#1

1574 Words
ในวันที่ฝนตก...ครื้นนนน บรื้นนนน ซ่า ซ่า ซ่า  ดวงตาคมจดจ้องมองผ่านกระจกที่ถูกเกาะไปด้วยหยดน้ำจากฟากฟ้าที่ล่วงหล่นมาอย่างกับมันรู้ว่าต้องทำหน้าที่แทนเจ้าของดวงตาแข็งกร้าวที่ไม่อาจเดาได้จากผู้พบเจอว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ใดกันแน่ ณ สถานการณ์ที่พบเจอในเวลานี้ การเดินทางมากกว่าสิบสองชั่วโมง ดวงตาที่แดงก่ำอาจจะเกิดจากการอดนอนก็เป็นได้  “ถึงแล้วครับ” แท็กซี่ร้องบอกเมื่อรถจอดนิ่งอยู่หลายนาทีแต่ผู้โดยสารก็ไม่มีวี่แววว่าจะรู้สึกตัว ตลอดชั่วโมงเขาเอาแต่นั่งนิ่ง อากัปกริยาที่บ่งบอกว่าเขายังมีชีวิตก็คือการขยับลำคอมองกระจกข้างกับลมหายใจสม่ำเสมอที่ยังให้ได้ยินอยู่  ทิวาเหมือนได้สติจากเสียงร้องบอกนั้น ภาพตรงหน้าค่อยๆเข้าโสตประสาทการรับรู้ที่ถูกต้อง ผู้คนมากมายในชุดดำเป็นส่วนใหญ่ มาร่วมไว้อาลัย ทิวาแสยะยิ้มแต่ดวงตาเขากลับพร่ามัวกะทันหัน ปากหยักขบเม้มจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปนเพียงเพราะเขาต้องการสกัดกั้นความรู้สึกไว้  ควับ! ทิวายื่นธนบัตรให้แท็กซี่ “เอ่อ...คุณครับผมขอโทษด้วยครับ ผมไม่มีทอน...” ทิวาไม่เอ่ยโต้ตอบอะไร ยัดธนบัตรใส่มือแท็กซี่และลงจากรถไป แท็กซี่แม้จะเข้าใจแต่ในใจก็รู้สึกว่ามันเยอะเกินไป ค่ารถสองร้อยกว่าเท่านั้น แต่นี่เขาให้มาตั้งหนึ่งพัน แต่เมื่อจะเรียกขานอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เดินไปไกลแล้ว ในศาลาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พระสงฆ์เตรียมจะสวดอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เอ๊ะ! แต่ดวงตาของผู้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งเจ้าภาพเห็นชายร่างสูงที่แม้ไม่เจอกันหลายปี หลายอย่างเปลี่ยนไป แต่คนรู้จักกันมากว่ายี่สิบปี ให้ไม่เจอกันหลายปีก็ยังคงจำได้อยู่ดี  “ทิวา”  “สวัสดีครับคุณอาประธาน” “ในที่สุดเธอก็กลับมา” ทิวายิ้มเล็กน้อยขณะพยักหน้า ทิวาไม่อาจปฎิเสธได้ว่าเขาเห็นความโล่งใจในแววตาและสีหน้าของคนตรงหน้า คุณอาประธานเป็นทนายประจำตระกูลที่เขาเห็นตั้งแต่จำความได้ ก็เปรียบได้เป็นญาติคนหนึ่งของเขาเลยก็ว่าได้ “ค่อยคุยกัน...พระกำลังจะสวดแล้ว” ทิวา เดินเคียงข้างประธานไปนั่งตำแหน่งเจ้าภาพ  ความโดดเด่นของทิวาทำให้แขกต่าง`ให้ความสนใจ แม้พระจะเริ่มสวดแต่ความอยากรู้ของมนุษย์นั้น พระเจ้าก็ไม่อาจยับยั้งได้ หลายคนต่างหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างกาย แม้มือจะพนมอยู่แต่จิตใจก็ไม่ได้มีความสงบร่วมสวดส่งวิญญาณที่สงบแล้วเลยสักนิด ทิวาจดจ้องไปยังภาพที่มีหลายส่วนที่ตนไม่อาจปฎิเสธได้ว่าตนมีส่วนเหมือนและคล้ายอยู่มาก เทวัญ ประเสิร์ฐอนันตกุล พ่อบังเกิดเกล้าที่เขาไม่ได้พูดคุยและเจอะเจอมานานกว่าเจ็ดปี  เรื่องราวบาดหมางระหว่างเขากับพ่อเกิดเมื่อเขาอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น ทั้งๆที่เขาสนิทกับพ่อที่ตั้งใจทำงานขยันขันแข็ง พ่อที่เป็นไอดอลของลูกชายเพียงคนเดียวมาโดยตลอด  ทิวาร่วมถวายปัจจัยให้กับพระสงฆ์ตามที่อาประธานบอก เมื่อพระสงฆ์จากไป ทิวาก็ไปกราบพ่อเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปี ไร้เสียงสะอื้น แต่หยาดน้ำตาลูกผู้ชายไม่อาจกักกั้นไว้ได้  ภายในจิตใจของทิวาตอนนี้ไม่มีใครคาดเดาได้เลยแม้จะเป็นประธานที่เห็นทิวามาตั้งแต่แรกเกิด  “คำสั่งเสียสุดท้ายของเจ้าสัว คือ อยากให้หลานกลับมาปักหลัก...กลับเมืองไทย” ประธานบอกหลานชายหลังจากที่หลบมานั่งที่ศาลาริมน้ำ ไร้ผู้คนพลุกพล่าน ไม่มีคำตอบรับหรือปฎิเสธใดๆ ทิวาหันไปมองท้องลำน้ำที่แม้จะเห็นน้ำแยกได้ว่านั่นคือน้ำแต่ทุกอย่างก็มืดมิด “ผู้หญิงคนนั้น” “คุณกาด เสียไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน” ประธานเข้าใจได้ทันทีว่าทิวาหมายถึงใคร และไม่แปลกใจที่ทิวาจะไม่รู้เรื่องนี้ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องคงไม่มีใครกล้าจะเอ่ยหรือเอาเรื่องของประเสิร์ฐอนันนตกุลไปเอ่ยกับทิวา รวมถึงคุณรัศมี แม่แท้ๆของทิวา “แล้วเด็กใน...”  “เธอแท้งครับ” ทิวาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเสียมากกว่าความรู้สึกอย่างอื่น  ทิวาไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ ไม่ถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตและสาเหตุการแท้ง เพราะนั่นเป็นรายละเอียดที่เขาไม่จำเป็นต้องเอามารกสมอง แต่เขาหันกลับไปทางศาลา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย  “พรุ่งนี้คุณแม่จะเดินทางมาถึง หลังจากเสร็จงาน ผมคงต้องกลับไปสะสางที่โน้นสักหนึ่งเดือน” ประธานยิ้มออกมาทันที เพราะเขาได้คำตอบแล้ว “อืม...พินัยกรรมจะถูกเปิดหลังจากที่หลานกลับมาอีกครั้ง” ทิวาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เทวัญ ประเสิร์ฐอนันตกุล หรือผู้คนเรียกติดปากว่าเจ้าสัวเทวัญ ทายาทรุ่นที่สอง ผู้คร่ำหวอดธุรกิจการเช่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักตระกูลนี้ ห้างร้านใหญ่ๆในทำเลทองต่างก็เป็นลูกค้าของประเสิร์ฐอนันตกุล  เทวัญเป็นทายาทรุ่นที่สองที่เป็นลูกโทน ตอนสมัยเขายังเยาว์ เขาก็ถูกเรียกว่าเจ้าสัวแล้ว แม้ในตอนแรกฉายาจะได้เพราะเกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ลูกโทนคนนี้ไม่ได้ทำให้ตระกูลต้องขายหน้า เขาทั้งรักษาสิ่งที่มีและสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นมามากมาย ลูกชายอย่างทิวาไม่จำเป็นต้องไปหันมองฮีโร่แบบอย่างจากที่ไหน เพราะพ่อของเขาไม่ว่าจะจับอะไรก็ประสบความสำเร็จไปเสียทุกอย่าง “โตขึ้นผมจะเก่งให้ได้เหมือนพ่อ” คำของเด็กชายทิวา ประเสิร์ฐ-อนันตกุล ผู้ที่เกิดมาบนกองเงินกองทองไม่ต่างกับผู้เป็นพ่อเลย  บ้านประเสิร์ฐอนันตกุล ขอมอบให้นายทิวา  บุตรชายของข้าพเจ้าและนางสาวนับดาว ภรรยาของข้าพเจ้า ทั้งสองมีสิทธิ์ในบ้านเท่าเทียมกัน  หุ้น 19 % ของอนันตกุลกรุ๊ป มอบให้นายทิวา  สังหาริมทรัพย์ดังต่อไปนี้....ขอมอบให้นายทิวา.... อสังหาริมทรัพย์ดังต่อไปนี้...ขอมอบให้นายทิวา... ทิวาไม่ได้กลับมาเพื่อมาเจอกับพินัยกรรมแบบนี้ ‘นับดาว’ ใครกันว๊ะ! ทรัพย์สมบัติของตระกูลถูกหั่นแบ่งเป็นสามส่วน ในพินัยกรรมฉบับนี้เอ่ยถึงแต่ในส่วนของเขากับแม่เขาเท่านั้น และชื่อผู้หญิงที่เขาได้ยินเป็นครั้งแรก ปรากฎอยู่ในพินัยกรรมเพราะเธอถือสิทธิ์ครองบ้านประเสิร์ฐอนันตกุล ร่วมกับเขา “ทำไมวันนี้คุณแม่อีกคนของผมถึงไม่มาร่วมรับทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ด้วยล่ะครับ” “เงื่อนไขในพินัยกรรมไม่ได้ระบุว่าคุณนับดาวจำเป็นต้องมา” ประธานแถลงข้อข้องใจ “ตกลงก่อนตายเนี่ย พ่อมีเมียกี่คนกัน!!” ทิวาเกรี้ยวกราดอย่างเห็นได้ชัด แต่คำเกรี้ยวกราดนี้ไม่มีคำตอบกลับใดๆ ของประธาน “ทิวา หลานเป็นผู้ถือสิทธิ์หุ้นที่มากที่สุด อำนาจบริหารเป็นของหลานอย่างชอบธรรม ธุรกิจที่อยู่ภายใต้อนันตกุลกรุ๊ป หลานเป็นผู้มีสิทธิขาด” ประธานบอกเท่านั้นและขอตัวกลับเมื่อตนทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นแล้ว เพล้งงงงง เมื่อประตูรั้วที่ถูกเปิดส่งแขกและถูกปิดลงอีกครั้ง เครื่องแก้วบนโต๊ะยาวก็ล่วงหล่นกระทบพื้นหินอ่อนแตกกระจัดกระจายด้วยน้ำมือประมุขของบ้าน ตุ๊บ! “ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธอเป็นใคร...นับดาว” เสียงลอดไรฟันเย็นยะเยือก เปล่งออกมาเพียงแค่คนข้างกายเท่านั้นที่ได้ยิน  รัศมีเองก็ไม่อยากยอมรับกับพินัยกรรมฉบับนี้ เธอที่เป็นภรรยาคนแรกที่แม้หย่าร้างไปนานแล้ว แต่เธอก็เป็นแม่ของลูกชายที่เป็นทายาท เธอกลับได้รับเพียงเงินห้าล้านบาทกับพื้นที่ตลาดที่มีรายได้จากค่าเช่าที่เดือนละไม่กี่แสนเท่านั้น ต่างกับผู้หญิงที่ชื่อนับดาวที่เป็นใครกัน...และสมบัติอีกสองส่วนที่รายละเอียดเธอเองก็ไม่ชัดเจนนัก ตอนนี้มันถูกยกให้ใครกันเล่า...รัศมีเองก็อยากรู้ไม่ต่างกับลูกชาย “คุณแม่ไม่ระแคะระคายเรื่องผู้หญิงคนนี้มาก่อนเลยเหรอครับ” รัศมีผ่อนลมหายใจ เดินอย่างระมัดระวังเข้าไปใกล้ลูกชาย เพราะพื้นเต็มไปด้วยเศษแก้วมากมาย “อิทธิพลของคุณพ่อ คนอย่างแม่ไม่กล้าเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาหรอกนะ และชื่อนี้แม่ก็พึ่งได้ยินครั้งแรกพร้อมกับลูก” ทิวาเข้าใจดี  “แม่ย้ายกลับมาอยู่กับผมที่นี่นะครับ” รัศมียิ้มและเข้าไปโอบไหล่บุตรชาย เธอกับลูกไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่ที่ทั้งสองเดินออกจากบ้านหลังนี้ ทั้งๆที่เธอต้องการอยู่ดูแลลูกชาย แต่เพราะคำสั่งของเทวัญที่ต้องการให้ลูกชายของตนซมซานกลับเข้าบ้านอีกครั้งนั้น เธอจึงไม่กล้าและครอบครัวของเธอเทียบชนชั้นทางสังคมกับเทวัญไม่ได้เลย เมื่อเขาสั่งมีหรือว่าเธอจะขัดได้ ไม่งั้นพ่อกับแม่ของเธอต้องเดือดร้อนเป็นแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD