ครามเหนือเทล #1
:: ผู้ชายที่ชื่อ ‘สงคราม’ ::
“ไอศกรีมอุ่น?” เลิกคิ้วด้วยความสงสัย หากแต่สงครามกลับไม่พูดอะไร รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันรู้สึกใจไม่ดีเลยว่าเขาจะทำอะไรแพลงๆ อีกหรือเปล่า แต่ทว่าความคิดก็พลันหายไปเมื่อมาถึงร้านไอศกรีมกึ่งขนม
“นี่ไงไอติมอุ่น” เขากอดคอฉันชี้นิ้วไปยังเมนูไอศกรีมทอด จนฉันเงยหน้าสบตากับเขา “ไปนั่งรอตรงมุมโน้นก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเราคุยโทรศัพท์กับเพื่อนแปบ”
“อืม แต่ครามเขาเรียกว่าไอศกรีมทอด ไม่ใช่ไอศกรีมอุ่นสักหน่อย” หลังจากสั่งของแล้ว ร่างสูงก็เดินออกไปนอกร้านฉันจึงเดินไปที่โต๊ะ
พลั่ก
“ขอโทษค่ะ” เพราะมัวแต่มองเหม่อไปยังโต๊ะที่ต้องการจึงทำให้ฉันเผลอเดินชนไหล่ผู้ชายคนหนึ่งที่สวมชุดนักเรียนต่างสถาบัน หากแต่เขากลับหันมามองฉันพลางโบกมือ
“ไม่เป็นไรครับ” รอยยิ้มสดใสส่งมาให้ ทำเอาฉันถึงกับไปไม่เป็นเลยสักนิด คนตรงหน้าดูดีมากจนเผลอจับจ้องไม่วางตา “เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“มะ ไม่ค่ะ” รีบหลุบสายตาเดินไปยังโต๊ะที่เล็งเห็นไว้ ก่อนจะมองแผ่นหลังกว้างที่บริเวณลำคอมีหูฟังขนาดใหญ่ แต่เขากลับยกขึ้นให้ตรงตำแหน่งหู กดอะไรสักอย่างให้มือถือก่อนจะเปิดประตูร้านและเดินจากไป ประตูเปิดขึ้นอีกครั้งด้วยร่างสูงของสงคราม เขาทิ้งก้นลงนั่งข้างฉันพลางกอดคอ
“จะเรียกแบบนี้” สงครามพูดถึงเรื่องไอศกรีมอุ่นไม่ยอมจบสินะ
“ตามใจ” ฉันเชิดหน้าขึ้นอย่างยิ้มๆ จนสงครามขยับหน้าเข้ามาใกล้
“ติมอุ่นที่เราบอกมันมีจริงๆ นะ”
“จริงเหรอ ไหนล่ะ?” ด้วยความที่ไม่รู้ว่าบนโลกใบนี้มีไอศกรีมอุ่น ฉันจึงได้ถามออกไป ทำให้สงครามกัดปากตัวเองพร้อมกับส่งยิ้มขำมาให้
“ต้องไปที่ห้องเรา”
“ที่ห้องครามมีเหรอ ไม่จริงมั้ง โกหกเราหรือเปล่า” ฉันส่ายหน้าพรืดเพราะไม่อยากจะเชื่อใจเขาหรอก สงครามน่ะชอบแกล้งฉันที่สุด อย่างที่ห้องสมุดก็เล่นเอาฉันหวาดกลัวจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“ไม่โกหก วันไหนอยากกิน เดี๋ยวพาไป”
“ดูก่อนนะ” ไม่ตกลงแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะตั้งแต่คบกันมาฉันยังไม่เคยไปห้องของสงครามเลย รู้ว่าเขาน่ะแยกตัวมาอยู่คอนโดคนเดียวเพราะพ่อกับแม่ตามใจ แต่ก็เขินอายที่จะไปห้องเขาสองต่อสอง
“เราจะบอกว่ามันอร่อยมากเลยนะ มีใส่นมข้นหวานด้วย ของโปรดเทลเลย”
“ไม่ต้องเอานมข้นมาล่อเรา” ผลักแก้มสากออกห่างและนั่งอ่านนิตยสารเพื่อรอไอศกรีมที่สั่งไป “พูดให้เราอยากกินล่ะสิ”
“ใช่ เราพูดอยากให้เทลไปห้องกับเรา”
“...” ชะงักมือที่กำลังเปิดหนังสือหน้าถัดไป
“ไปกินติมอุ่น เราอยากให้เทลกินจริงๆ นะ รสชาติมันไม่เหมือนไอศกรีมทั่วไป” ยิ่งพูดก็ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ให้ฉันเหลือเกิน ถอนหายใจและหันไปมองสบตากับเขา
“ใส่นมข้นเยอะหรือเปล่า?”
“มันก็แล้วแต่เทลว่าจะกินติมอุ่นได้นานแค่ไหน” ฉันเอียงคอมองสบตากับสงครามที่แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนฉันเอนตัวหนี “ยิ่งเทลกินนาน นมข้นก็จะพุ่งเข้าปากเทลมากตามที่เทลต้องการ”
“ทำไม... นมข้นถึงพุ่งเข้าปากเราล่ะ”
“ไม่รู้ อยากรู้ต้องไปลองที่ห้องเราสิ”
“ชิ ขี้งกไม่ยอมบอก”
สงครามยักไหล่และมองพนักงานที่เอาไอศกรีมมาวางให้เราสองคน กินกันสักพักก็มีลูกค้าทยอยเข้ามาในร้านมากขึ้นและส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนจากโรงเรียนใกล้เคียงหรือโรงเรียนเดียวกัน ฉันกินไอศกรีมเรื่อยๆ กระทั่งเห็นนักเรียนผู้หญิงกลุ่มหนึ่งนั่งคุยกันเสียงดัง โดยที่หันมามองสงครามด้วย และรู้ไงว่าสงครามน่ะหน้าตาดี หล่อ ออกแนวหัวรั้นจึงเป็นที่สนใจของผู้หญิงทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนที่โตกว่า สายตาของฉันเหลือบไปมองนักเรียนหญิงที่แต่งตัวได้รัดฟิตกระโปรงสั้น เธอทิ้งสายตาให้สงครามก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป แต่ฉันก็เคยชินอะไรแบบนี้มาแล้วจึงไม่ได้สนใจอะไรสักเท่าไหร่
“เออเทล เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ปวดฉี่”
“อืม”
ฉันพยักหน้าให้กับสงคราม และหันมาสนใจถ้วยไอศกรีมต่อโดยไม่ได้รับรู้เลยว่าเสียงของโต๊ะข้างๆ ที่คุยกันเสียงดังนั้น พวกเธอกำลังมองมาที่ฉัน แน่นอนว่าฉันไม่ได้คิดจะถามออกไปว่า ‘มองทำไม’ หรือ ‘มีปัญหาอะไรหรือเปล่า’ แต่ไหนแต่ไรแล้วฉันไม่กล้าที่จะแสดงออกว่าตัวเองรู้สึกยังไง ฉันถูกเลี้ยงดูฟูมฟักราวกับไข่ในหิน พ่อกับแม่ของฉันดูแลห่วงใยฉันมาตลอด อย่างเรื่องที่ฉันมีแฟนพวกท่านก็ไม่ได้รับรู้อะไร ถ้าเกิดรู้เข้าคงไม่พ้นให้ฉันเลิกกับสงครามแน่ๆ เพราะท่านอยากให้ฉันโฟกัสการเรียนและอนาคตหลังจากจบมัธยมปลายต่างหาก
เวลาผ่านไปเกือบสิบห้าหรือยี่สิบนาทีได้ ฉันชะเง้อมองหาสงครามที่เข้าห้องน้ำนานผิดปกติ รู้สึกเป็นห่วงจนเกือบจะลุกไปหาเขาแล้ว แต่ก็ต้องมองสบตากับผู้หญิงต่างสถาบันที่จัดทรงผมและเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ สีหน้าของเธอดูอ่อนเพลียแต่กลับแสยะยิ้มให้ฉัน ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“ไง”
“คราม นึกว่าเป็นอะไรซะอีก หายไปนานเลย” ร่างสูงที่ฉันมองหาทิ้งตัวลงนั่งข้างกาย สองมือยกขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าจนฉันเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย เมื่อหน้าอกของสงครามเสื้อนักเรียนสีขาวแนบเนื้อจนชุ่มน้ำ
“ทำไมเหงื่อออกเยอะจัง?”
“เหงื่อที่ไหน น้ำต่างหาก เราล้างหน้ามา” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะมองผู้หญิงกลุ่มนั้นที่เดินจากไปแต่ทว่าหางตากลับมองมายังสงครามซึ่งแน่นอนว่าเขากลับยิ้มกว้างส่งไปให้ พลางยกมือโบกนิดหน่อยจนฉันเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น และมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเขาทำแบบนี้กับผู้หญิงที่ส่งยิ้มให้
“เราอยากกลับบ้านแล้ว”
“อืม เอาสิ” ระหว่างที่สงครามกำลังรื้อกระเป๋านักเรียน ฉันเก็บกระเป๋าตัวเองเช่นกันแต่ทว่ารอยอะไรบางอย่างตรงต้นคอของเขาทำให้ฉันขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เอื้อมมือไปแตะเบาๆ จนสงครามสะดุ้ง
“รอยแดงเป็นจ้ำเลย ครามโดนอะไรมาเหรอ?”
“เกามั้ง” เขาหันมาส่งยิ้มให้และลุกขึ้นเดินหนีไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ สักพักเขาก็ขับรถมาส่งฉันที่ข้างบ้าน เนื่องจากฉันไม่อยากให้คนที่บ้านรับรู้ “ไปก่อนนะ เราต้องรีบไปหาไอ้อาร์ม”
“อ๋อ ขับรถดีๆ นะคราม พรุ่งนี้เจอกันจ๊ะ” โบกมือให้สงครามที่ขับรถไป อาร์มที่พูดถึงเป็นเพื่อนสนิทของสงครามแต่อยู่คนละโรงเรียน เมื่อหันหลังเตรียมจะเข้าบ้านเสียงมือถือในกระเป๋ากระโปรงก็ดังขึ้นมาซะก่อน เป็นข้อความที่ไม่ขึ้นโชว์นั่นหมายถึง ไม่มีเบอร์นี้ หรือเบอร์ที่ฉันไม่รู้จัก นิ้วเรียวเลื่อนปลดล็อกหน้าจอมือถือสุดหรูราคาแพงไปยังกล่องข้อความ ก็ต้องชะงักยามมองข้อความตรงหน้าราวกับพบเจอภูตผีปีศาจ
‘อย่าโง่ปล่อยแฟนให้กินคนอื่นไปเรื่อยสิ แบบนี้ก็แย่นะ ถ้าเขาจะหากินกับผู้หญิงคนอื่น เพราะมีแฟนโง่ๆ ไม่ยอมเขาง่ายๆ : จากผู้หวังดีที่โดนแฟนเธอเสียบแล้ว’