หลังจากที่ทั้งสองคนไปปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วผู้กองดนัยก็ชวนหญิงสาวมานั่งเล่นในบ้านระหว่างที่รอเขาเช็ดผมให้แห้งและแต่งตัวให้เรียบร้อย
“พี่ไฟท์ยังไม่จัดของอีกเหรอ”
“พี่เพิ่งมาถึงเองเดี๋ยวว่างค่อยเก็บแล้วกัน ว่าแต่วันนี้จะไปไหนเหรอ… เห็นเมื่อกี้บอกว่าจะไปไหนนะ”
“เอาข้าวไปให้หลวงพี่ที่วัดจ้ะ”
“หลวงพี่เหรอ…”
เขามองหน้าหญิงสาวเงียบไปสักพักก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยไม่ว่าอะไร ไหนๆเขาก็ว่างแล้ววันนี้ไปวัดเป็นเพื่อนเธอแล้วกัน ไปแนะนำตัวให้เจ้าอาวาสรู้จักบ้างเขาคงอยู่ที่นี่อีกหลายปีทำความรู้จักกับทุกคนไว้ไม่เสียหายอะไร
“งั้นพี่ไปด้วยนะ”
“ไปทำไมจ๊ะ ฉันไปส่งข้าวเองนะเดี๋ยวก็มาแล้ว”
เธอมองเขาอย่างแปลกใจ ไปส่งข้าวแป๊บเดียวก็กลับแล้ว และเธอส่งแบบนี้มาตลอดสองเดือนที่ผ่านมาซึ่งมันเป็นหน้าที่ที่ต้องทำโดยปกติ
“ก็เพิ่งมายังไม่รู้อะไรเป็นอะไรเลย หญิงเล็กอยู่มาก่อนก็แนะนำพี่สิ”
“ก็ได้จ้ะไปด้วยกันก็ได้”
เธอจำยอมอย่างช่วยไม่ได้เพราะตอนที่มาใหม่ๆก็ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ขับรถไปเรื่อยดูนั่นนี่จนรู้ทางเองทุกซอกมุม จะให้ไปทำความรู้จักกับคนนั้นคนนี้เหมือนเขาเธอไม่ทำหรอกเพราะไม่อยากมีเพื่อนอีกแล้ว
“ป่ะพี่พร้อมแล้วไปกัน”
ทั้งสองคนพากันเดินออกมาข้างนอกขึ้นรถของหญิงสาวไปโดยที่ชายหนุ่มระบอาสาเป็นคนขับรถด้วยตัวเอง และขับมาไม่นานก็มาถึงที่วัดประจำอำเภอ เขาช่วยเธอถือของเดินเข้าไปข้างในกุฏิก่อนจะชะงักไปเมื่อหลวงพี่ที่หญิงเล็กบอกก็คือนายโตนั่นเอง
“นมัสการค่ะหลวงพี่”
“มาแล้วเหรอ ผู้หมวดดนัยนี่มาได้ยังไง”
พระโตมองชายหนุ่มอย่างแปลกใจ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่และรู้ได้ยังไงว่าเราสองคนพี่น้องอยู่ที่นี่
“นมัสการครับหลวงพี่ ผมแปลกใจนะที่เจอแบบนี้แต่ก็ดีใจที่หลวงพี่ปล่อยวางทุกอย่างได้”
“จากเหตุการณ์ที่ผ่านมามันทำให้อาตมารู้สึกไม่สบายใจมากและยังรู้สึกผิดกับบางสิ่งที่เคยทำลงไป ว่าแต่มาได้ยังไง”
“ผู้กองเค้าย้ายมารับตำแหน่งใหม่จ้ะ เป็นรองสารวัตรที่อำเภอเนี่ยแหละก็เลยได้เจอกัน”
หลวงพี่โตพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอเข้าใจ ไม่คิดว่ามันจะบังเอิญขนาดนั้นที่ได้มาอยู่ที่เดียวกันทั้งที่เขากับน้องสาวอยากจะไปให้ไกลจากอดีตอันเลวร้ายพวกนั้น และที่มาบวชก็เพื่อไถ่บาปให้พ่อทันลดลงไปบ้าง อย่างน้อยให้พ่อได้จากไปอย่างสงบก็ยังดี
“ดีใจด้วยนะผู้กอง ยังไงฝากดูแลหญิงเล็กด้วยนะเธออยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนเลย ให้หาเพื่อนก็ไม่หาให้หาแฟนก็ไม่เอาบอกว่ากลัวคนอื่นรู้อดีตแล้วรับไม่ได้ ผู้กองรู้อยู่แล้วว่าอดีตครอบครัวเราสองคนเป็นยังไงเพราะฉะนั้นไม่รังเกียจน้องสาวอาตมาใช่มั้ย”
หลวงพี่โตเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ เขาอยากให้น้องสาวมีคนที่ระบายทุกอย่างให้ฟังได้โดยไม่ต้องกังวลว่าเขาจะรู้อะไร ผู้กองดนัยรู้ทุกอย่างของหญิงเล็กและไม่เคยว่าร้ายเธอเลยตั้งแต่รู้จักกันมาเพราะฉะนั้นเขาจะเป็นคนที่หญิงเล็กไว้ใจมากที่สุด
“ไม่เคยรังเกียจเลยไม่ว่าจะเป็นหญิงเล็กหรือใครก็ตาม ทุกคนมีอดีตเหมือนกันอยู่ที่ว่าใครเจอมามากหรือน้อยและจะรับมือกับสิ่งนั้นยังไง หวังว่าน้องสาวหลวงพี่จะไม่เลือกวิธีหนีปัญหาอีก”
“ไม่หนีแล้วไง ก็หญิงเล็กสัญญาไว้แล้ว”
“ให้มันจริงเถอะ”
ผู้กองดนัยหยีผมหญิงสาวเล่นอย่างหมั่นไส้ เธอเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี หลวงพี่โตมองน้องสาวที่ตอนนี้ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนในอดีตก็รู้สึกว่าบางทีอาจจะเป็นโชคชะตาที่ส่งผู้ชายคนนี้มาให้น้องสาวของเขาก็ได้ หลังจากที่พ่อเสียชีวิตลงเธอไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนก่อนทั้งที่เคนเป็นคนอารมณ์ดีมากที่สุด ตอนนี้เขาเริ่มคลายกังวลเพราะดูเหมือนว่าหญิงเล็กจะมีเพื่อนแล้ว
“เจ็บนะผู้กอง”
“ทำเบาจะตาย ใส่ร้ายกันได้ยังไงเด็กคนนี้”
ทั้งสองคนไม่มีใครยอมใครแกล้งกันไปมาอย่างที่เคยโดยทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนเป็นพี่ชาย และตอนนี้เขาไม่ต้องคิดมากเรื่องของน้องสาวอีก จะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนทางด้านพระพุทธศาสนาให้มากที่สุดส่วนน้องสาวคงมีคนที่ช่วยดูแลแล้ว
“ยังไงกลับก่อนนะจ้ะหลวงพี่ พรุ่งนี้จะเอากับข้าวมาส่งใหม่”
“เดินทางปลอดภัยนะ ฝากหญิงเล็กด้วยนะผู้กอง”
“ได้ครับผมจะดูแลให้เอง”
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะบอกลาและพาหญิงเล็กไปเดินเล่นข้างนอกวัด ดูเธอสบายใจขึ้นเยอะเลยแถมยังพูดเยอะมากขึ้นกว่าที่เจอล่าสุดอีก
“ผู้กองจะกลับไปกินกับข้าวที่หญิงเล็กทำมาให้มั้ย อร่อยนะ”
“เพิ่งรู้ว่าเราทำกับข้าวเป็นด้วย”
เขาอดขำไม่ได้เมื่อนึกภาพเธอเข้าครัวทำอาหาร เมื่อก่อนรักสวยรักงามมากไม่ค่อยเห็นทำอะไรแบบนี้เท่าไหร่ก็เลยแค่แปลกใจ
“เห็นแบบนี้ฉันจบเรียนทำอาหารมานะผู้กอง เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยจะบอกให้”
“เก่งนะเนี่ยไม่น่าเชื่อ”
เขามองเธออย่างทึ่งสุดๆ ก็คิดว่าเป็นคนไม่ทำอะไรเลยเอาแต่เที่ยวเล่นมีเวลาว่างทั้งวันซะอีก ไม่คิดว่าจะเรียนจบปริญญาเกียรตินิยมซะด้วย ส่วนพี่ชายน่าจะจบเหมือนกันนะแต่ด้วยความที่พ่อเลี้ยงมาแบบสบายไม่ต้องทำอะไรสองพี่น้องก็เลยเป็นแบบนั้น
“เดี๋ยวจะหาว่าโม้นะไปลองกินมั้ยจ๊ะ”
“ไปสิไปที่ร้านเลยนะเดี๋ยวที่บ้านจะกินเองตอนค่ำ”
“ก็ได้จ้ะงั้นไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนพากันไปขึ้นรถก่อนจะขับวนเล่นรอบอำเภอก่อนจะไปที่ร้านอาหารของหญิงสาว เธอพาไปดูสถานที่หน่วยงานต่างๆที่เขาควรรู้ และเมื่อมาถึงที่ร้านเขาก็ยิ้มออกมาทันที ตกแต่งได้สวยงามมากก็เหมาะสมกับเป็นเธอแหละ อีกอย่างถึงพ่อจะเสียไปแต่ยังมีสมบัติให้ลูกมากมายไม่ลำบาก เธอจึงทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ
“ไปจ้ะเดี๋ยวทำอะไรให้กิน”
“อื้ม”
เขายิ้มออกมาก่อนจะเดินเข้าไปในร้านมองบรรยากาศโดนรอบอย่างเพลิดเพลิน และไม่นานอาหารหลายอย่างก็มาตรงหน้า มีแต่ของชอบเขาทั้งนั้นเลยสงสัยมื้อนี้จะท้องแตก
“ชิมดูสิจ้ะผู้กอง”
เขาลองตักชิมหลายอย่างตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมาทันที อร่อยมากไม่คิดว่าจะอร่อยแบบนี้ นี่สินะความได้เปรียบของคนที่เรียนมาและมีพรสวรรค์พอตัวถึงได้หยิบจับอะไรก็อร่อย ส่วนเขานะเหรอเอาแค่ไข่ไม่ไหม้ก็ดีมากแล้วเรื่องอื่นลืมไปซะ
“อร่อยมากเผ็ด หวาน เปรี้ยว เค็ม พอดีลงตัวมาก หอมกะทิด้วย”
“กะทิทำเองจ้ะสูตรของทางร้านเพิ่งคิดค้น”
หญิงเล็กยิ้มออกมาอย่างดีใจที่สุดที่เขาเอ่ยชมว่าเธอทำอาหารอร่อย ทั้งสองคนนั่งคุยกันไปกินข้าวไปอย่างคนที่สนิทสนมกันมานาน แต่ก็อย่าลืมในสิ่งที่เธอบอกล่ะ….
‘เราไม่รู้จักกันมาก่อน…’
“จะมากินทุกวันเลย ได้ข่าวว่าบริการส่งด้วยไม่ใช่เหรอ ที่โรงพักพูดถึงกันใหญ่ว่าเจ้าของร้านที่นี่สวยมาก”
“พวกเค้าก็พูดแซวไปงั้นแหละจ้ะ แต่ว่าบริการส่งนะถ้าผู้กองอยากกินอะไรก็โทรมานะจะไปส่งให้”
“งั้นขอเบอร์หน่อยจะได้โทรมาสั่ง”
เขาส่งโทรศัพท์ของตัวเองไปให้หญิงสาวเนียนขอเบอร์เพราะที่เคยมีเธอปิดไปหมดแล้วไม่เว้นแม้กระทั่งข้อความเธอจะเปลี่ยนหมดทุกอย่าง หญิงเล็กรับมาถือไว้ก่อนจะเมมเบอร์โทรศัพท์ตัวเองให้ชายหนุ่มจากนั้นก็ส่งคืนให้
“เรียบร้อยจ้ะ”
“เบอร์หญิงเล็กเหรอ…”
“ไม่ใช่จ้ะเบอร์ของร้าน ก็ผู้กองจะสั่งอาหารไม่ใช่เหรอก็ต้องโทรเข้าเบอร์ร้านสิ”
เธอเอ่ยออกมาตาใส่แป๋วนั่นทำให้ชายหนุ่มถึงกับกุมขมับด้วยความเหนื่อยใจ ตกลงว่าเธอกวนประสาทหรือว่าใสซื่อจริงๆวะเนี่ย…. เฮ้อ!