แนะนำตัว พระเอก (ในนิยาย) ของเรื่องนะคะ
เจียง เจิ้งหาน
ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตำแหน่งเป็นถึง หัวหน้าสายงานฝ่ายผลิต เขาแต่งงานตั้งแต่อายุ 20 หลังเข้าทำงานได้ไม่นาน และลาแต่งงานอยู่กับภรรยาเพียง 5 วันก็ต้องกลับไปทำงานในเมือง ปล่อยให้ภรรยาสาวอยู่บ้านที่หมู่บ้านซึ่งอยู่ติดกันกับบ้านพ่อแม่ของเขาเอง เพราะบ้านของเขาได้แยกบ้านกันหมดพ่อแม่อยู่กับพี่ใหญ่เจียง เย่หาน ตัวเขาเป็นลูกคนที่สองได้สร้างบ้านแยกออกมาต่างหากจากเงินกองกลางที่ได้รับแบ่งตอนแยกบ้านและเงินจากการทำงานในช่วงปีแรก
หลังแต่งงานภรรยาก็ท้องทันทีช่วงแรกเขาได้กลับบ้านเดือนละครั้งไม่เกินสองครั้ง แต่เพราะโรงงานกำลังขยายเพราะเป็นช่วงที่มีนายทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน เพื่อส่งสินค้าออกไปที่ต่างประเทศด้วย ทำให้เขาต้องทำงานอย่างหนัก จนแทบไม่มีเวลากลับบ้านหลายเดือนและช่วงที่ภรรยาคลอดบุตรสาวออกมา เขากลับมาตอนภรรยาคลอดเพียง 3 วันก็ต้องกลับไปทำงานต่อ เพราะเป็นช่วงที่ชีวิตของเขากำลังรุ่งโรจน์ในเรื่องการงาน เขาได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าสายงานผลิตทั้งหมดทำให้เขาทำงานล่วงเวลาตลอดเร่งงานทั้งวันและเกือบทั้งคืน ตัวเขามีห้องพักส่วนตัวในโรงงานจึงไม่ค่อยได้กลับบ้านแต่ก็ส่งเงินกลับไปให้ภรรยาได้ใช้จ่ายไม่ให้ลำบาก ช่วงปีใหม่เขาได้หยุดและได้กลับบ้านลูกสาวอายุได้ 6 เดือนพอดี ได้มาอยู่กับลูกสาวที่หน้าตากำลังน่ารัก เขารู้สึกว่าภรรยาไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไหร่เธอขอกลับบ้านพ่อแม่ที่อยู่อีกตำบล เธออ้างว่าตั้งแต่แต่งงานก็ไม่ได้กลับบ้านบ่อยนัก จึงอยากกลับไปค้างที่บ้าน 2 คืน และจะอยู่เลี้ยงฉลองที่บ้านเลย
เจิ้งหาน จะไปกลับเธอด้วยแต่เธอก็บอกไม่อยากพาลูกสาวไปเพราะอากาศหนาวเดี๋ยวไม่สบาย อยากให้เขาได้ใกล้ชิดลูกมากขึ้นด้วย เจิ้งหาน เห็นว่าเธอเลี้ยงลูกคนเดียวคงอยากพักบ้างจึงไม่ว่าอะไรเขาฝากซองอั่งเปาให้พ่อตาแม่ยายไปกับภรรยาด้วย
ภรรยาเขาคนนี้ (ซ่ง หลิน) แต่งงานกันเพราะผู้ใหญ่จัดการหาให้ไม่ได้รักใคร่ผูกพันกันมาก่อน แต่เขาก็ทำหน้าที่สามีที่ดีไม่เคยนอกใจภรรยาให้เกียรติทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพราะปกติเขาก็ไม่ยุ่งหรือสุงสิงกับใครเท่าไหร่ สายงานของเขาล้วนเป็นงานคุมเครื่องจักรที่มีแต่คนงานชายจึงไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิงกวนใจ
เขาไม่เคยรู้ว่าภรรยามีคนรักก่อนที่พ่อแม่เธอจะให้มาแต่งงานกับเขา และพวกเขาก็แอบติดต่อกันมาตลอดยิ่งเขาทำงานไม่ได้กลับบ้าน ภรรยากับคนรักเก่ายิ่งติดต่อกันได้สะดวกทั้งสองนัดแนะที่จะหนีตามกันไปอยู่ที่เมืองอื่นด้วยกัน แต่ว่าซ่งหลินรอให้สามีกลับมาช่วงปีใหม่ก่อนเพราะไม่กล้าเอาลูกสาวไปฝากบ้านพ่อแม่สามี ถึงจะไม่รักสามีอยู่เพราะจำใจเธอก็เลี้ยงลูกสาวมาหลายเดือน ย่อมเป็นห่วงตามธรรมดา แต่ถ้าสามีเป็นคนไปฝากลูกที่บ้านแม่สามีย่อมดีกว่าเพราะยังไงสามีเธอก็ยังส่งเงินให้พ่อแม่เป็นค่าเลี้ยงดู พวกเขาก็น่าจะเห็นแก่สามีเธอบ้าง
หลังปีใหม่ผ่านไปครบกำหนดภรรยาก็ยังไม่กลับมาจากบ้านพ่อแม่ เจิ้งหาน จึงไปตามที่บ้านพ่อตาแม่ยาย แต่เมื่อไปถึงจึงรู้ว่าภรรยาไม่ได้กลับมาบ้าน แม่ยาย จึงได้ไปสืบจนรู้ว่า เกาหยาง คนรักเก่าลูกสาวก็ไม่อยู่ที่บ้านเหมือนกัน จึงได้เล่าเรื่องราวที่บังคับลูกสาวแต่งงานกับลูกเขยให้เจิ้งหานฟัง เขาไม่ได้เสียใจมากแต่เสียความรู้สึก หากภรรยาบอกกับเขาดีๆ เขาจะปล่อยเธอไปแต่โดยดีและเห็นใจเธอด้วยซ้ำที่ถูกพรากความรัก และพึ่งเอะใจที่คืนเข้าหอ ภรรยาของเขาไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่ควรจะเป็น แต่เพราะเขาไม่มีประสบการณ์จึงไม่ทันคิด เรื่องนี้ดีที่ลูกสาวยังเป็นลูกของเขาเพราะหน้าตาเหมือนเขามากกว่าแม่ของเธอ
เขาจึงบอกกับพ่อแม่ของเธอว่าไม่ถือเอาความแต่ถ้าคิดถึงลูกก็ไปหาเธอที่หมู่บ้านได้ ดีที่พวกเขายังไม่ได้ไปจดทะเบียนสมรส เพราะเขายังไม่มีเวลาและคิดว่าจะหาเวลามาจดทะเบียนให้เรียบร้อยเพราะกลัวมีปัญหากับลูกสาว แต่ก็แต่งงานถูกประเพณีทุกอย่าง นี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอกล้าหนีจากเขาไป
หลังจากที่ภรรยาหนีไป เขาได้พาลูกสาวไปฝากแม่เลี้ยง และให้เงินค่าเลี้ยงดูเพิ่มจำนวนหนึ่ง ที่บ้านรู้ว่าภรรยาเขาหนีไปก็โกรธเป็นอย่างมาก และความโกรธก็กลายเป็นเกลียดส่วนคนที่ถูกระบายความเกลียดชังก็ไม่พ้นลูกสาวตัวน้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ช่วงปีแรกเขากลับมาหาลูกสาวเดือนละ 3-4 ครั้งแต่ไม่ได้อยู่เกิน 2 วัน สักครั้งบางครั้งก็ไม่ได้ค้างคืนกับเธอด้วย เพราะต้องรีบกลับไปทำงานเขาเพียงซื้อขนมและของใช้มาส่งเท่านั้น และเมื่อเข้าปีที่ 2-3 ลูกสาวเขาเริ่มโตและพูดได้บ้างแล้วแต่ยังไม่เป็นคำ เขากลับมาเห็นตัวลูกสาวมีรอยเขียวช้ำบ้าง แม่บอกว่าเธอซนและหกล้มบ่อย พูดไม่ฟังเขาจึงไม่เอะใจอะไร จนเธออายุ 3 ขวบครึ่งเริ่มพูดรู้เรื่องมากขึ้น เขาได้ยินที่เธอบอกที่ถูกพี่ชาย น้องชาย ที่เป็นหลานของเขาแกล้ง แต่ย่าไม่ช่วยและยังหยิกเธอเพิ่มอีกด้วย เขาไม่รู้ว่าลูกสาวพูดจริงไหม แต่เท่าที่เห็นคือ ตามเนื้อตัวของเธอมีรอยเหมือนโดนตี โดนหยิกหลายจุด แต่ถ้าถามพ่อแม่ก็คงไม่ได้คำตอบเหมือนเดิม
ป้าที่อยู่ข้างบ้านมากระซิบบอกว่าลูกสาวเขาถูกรังแกมาโดยตลอด ทุกคนที่เห็นต่างสงสารเด็กน้อยแต่ยื่นมือเข้าไปไม่ได้เพราะไม่ใช่เรื่องของตน ป้าจึงแนะนำให้เขาแต่งงานใหม่จะได้มีคนมาคอยดูแลและคุ้มครองลูกสาวของเขา เรื่องนี้เขาก็เห็นด้วยแต่ใครจะอยากแต่งงานกับคนที่มีลูกติดแบบเขา และยังไม่มีเวลาให้เมื่อเขาบอกกับมารดาก็เห็นด้วยกับเขาทันที เพราะจะได้ไม่ต้องอดทนเลี้ยงดูหลานน่าชัง อย่างลูกสาวเขาอีกแม้จะอยากได้เงินจากลูกชายแต่ พอเห็นหลานสาวแม่เจียงก็นึกถึงที่แม่เด็กหนีตามชู้ และพอใครถามก็จะเรียกหลานสาวว่าลูกสาวหญิงชั่ว ยิ่งทำให้แม่เจียงรังเกียจหลานสาวไปด้วย
และหลังจากที่มีแม่สื่อแนะนำมารดาว่าบ้านจาง มีลูกสาวที่ถึงวัยแต่งงาน ยังไม่มีคู่หมายอีกทั้งลูกสาวคนโตยังหน้าตาสะสวย และยังสนใจลูกชายรองเจียงเป็นอย่างมาก แม่เขาบอกว่าเธอดูเหมาะสมกับเขามากเขาจึงได้ให้แม่ของเขา ช่วยจัดการไปสู่ขอและจัดงานแต่งงานให้อีกครั้ง เขาหวังเพียงว่าเธอจะรักใคร่ลูกสาวและถึงไม่รักมากมายก็คงจะพอดูแลหาข้าวน้ำ ให้ลูกน้อยได้กินดีอยู่ดีได้ ถึงยังไงตัวเขาก็ทำงานได้เงินจำนวนมากคงไม่ทำให้เธอลำบาก
ช่วงแต่งงานใหม่เขาได้อยู่เพียงวันที่แต่งงานเท่านั้น และยังไม่ได้ร่วมหอกับเธอด้วยซ้ำที่ทำงานก็โทรมาตามตัวด่วน เพราะที่แผนกมีปัญหาทำให้เขาต้องกลับไปทำงานในคืนนั่นเลย เขารู้ว่าภรรยาไม่พอใจแต่คิดว่าจะหาของกลับมาปลอบใจเธอภายหลัง ยังไงก็แต่งงานกันแล้วมีเวลาอีกมาก ครั้งนี้เขาจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องและใส่ชื่อเธอในชื่อลูกสาวเป็นลูกสาวของเธอตามกฎหมายด้วยเลย เพราะซ่งหลิน ยังไม่ได้แจ้งเกิดลูกสาวเอาไว้นั่นเอง กฎหมายยังไม่เคร่งครัดจึงพอปิดตาเจ้าหน้าที่ให้ทำย้อนหลังให้ได้ เจียง จวี๋อิง จึงเป็นลูกสาวของเขากับ จาง ซูซิน อย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
เขาไม่คิดว่าการที่เขากลับมาทำงานครั้งนั้น โรงงานได้ตกลงกับนายทุนใหม่เปิดสาขาที่ต่างเมืองและได้ส่งตัวเขาไปประจำที่นั่นเพื่อสอนงาน เป็นเวลา 6 เดือน เขาเขียนจดหมายบอกภรรยาสาวที่อยู่ที่บ้านเพราะเป็นคำสั่งด่วน จึงไม่มีแม้เวลากลับมาบอกเธอเอง
ซูซิน หลังจากแต่งงานอย่างดีใจในตอนแรกที่ผู้ชายที่เธอเคยแอบชอบ ได้ขอเธอแต่งงานและถึงแม้เขาจะมีลูกติดเธอก็คิดว่าไม่เสียหาย อีกอย่างเขาทำงานดีมีเงินเดือนดีกว่าหลายๆ คนในหมู่บ้านมาก แต่พอแต่งงานแม้แต่ร่วมหอเธอก็ยังไม่มีโอกาส เพราะสามีติดงานด่วน ทำให้เธอรู้สึกเจ็บแค้นไม่น้อย แต่งเสร็จเธอมาอยู่บ้านสามีและต้องเลี้ยงลูกสาวที่ดูโง่เง่า มากในสายตาเธอ เพราะเด็กน้อยไม่ค่อยร่าเริง และขี้กลัวเป็นอย่างมากเวลาที่เธอเสียงดังใส่เด็กน้อยก็จะตกใจและตัวสั่นด้วยความกลัว ซูซินเป็นเพียงหญิงสาวที่ไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน เธอจึงรู้สึกรำคาญลูกเลี้ยงเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เธอมาอยู่บ้านสามีได้ครบ 1 เดือน ก็ได้รับจดหมายจากสามีว่าต้องไปทำงานต่างเมืองเป็นเวลา 6 เดือน และจะไม่ได้กลับบ้านจนกว่าจะครบกำหนด ซูซิน รู้สึกเสียใจไม่น้อยเหมือนแต่งเธอมาเพื่อเป็นคนเลี้ยงเด็กเท่านั้น ซูซินไม่ใช่คนใจเย็นเธอเป็นคนใจร้อนขี้โมโหและเสียงดัง เธอทำงานบ้านไม่เก่งแต่พอทำได้ปกติอยู่บ้านมีน้องสาว จาง ซีเหม่ย เป็นคนทำเพราะน้องสาวเป็นคนเรียบร้อย และขยัน ตามบุคลิกนางเอกแสนดี ถ้าเทียบกันแล้วเธอก็คือนางร้ายเอาแต่ใจนั่นเอง
เธออยู่บ้านสามีดีอย่างเดียวคือมีเงินใช้ไม่ขาดมือ แต่ไม่มีคนคอยทำงานให้ และคนที่พอจะเป็นคนรองมือรองเท้าให้เธอก็คือลูกเลี้ยงตัวน้อย ที่เธอพอจะใช้ให้หยิบจับของให้ได้ ดังนั้นหลังรู้ว่าสามีคงไม่ได้กลับบ้านอีกนาน เธอจึงใช้ลูกสาวตัวน้อยให้ช่วยงานในบ้านเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นถูบ้านที่สะอาดบ้างแต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสะอาด แต่เธอก็มองผ่านไป เสื้อผ้าเธอก็หัดเด็กน้อยให้หัดทำของตัวเอง กับข้าวเธอก็ทำเฉพาะที่ตัวเองชอบกินเหลือจึงให้ลูกเลี้ยงกินต่อ อิ่มไม่อิ่มก็ไม่ค่อยจะสนใจเพราะอย่างน้อยก็ให้กินทุกวัน วันไหนที่เธออารมณ์ไม่ดีอย่างเช่นมีรอบเดือนก็จะดุด่าลูกเลี้ยงเมื่อทำให้เธอไม่ถูกใจ และมีลงไม้ลงมือบ้างจากที่เล็กๆ น้อยๆ ก็เริ่มเคยมือ เคยปาก จนเผลอลงมือหนักเป็นบางครั้ง แต่ไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก
เจียง จวีอิง หลังจากที่เธอมีแม่เป็นของตัวเอง เพราะพ่อบอกว่าแม่จะมาดูแลคุ้มครอง หาข้าวน้ำให้กิน แต่งตัวสวยๆ ให้ เธอเห็นแม่ใหม่ครั้งแรกก็ชอบมากเพราะเธอสวยมากและยังพูดเพราะแต่พอมาอยู่ได้ไม่นานแม่ก็เปลี่ยนไป คงเพราะแม่โกรธพ่อที่ไม่อยู่ด้วยเหมือนที่เคยได้ยินคนพูดกัน เธอจึงพยายามจะเชื่อฟังแม่ของเธอทุกอย่าง แม้แต่เวลาแม่ทุบตีเธอก็ไม่กล้าร้องเสียงดัง พอแม่ตีเสร็จก็จะหายโมโห จึงคิดว่าทนเจ็บหน่อยไม่นานก็หาย เพราะต่อให้แม่จะใจร้ายก็ยังดีกว่าไม่มีแม่ไม่ใช่เหรอ การที่ไม่มีแม่น่ากลัวกว่าแม่ตีเสียอีก เพราะเธอผ่านมาแล้วที่ถูกด่าว่าลูกไม่มีแม่ .
หลังสุด ซูซิน ทำข้าวต้มหมูไว้แต่ปวดท้องประจำเดือนมาก เธอให้ลูกสาวยกถ้วยข้าวต้มเข้าไปไว้ให้ในห้อง เพราะจะไปอาบน้ำก่อนค่อยมากิน แต่เพราะความร้อนของถ้วย ทำให้เด็กน้อยสะบัดมือจนถ้วยข้าวหล่นแตก ข้าวต้มร้อนๆ กระเด็นลวกไปทั้งมือและขา เด็กน้อยรีบขอโทษมารดาลนลานเพราะความกลัวที่ทำข้าวของเสียหาย ตอนเด็กเธอเคยทำแก้วตอนอยู่บ้านย่า ถูกป้าสะใภ้ตีอย่างหนักจนเป็นไข้ไปหลายวัน
ซูซิน ทั้งหิวและปวดท้องจึงโมโหมาก เธอหยิบได้ไม้กวาดจึงฟาดไปที่หลังลูกเลี้ยงอย่างแรง เด็กน้อยนั่งขดตัวหันหลังให้แม่ตีไม่กล้าร้องเสียงดัง ซูซิน ฟาดไปถึง 3 ครั้งถึงคลายโมโหก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่เพราะเธอเดินไม่ระวังทำให้เหยียบไปที่เศษถ้วยข้าวที่แตกเมื่อครู่ และเสียหลักล้มลงอย่างแรงเช่นกัน.