารหนึ่งชุด ดินสอและปากกาวางไว้ ฤดีเดินตรงไปและหยุดยืนนิ่ง จากนั้นจึงเอื้อมมือลงไปที่ลิ้นชักกลาง เธอหลับตาครู่หนึ่ง ความรู้สึกบางอย่างบอกเธอว่าโนอาห์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะในขณะนี้ ฤดีขนลุก เธอดึงลิ้นชักออกมา มีเอกสารส่วนตัวหลายอย่างวางซ้อนกันไม่เป็นระเบียบ ที่อยู่บนสุดคือซองจดหมายสีน้ำตาลจ่าหน้าถึงฤดี
“โนอาห์ คุณเขียนอะให้ฉันหรือ”
ฤดีคิดขณะที่หยิบซองนั้นขึ้นมา เธอเหลียวไปรอบๆ อาคารที่เงียบสงบหลังนี้ราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง แม้ห่างออกไปเพียงห้าสิบเมตรจะเป็นบ้านที่มีผู้คนนับร้อยคนมาร่วมพิธีศพ แต่ฤดีแทบไม่ได้ยินเสียงอันใดนอกจากเสียงหัวใจของเธอที่กำลังเต้น
ฤดีเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะยาวกลางห้อง มือที่สั่นน้อยๆ เปิดซองจดหมายออกอย่างช้าๆ ในซองนั้นมีกระดาษที่พริ้นท์ออกจากเครื่องพิมพ์ปึกใหญ่ประมาณสิบหน้า เธอพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายที่มีลายเซ็นจากมืออันอ่อนล้าของโนอาห์ นี่คงต้องเป็นเรื่องด่วนอย่างที่หมี่ยะและสุจาบอก เส้นหมึกอันสั่นไหวของเขาบ่งบอกถึงความพยายามนั้น
ฤดีเริ่มต้นอ่านจากบรรทัดแรก...
23 มีนาคม 2020
Dear Ruedy
เมื่อคุณได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ผมแน่ใจว่าร่างของผมคงนอนสบายอยู่ในโลงไม้เรียบร้อยแล้ว แต่จิตใจและวิญญาณผมคงยังไม่ได้พักผ่อน จนกว่าภารกิจที่ผมจะมอบให้คุณนั้นบรรลุผล
ก่อนอื่น ผมอยากเล่าเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง มันค่อนข้างสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันของโลกที่มีการระบาดของไวรัส เฮมาลอยด์ ที่ไม่มียาชนิดใดรักษาได้ ผมติดตามข่าวนี้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วด้วยความแปลกใจ
ที่ผมแปลกใจนั้นไม่ใช่เรื่องการระบาดของโรคหรอกนะฤดี
แต่เป็นเรื่องที่ผมได้อ่านจากรายงานของนักเรียนทุนคนหนึ่ง
อย่างที่คุณรู้และทำอยู่เมื่อครั้งคุณยังทำงานกับผมที่มูลนิธินี้ นักเรียนทุนของเราทุกคนเป็นตัวแทนหมู่บ้านอาข่าหลายแห่งในเขตจังหวัดเชียงราย และทุกปีพวกเขาต้องกลับไปศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของตนและเขียนรายงานส่งให้เราอ่าน ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาใช้วิธีจดและบันทึกเทป จากนั้นจึงนำมาถอดความเขียนเป็นภาษาไทยให้คุณแปลเป็นภาษาอังกฤษ หลังจากนั้นมันก็จะถูกเก็บรักษาอย่างเป็นระบบในคลังข้อมูลของมูลนิธิ
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาพวกนักเรียนทุนได้รวบรวมองค์ความรู้จากหมู่บ้านไว้มากมาย ทั้งด้านการเกษตรบนที่สูง การเลี้ยงสัตว์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติ การประดิษฐ์ของใช้ การทำเครื่องจักสานและเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวัน การปลูกฝ้ายเพื่อใช้ทอผ้า การเย็บปักถักร้อย การปลูกข้าวและพืชไร่เพื่อการบริโภค การล่าสัตว์ การเก็บหาของป่า รวมทั้งศึกษาระบบความเชื่อและเหตุผลของพิธีกรรมต่างๆ
นอกจากนั้นเรายังมีการบันทึกคำสวดคำสอนและองค์ความรู้ในทางปฏิบัติจากบุคคลสำคัญของหมู่บ้าน อาทิ
พิมะ-ผู้นำในการประกอบพิธีกรรมในการส่งดวงวิญญาณผู้ตายให้ไปสู่ดินแดนแห่งสุดท้าย
เจิ่วมะ-ผู้เป็นประธานหมู่บ้านซึ่งต้องเข้าร่วมในการฉลองและกิจกรรมต่างๆ บทบาทที่แท้จริงของเจิ่วมะคือเป็นผู้รักษาจารีตแบบแผนอันดีงามของชาวอาข่าให้คงอยู่และปฏิบัติอย่างถูกต้อง
บูแซะ และ หน่าเงอะ - ทำหน้าที่รักษาความสงบ บังคับใช้กฎประเพณี และตัดสินข้อพิพาทระหว่างกัน
คะมา-เป็นผู้ช่วยสนับสนุนกิจการต่างๆ ของชุมชน เขาจะประสานงานบอกกล่าวไปทุกครัวเรือนหากมีข่าวสำคัญ
ญิผ่า - ที่เราต่างรู้จักกันดีอยู่แล้วว่าเป็นผู้ทรงความรู้ด้านสมุนไพร การเยียวยา รวมถึงการใช้คาถาและพิธีกรรม
และทุกหมู่บ้านต้องมีนายช่างใหญ่หนึ่งหรือสองคน ซึ่งก็คือ บะจี-คนทั่วไปอาจเรียกเขาว่าช่างตีเหล็ก แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นผู้ชำนาญด้านการประดิษฐ์เครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวันทั้งเครื่องมือทำไร่และเครื่องมือล่าสัตว์ บะจีเป็นผู้มีความรู้ในทางปฏิบัติ ซึ่งนักเรียนของเราส่วนใหญ่มักไม่ค่อยได้เข้าไปขอความรู้จากท่านผู้นี้ ชีวิตที่สุขสบายในเมืองทำให้พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงวิถีดั้งเดิมของปู่ย่าตายาย พวกเขาได้แต่เรียนหนังสือตามหลักสูตรโดยไม่จำเป็นต้องทำไร่ ถางป่า หรือเก็บเกี่ยวพืชอาหาร มือไม้ไม่แตกด้านดำ ไม่ต้องนั่งปั๊มเครื่องสูบลมหน้าเตาหลอมเหล็กเพื่อตีมีดให้คนได้ใช้ และเดี๋ยวนี้ชาวหมู่บ้านสามารถซื้อเครื่องมือทำไร่ได้จากตลาด ดังนั้นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งบะจีก็เริ่มหมดความสำคัญลงไป
ผมจึงกระตุ้นให้นักเรียนทุนของเราเข้าไปศึกษาหาความรู้จากท่านเหล่านี้และให้พวกเขาจดลงสมุดเขียนเป็นรายงานพร้อมกับบันทึกเสียงและภาพไว้ มีอาสาสมัครหลายชาติมาช่วยเก็บรวบรวมงานพวกนี้เก็บลงแผ่นซีดี ซึ่งม้วนเทปและแผ่นซีดีที่เราทำไว้นั้นมีมากมาย นักเรียนของเราเลือกมาถอดความได้เพียงบางบทบางตอนเท่านั้น
และก็อย่างที่เราสังเกตเห็นได้ นักเรียนทุนรุ่นหลังๆ หลายคนมักละเลยงานยากเช่นที่ว่า พวกเขาแทบไม่ได้ทำในส่วนนี้เลย แต่ที่เขายังได้รับทุนการศึกษาจากเราเพราะเขามีความก้าวหน้าในระบบการศึกษาของโรงเรียนสมัยใหม่ มีผลการเรียนที่น่าพอใจตรงกับข้อกำหนดของผู้ให้ทุน แต่ยังมีนักเรียนบางคนที่ใส่ใจวิถีดั้งเดิมของตน โดยพวกเขาเมื่อกลับไปหมู่บ้านก็ได้ศึกษาและบันทึกภูมิปัญญาด้านต่างๆไว้ แม้จะไม่ละเอียดเท่าที่ผมคาดหวัง
ฤดี เมื่อคุณลาออกไปผมอายที่จะบอกว่างานด้านการศึกษาและเผยแพร่ความรู้โบราณของชาวอาข่าที่พวกเราเคยทำค่อยๆ หยุดชะงัก ขณะเดียวกับที่ผู้อาวุโสผู้ทรงภูมิจากหมู่บ้านบนดอยสูงก็ทยอยลาจากโลกนี้ไปทุกปี ปีละหลายคน
ผมมาคิดด้วยความเสียดายว่าน่าจะมีคนที่เร่งทำโครงการนี้ในสองประเด็นคือ หนึ่ง ให้ค้นหาผู้อาวุโสทั้งเจิ่วมะ พิมะ ญิผ่า บะจี และคนอื่นๆที่ยังมีชีวิตอยู่และไปขอบันทึกความรู้จากท่านเหล่านั้นให้เร็วที่สุด ในขณะเดียวกันเราต้องถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ออกเผยแพร่ให้แก่ลูกหลานชาวอาข่าได้ซึมซับสิ่งที่บรรพบุรุษพวกเขาได้รวบรวมไว้ก่อนที่มันจะสูญหายไป
แต่…
แม้เรื่องที่ผมกล่าวมานั้นนับได้ว่าเป็นภารกิจที่ต้องเร่งรีบลงมือทำ มันก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นเรื่องด่วนมากนัก หากเทียบกับเรื่องที่ผมกำลังจะบอกและขอร้องให้คุณถือเป็นภาระที่ต้องปฏิบัติทันที
เริ่มจากเอกสารที่อยู่บนโต๊ะนี้ ซึ่งเป็นรายงานปี ค.ศ. 2010 เขียนขึ้นโดยอะผ่า-นักเรียนทุนของมูลนิธิ ขณะนั้นเขามีอายุ 15 ปี มันเป็นคำสวดของพิมะผู้หนึ่ง บันทึกจากหมู่บ้านผาแดงอันเป็นหมู่บ้านที่เด็กหนุ่มผู้นี้เกิดและเติบโตที่นั่น
ในปีนั้นเมื่อเขาส่งงาน ผมจำได้ว่าผมอ่านมันทุกตัวอักษรจนถึงหน้าสุดท้ายซึ่งมีเนื้อความท่อนหนึ่งน่าประหลาดใจ ในเวลานั้นผมคิดเอาเองว่าสิ่งที่ผ่านตาผมไปคือคำบอกเล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่บรรพชนอาข่าเผชิญกับภัยคุกคามของโรคระบาดและวิธีแก้ไข เพราะอย่างที่คุณรู้ ตลอดเวลานับพันปีแห่งการอพยพ หมู่บ้านชาวเขาทั้งหลายต้องพบเจอโรคภัยไข้เจ็บอยู่เป็นประจำ ทั้งอหิวาต์ มาลาเรีย อีสุกอีใส ฝีดาษ และอีกสารพัดโรค
แต่มีเหตุผลสำคัญประการหนึ่งนะฤดีที่ทำให้ผมพลาดไปโดยไม่ได้ถือเอาข้อความที่อะผ่าเขียนในรายงานของเขาหน้าสุดท้ายมาเป็นเรื่องจริงจังให้ต้องคิดซ้ำสอง ผมอธิบายได้ว่าหลังจากคุณลาออกไปแล้ว การแปลเอกสารต่างๆ นั้นนักเรียนของเราต่างช่วยกันทำด้วยภาษาอังกฤษอันกระท่อนกระแท่น ผมจึงเข้าใจว่าสิ่งที่อะผ่าถอดความจากภาษาอาข่าและแปลเป็นภาษาอังกฤษเป็นการใช้คำศัพท์ที่คลาดเคลื่อน (เขาเพิ่งหัดอ่าน เขียน และพูดภาษาอังกฤษเพียงสองปีหลังจากมาเป็นนักเรียนทุนของเรา) ผมจึงเก็บงานของเขาใส่แฟ้มไว้และตั้งใจว่าจะนำมาขัดเกลาเพื่อรวบรวมตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อมีโอกาส
แล้วผมก็ไม่มีเวลากับเรื่องนี้อยู่นับสิบปี จนไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมเริ่มสำรวจตู้เอกสารและตัดสินใจดึงเอารายงานเก่าๆที่นักเรียนทุนทุกรุ่นทำไว้มาดู เพื่อจะเริ่มทำหนังสืออย่างที่เคยคิดไว้ก่อนผมจะลาจากโลกนี้ไป
ผมใช้เวลาวันละหลายชั่วโมงไล่อ่านเนื้อหาต่างๆ เกี่ยวกับคำสอนคำสวดและภูมิปัญญาของผู้อาวุโสสำคัญจากทุกหมู่บ้านในโครงการของมูลนิธิ
จนมาถึงรายงานของอะผ่าฉบับที่คุณมองเห็นวางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง มันเป็นการถอดความคำสวดของพิมะผู้หนึ่ง โดยที่เวลานั้นปิดเทอมแล้ว อะผ่าซึ่งยังเป็นนักเรียนมัธยมได้กลับไปเยี่ยมหมู่บ้านของตนบนดอยผาแดง ซึ่งพอดีกับที่มีงานศพของผู้เฒ่าคนสำคัญ จึงเป็นโอกาสที่เขาจะได้บันทึกเสียงคำสวดเพื่อนำมาเขียนรายงานตามเงื่อนไขของการเป็นนักเรียนทุน
อะผ่าทำการบันทึกเสียงคำสวดไว้สองชั่วโมงจนเทปหมด ซึ่งหลังจากนั้นเขาไม่สามารถจดจำส่วนที่เหลือด้วยสมองที่ถูกล้างไปแล้วโดยโลกสมัยใหม่
รายงานฉบับนี้มีประมาณสามสิบหน้า เขียนเป็นภาษาอังกฤษแบบพื้นฐาน และเนื้อหาก็ไม่ต่างจากรายงานของนักเรียนรุ่นก่อนๆ ที่ศึกษาคำสวดคำสอนของพิมะจากหมู่บ้านต่างๆ แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือหน้าสุดท้ายซึ่งมีเนื้อความหกย่อหน้าเท่านั้น ผมขอคัดลอกจากรายงานของเขามาให้คุณได้อ่านดังต่อไปนี้...
...เรื่อยมาจนถึงปีหนูหิว ผีร้ายจากป่าออกอาละวาด เข้ากัดกินผู้คนจนเลือดไหลโซมกาย ลมหายใจติดขัด ตัวร้อนดังไฟ จากนั้นจึงสิ้นชีพไปทุกคน
มันแผ่สยายเข้าไปทุกแห่งหน เข้าสิงคนทุกเผ่าพันธุ์ เด็กน้อย หญิง ชาย คนแก่ ผิวขาว ผิวดำ มั่งมี สิ้นไร้ ไม่มียกเว้น ไม่มีใครหยุดผีร้ายเหล่านี้ได้...
...มีหมู่บ้านลึกลับแห่งหนึ่งตั้งอยู่ริมธาร ซ่อนตัวหลังน้ำตกแห่งภูผาดำปลายเทือกเขาสีแดง
ผู้เป็นญิผ่าแห่งหมู่บ้านนี้สามารถชุบชีวิตผู้ที่ตายลงแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ นางผู้มีอายุขัยอันยาวนานได้ช่วยเหลือผู้เจ็บไข้มานับไม่ถ้วนด้วยเมตตา
ผีร้ายที่ระบาดในปีหนูหิวจะถูกกำจัดหากท่านเดินทางไปพบหาและขอตัวยาจากนางผู้มีกำเนิดจากพรรณไม้
อนึ่ง ปลายเดือนสามต่อเดือนสี่มีเภทภัยบางประการที่ท่านต้องร่วมมือกันขจัดเพื่อให้โลกมนุษย์ปลอดภัย...
Footnote
[1] รายละเอียดของอุบัติเหตุและเรื่องราวอันแปลกประหลาดดังกล่าว ติดตามได้จากหนังสือนิยายเรื่อง “ผาชัน เสือแค้น และคืนหนึ่ง” ดวงตา/2563 สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น