ร่างหนาหยิบกล้องยาสูบส่งมาให้นาง ยามที่เคยเห็นนางสูบยาแปลกๆ อ้ายฉิงจึงรับมาและจุดมันด้วยเทียนไขช้าๆ และทดลองดูอย่างสนใจ กลิ่นยาสมุนไพรหอมหวลลอยมาติดจมูก อ้ายฉิงกระพริบดวงตาขึ้นมาน้อยๆ
"นี่มันเป็นสมุนไพรนี่ ไม่ใช่ใบยาสูบทั่วไป "
"ใช่แล้ว เมืองเส้าชิงแม้แต่เหล้ายังหมักจากข้าว สิ่งต่างๆของพวกเรานั้นเรียบง่าย แต่ทว่าน่าสนใจยิ่ง"
" ยาสูบนั้นกลิ่นแรงข้ามิใคร่ชอบมันนัก แต่สมุนไพรเช่นนี้กลิ่นหอมหวาน ช่วยให้เรานอนหลับสบายกว่ายามไปรบ ยามสตรีใช้ก็หอมหวลชวนเข้าใกล้ยิ่ง ดีกว่ายาสูบของเจ้านัก "
อ้ายฉิงรู้สึกสนใจคนตรงหน้าขึ้นมาในทันที ยามสำรับมาถึงร่างหนากวักมือเรียกนางเดินไปที่ตั่ง ที่มุมห้อง หน้าต่างห้องถูกเปิดออกที่ข้างโต๊ะ ลมหนาวโชยมาบางๆ ข้างนอกแสงโคมสว่างไสว ข้างในจึงไม่ต้องจุดเทียนอีก โคมบังเทียนถูกนำเข้ามาตั้ง อาหารเลิศรสพร้อมพรั่งอยู่เต็มโต๊ะ ร่างหนาบรรยายมารยาทปฎิบัติให้นางช้าๆ
"ในจวนข้ามีธรรมเนียมปฎิบัติที่สตรีจะหลงลืมมิได้ หากยามมีผู้อื่นมาร่วมโต๊ะ เจ้าจะต้องถูกลงโทษ "
"หนึ่งข้าต้องคีบอาหารก่อน หรือเจ้าคีบให้ข้าเพียงเท่านั้น "
"สองเจ้าต้องรินน้ำชาและสุราให้ข้าเพียงเท่านั้น"
" มิเช่นนั้นหากผู้ใดมาพบเข้า เจ้าจะโดนโบยห้าไม้ ซึ่งก็คงมิดีนัก อย่าได้หลงลืมเสีย การโดนโบยอาจทำให้ผิวของเจ้านั้นเป็นแผล เช่นนั้นข้ามิพอใจยิ่ง"
ร่างหนารอข้ารับใช้มารินน้ำชาให้และเริ่มต้นคีบอาหารให้นางชิมจนถึงปาก ร่างบางอ้าปากรับเข้าไปแบบอายๆ
" ไม่เคยกินข้าวกับผู้ดีมาก่อน ไม่แน่ใจว่าคนๆนี้เป็นใคร แต่มารยาทเยอะ คงเป็นพวกผู้ดีเก่า"
อ้ายฉิงกลืนเป๋าหื้อลงคอไปแบบแสนชอบใจ
"อาหารที่นี่หรูหรามาก ถ้าจ่ายเองคงมีราคาเป็นหมื่นหยวนทั้งโต๊ะนี้ ผู้ชายคนนี้ร่ำรวยมาก ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้ว"
อ้ายฉิงยิ้มขึ้นมาในใบหน้า เส้าจินกว่างนึกว่านางชอบอาหารมาก จึงยิ้มตอบนางอย่างมิรู้สิ่งใดที่ระแคะระคายในใจเลย เส้าจินกว่างดื่มกินจนอิ่มแล้ว จึงสั่งผู้คนให้มาเก็บโต๊ะ และพานางเช็ดมือและเข้านอนไปบนเตียงเดียวกัน กระซิบบอกนางลงไปที่ข้างหู
"ยามสายข้าจะให้คนเตรียมห้องให้เจ้า แต่จนกว่าข้าจะเบื่อเจ้า หรือยามที่เจ้านั้นมีระดูเท่านั้น ข้าจึงจะไล่เจ้าให้ไปนอนเพียงผู้เดียว ตอนนี้ข้ายังมิเบื่อหน่าย เจ้าจะต้องร่วมเตียงกับข้าไปจนกว่าจะถึงในยามนั้น "
อ้ายฉิงกระพริบดวงตาปริบๆขึ้นมาให้ไอ้ตาคนเชยนี่
"พูดอะไรเชยๆมาก ถึงจะรวยก็จริงเถอะ แม่งประหลาดพิลึก"
ร่างบางข่มตานอนลงไป ในยามที่หนังท้องอิ่มก็นอนหลับสบาย จนถึงในยามเช้าก็มีเสียงเอะอะดังเข้ามา
"นายท่านขอรับ ข้าศึกหลุดเข้ามาได้ขอรับ อพยพไปตั้งหลักก่อนเถิดขอรับนายท่าน ข้าน้อยเตรียมทุกสิ่งรอท่านแล้ว "
"เตรียมเกราะให้ข้า นำทางนางออกไปให้ปลอดภัย ข้าจะไปช่วยประชาชนของข้า!!!! "
อ้ายฉิงมึนงงมาก สาวใช้เร่งมาดึงมือเธอออกไป มีผู้หญิงขี่ม้าสวมใส่ชุดเกราะรอคอยอยู่แล้ว เธอถูกผูกเกราะอ่อนและใส่หมวกเหล็กลงไปทั้งชุดนอนและถูกดึงขึ้นม้าไป ทหารยุคโบราณมากมายมารายล้อมเธอ ผู้หญิงข้างหน้าดึงมือเธอเข้าไปกอด และเอ่ยบอกนางขึ้นมา
"เกาะแน่นๆท่านหญิง หากท่านตกลงไป ท่านจะต้องตายหรือพิการเพียงเท่านั้น !!!!"
ร่างบางใช้แส้ตวัดม้าและควบม้าออกไปจนสุดเท้า ทหารนำขบวนเปิดทางให้นางนำออกไปที่ในอีกเมืองหนึ่งข้างหน้า ม้าวิ่งฝ่าตะลุยไปในเส้นทางทุรกันดาร มองเห็นคนสู้รบกัน อ้ายฉิงไม่กลัวตาย เธอแก่นกระโหลกอยู่แล้ว มันก็ดูสนุกดี เธอคว้าหอกที่พุ่งผ่านตัวเธอเข้ามาได้ โชคดีแรงที่พุ่งมานั้นแผ่วปลาย มันเกือบจะทำให้เธอตกม้าลงไปแล้ว แต่เมื่อมีหอก อ้ายฉิงก็จับมันพุ่งออกไปแรงๆ ใส่ทหารนายหนึ่งที่ควบม้าติดตามมาอย่างไม่ลดล่ะ หอกปักลงไปที่ลำคอของทหารนายนั้น จนตายไปคาที่
ถ้าหากว่าเป็นการถ่ายหนังจริงๆ เธอคงกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนตาย แต่ดูแล้วนี่น่าจะไม่ใช่ เพราะเส้นทางระหว่างเมืองแถวนี้นั้นแออัด คงไม่อาจระเบิดเมืองทำฉากที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ดูจากที่ตาบ้านั่นมันพาเธอบินได้ และคนแถวนี้กระโดดบินขึ้นไปขี่ม้า ทวนยาวสองเมตร ง้าวยาวสองเมตร ม้าตัวใหญ่ยักษ์ นี่มันไม่ใช่แน่
คนจีนในปัจจุบันนั้นไม่มีคนตัวใหญ่ขนาดนี้เลย ถึงมีก็ผอมแบบนักบาส ม้าตัวขนาดนี้ก็ต้องออกโทรทัศน์แล้ว เธอชักคิดว่านี่มันคือเรื่องจริงๆแล้ว ร่างบางหยุดม้าลงและให้เธอขึ้นม้าไปด้านหน้า เธอรีบหวีดร้องขึ้นมาในทันที
"แต่ฉันขี่ไม่เป็นนะ !!! "
"มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าจะควบม้าจากทางที่นี่ที่จะมีหน้าผา ท่านจะตกม้าได้หากอยู่ด้านหลังข้า หากท่านนั่งด้านหน้า ท่านจะเกาะสายจูงม้าได้ และมิตกลงไปในยามที่ม้านั้นกระโดดเจ้าค่ะ"
"อ้อ ได้เลย ไม่ขัดข้อง"
อ้ายฉิงพยักหน้าหงึกๆ จนม้าออกวิ่งไปจริงๆเธอจึงหลับตาแน่น ม้ากระโดดเหยียบข้าศึกจนคอหักตาย อ้ายฉิงจึงเร่งหลับตาไปแน่นๆ จนมาถึงหน้าผาที่สูงชัน ม้ากระโดดไต่หน้าผาขึ้นไปอย่างว่องไว และขึ้นไปบนหน้าผาอย่างสง่างาม มีธนูแล่นติดตามมาเฉียดใบหน้าและแขนขาของเธอไป ม้าถูกธนูปักแต่มันมิสะบัดคนทิ้งลงไป มันวิ่งไปจนสุดฝีเท้าอย่างตั้งใจ อ้ายฉิงกอดรัดมันจนแน่น และใช้มือลูบหัวปลอบขวัญมันลงไปเบาๆ
"น่าสงสารจังเลยเจ้าม้า เก่งจริงๆ แข็งใจเอาไว้นะ "
คนข้างหลังนางยิ้มละไม ยามมองเห็นว่านางนั้นน่าเอ็นดูเฉกเช่นนี้ ม้าวิ่งจนสุดฝีเท้าจนผ่านทหารไปมากมาย ที่เปิดทางให้พวกนางทันทีและขึ้นสายธนูสาดออกไปเหมือนห่าฝน อ้ายฉิงตื่นตกใจไปพอสมควรกับเสียงทหารที่ในค่าย คนเจ็บมีมากมาย สาวใช้ในบ้านหลายคนถูกอาวุธนั่งคุดคู้ตัวอยู่ที่ริมผา อ้ายฉิงจึงรีบเดินเข้าไปดูพวกนางเสีย มือบางเร่งฉีกชายกระโปรงของพวกนางจนเป็นริ้ว และเปิดเสื้อออกในทันที
ทหารบุรุษรีบหันหน้าหนีไปอย่างว่องไว สตรีมายืนมุงดูอ้ายฉิงรอบๆ อ้ายฉิงเอาผ้าอุดบาดแผลเอาไว้ แล้วขันชะเนาะห้ามเลือด ยามที่ทำเสร็จแล้วเลือดก็หยุดไหลผู้หญิงที่มากับเธอก็ก่อกองไฟและนาบเหล็กร้อนๆลงไป เอาเหล็กมานาบปิดบาดแผล ร่างคนเจ็บกรีดร้องดิ้นไปมา อ้ายฉิงกอดและปลุกปลอบนางไปเบาๆ
" เข้าใจแล้วว่านี่มันไม่ใช่ยุคของเธอแล้ว เธอนั้นหลงยุคลงมาแล้วอย่างแน่นอน"
ทหารหญิงในค่ายต่างมองไปที่อ้ายฉิงอย่างเอ็นดู
"นางไม่ทำตัวเป็นภาระ อีกทั้งนางยังช่วยคนเจ็บได้ และนางก็กรีดร้องไม่มากนัก"
" ...ผ่านนนน..!!! "
ทุกคนร้องในใจอย่างยินดีปรีดาขึ้นมา ในตัวของสตรีคนใหม่ของท่านอ๋องแปดในทันที เพียงแต่ยามนี้ก็หวั่นใจว่า หากนางเป็นอันใดไปคงน่าเสียดายนัก สถานการณ์รบนั้นไม่แน่นอนยิ่ง จนกว่าจะเสร็จศึกนั่นล่ะจึงบอกได้ถึงความสงบในอีกครา"
อีกด้านนั้น เส้าจิ่นกวางชักม้าไปช่วยเหลือผู้คนที่ตกเป็นเชลย ตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก พะวงหน้าพะวงหลังห่วงผู้คนมากมาย จนเผลอเรอถูกทวนยาวปักแทงเข้าไปที่แผ่นหลัง ยามทวนกระแทกกายลงมาได้จึงหัวเราะร่าและมีสติขึ้นมาอีกครั้ง
"ฮ่า ฮ่า ข้ามัวคิดอันใดกัน นี่มันสนามรบของข้า มัวห่วงผู้อื่น ตัวเองก็กำลังจะต้องตายเช่นนี้เอง "
ร่างหนายกยิ้มและตะโกนก้องขึ้นมาในทันที
"ตีฝ่าออกไป ผู้ใดยังมิยอมตาย เร่งตีฝ่าออกไป !!!! "
ชาวบ้านลุกขึ้นมาวิ่งหนีออกไปทั้งพันธนาการ ทหารวิ่งมาตัดเชือกให้ เส้าจินกวางแกว่งทวนหมุนออกไปต้านฝนธนูให้ชาวบ้าน ยามที่ทหารมองเห็นเช่นนั้นจึงเร่งขึ้นสายธนูของข้าศึกที่ข้างตัว ช่วยกันระดมยิงกันออกไป ทหารต่างคึกคักกันขึ้นมาในยามที่มองเห็นท่านแม่ทัพแข็งแกร่งมิยอมตาย ผู้คนหยิบดาบที่พื้นขึ้นมาสู้ จวบจนมีเสียงเดินทัพมหาศาลแบบไร้ธง เส้าจิ่นกวางจึงมองตรงไปอย่างอาจหาญ ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมา
"พาชาวบ้านหนีไป เร่งพาสตรีหนีขึ้นม้าไป สละม้าให้ชาวเมือง!!!! "
ผู้คนต่างวิ่งกันไปอย่างอลหม่าน คนในพื้นโดนดึงขึ้นมาอย่างรีบเร่ง จวบจนฝนธนูยิงออกมา เส้าจินกว่างลืมตามอง ยอมรับความตายอย่างองอาจทรนง มิคาดฝนธนูเฉียดร่างกายของตนไป เหมือนพลธนูนั้นกำลังฝึกหัดเช่นนั้นเอง ฉิวไปเฉียดมาจนเลือดซิบ คล้ายหยอกล้อกันเล่นในตรงหน้า ธนูตกลงไปแค่ที่ร่างของข้าศึก เส้าจิ่นกวางจึงตัวสั่นระริกขึ้นมาและตวาดลั่นออกมาในทันที
"จิ้นเล่อ เจ้ามันบังอาจนัก !!!!! "