“บ้าเอ้ย ซวยอะไรขนาดนี้กันนะ” หญิงสาวหันไปมองโทรศัพท์มือถือของตนเองที่วางอยู่บนเตียงนอน และพบว่ามันอยู่ไกลเกินกว่าที่มือและเท้าของเธอจะเอื้อมถึง
เธอหันกลับมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อปิดหน้าต่างเกมและจะส่งข้อความขอความช่วยเหลือแทน
“ทำไมปิดไม่ได้ล่ะ” หญิงสาวคลิกไปที่กากบาทสีแดงอันใหญ่รัวๆ แต่มันกลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
เธอนั่งอดทนต่อความหวาดกลัวในเรื่องที่ป้าไฉเคยเล่าให้ฟังอยู่นานเกือบสามชั่วโมง มีคนเดินผ่านหน้าห้องพักของเธออยู่สี่ครั้ง และทุกครั้งก็เป็นเช่นเดิมไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงของหยูจินเซียงเลยสักคน
“ไม่ไหว หากต้องนั่งอยู่อย่างนี้จนมืดค่ำฉันต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่ ๆ”
หญิงสาวหันมาเม้มริมฝีปากแน่น ลากเมาส์ไปวางที่ตำแหน่ง กดเพื่อเริ่ม อีกครั้ง
ภาพภายในหอพักสวัสดิการหมุนวนอีกครั้ง เสียงเพลงพิณและเสียงสตรีขับร้องเพลงดังก้องขึ้นมาแทนที่
“จินเซียง เราสองคนไปกันเถิด ไปก่อนก็ได้เลือกก่อนนะ”
หยูจินเซียงหันมาค้อนขวับให้สตรีชุดเขียวทีหนึ่ง ได้ยินยัยนี่พูดคำเดิมมาสามครั้งหญิงสาวก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว นางไม่รอให้สตรีชุดเขียวเข้ามาจับจูงมือแต่อย่างใดลุกขึ้นเดินไปกลางลานกว้างสายตามองหาดอกไม้ที่จะเลือกเป็นครั้งที่สาม
หญิงสาวเพ่งมองไปที่ดอกไป๋หลันฮวา (ดอกจำปี) ดอกเล็กสีขาวดอกหนึ่ง มันถูกวางอยู่นอกแจกันเพราะเจ้าของเด็ดดอกไป๋หลันฮวาออกมาเฉพาะดอกไม่มีก้านติดมาด้วยทำให้ขันทีไม่สามารถปักมันใส่แจกันได้
มือขาวผ่องของหญิงสาวเอื้อมไปคว้ามันมาทันที
“นั่นของข้า ข้ามองมันไว้นานแล้ว ส่งมาให้ข้าเดี๋ยวนี้” หญิงสาวในชุดสีขาวตรงปรี่เข้ามาคว้าข้อมือของหยูจินเซียงเอาไว้
“มีที่ใดจับจองด้วยสายตา ข้าได้มันมาแล้วก็คือของข้า!!” หยูจินเซียงไม่ยอมปล่อยดอกไม้ในมือเด็ดขาด นางไม่มั่นใจว่าหากปล่อยมันไปจะเป็นการต้องกลับไปเริ่มเกมใหม่อีกหรือไม่
คิดได้ดังนั้นร่างเล็กก็สะบัดมือของสตรีชุดขาวออกแล้วรีบวิ่งหนีแทรกตัวไปท่ามกลางสตรีมากมายที่กำลังมาเลือกดอกไม้กลางลานกว้าง
สตรีชุดขาวหน้าซีดไปเป็นสีเดียวกับชุดของตน นางพยายามมองตามร่างในชุดสีชมพู แต่ด้วยมารยาทหญิงสาวไม่สมควรจะวิ่งหรือเดินเร็วเช่นสตรีไร้ยางอายผู้นั้นได้ นางจึงตามไม่ทันและสุดท้ายก็หาร่างในชุดสีชมพูเมื่อครู่ไม่พบแล้ว
หยูจินเซียงวิ่งหนีไปหลบอยู่หลังกระโจมหลังหนึ่งซึ่งไม่ใช่กระโจมที่นางและสตรีชุดเขียวนั่งอยู่ในคราวแรก
นางยืนมองสตรีชุดขาวที่หันรีหันขวางชะเง้อหาตนอยู่นาน จนกระทั่งเห็นสตรีผู้นั้นไม่ยอมเลือกดอกไม้ชนิดอื่นและดูเหมือนจะโมโหสุดขีดและไปยืนรวมกลุ่มกับสหายของนางห่างจากบริเวณที่ตั้งกระโจมเล็กน้อย หญิงสาวจึงได้เดินอ้อมไปยังกระโจมของตนรอเวลาให้พายุฝนมาถึง นางก็จะได้กลับจวนสกุลหยูไปพร้อมกับดอกไป๋หลันฮวาที่เลือกมา
“จินเซียง เจ้าหายไปไหนมาข้าห่วงแทบแย่” สตรีชุดเขียวรีบดึงมือหญิงสาวกลับมานั่งทันทีที่นางปรากฏตัว
หยูจินเซียงยิ้มออกมาได้ในที่สุด อย่างน้อยสตรีชุดเขียวผู้นี้ก็รู้จักพูดคุยประโยคอื่นกับตนบ้าง
“ข้าแค่เดินไปรอบๆ แถวนี้ล่ะ นี่! เจ้าชื่ออะไรหรือ?” นางเห็นว่าสตรีชุดเขียวยังคงเลือกดอกเบญจมาศสีเหลืองดังเดิม พายุฝนก็ยังไม่มาจึงริเริ่มจะถามชื่อแซ่ของคนข้างกายที่น่าจะเป็นสหายของตน
“ลืมข้าอีกแล้วหรือจินเซียง ข้าเยว่ฉีอย่างไร เราเป็นสหายกันตั้งแต่เด็กแล้วท่านพ่อของเจ้ากับท่านพ่อข้าก็เป็นสหายกันด้วยนะ”
เวยเยว่ฉีไม่ได้สงสัยกับคำถามของสหายเช่นกัน หยูจินเซียงก็เป็นเช่นนี้มานาน นางมักจะหลงลืมเรื่องราวไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน บางครั้งยังจำวิธีการเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เยว่ฉี จากนี้ข้าจะจำเจ้าได้แล้วล่ะ ข้าไม่ลืมอีกแล้ว” หยูจินเซียงสัมผัสได้กับความจริงใจของสตรีชุดเขียวตรงหน้าผ่านสายตาและท่าทาง แม้ว่าสตรีผู้นี้จะรู้ว่าอีกไม่นานนางก็จะลืมเรื่องราวทุกสิ่ง นางก็ยังปฏิบัติกับตนด้วยความรัก ไม่มีวี่แววรำคาญหรือไม่พอใจแม้แต่น้อย
“ขอให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เถิดจินเซียง ข้าจะดีใจมากเลย ต่อไปพวกเราต้องทำอะไรต่อกันนะอยากรู้จริง”
หยูจินเซียงได้แต่อมยิ้ม คำพูดเมื่อครู่สองครั้งก่อนนางเป็นคนพูดเอง แต่ครั้งนี้กลับเป็นเวยเยว่ฉีที่ถาม ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ได้เป็นไปตามเดิมทั้งหมด
แต่ที่แน่ ๆ หลังจากนี้ก็คงจะมีพายุฝนและทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน ไม่ได้ไปต่อเสียหน่อย
หยูจินเซียงนั่งรอให้สตรีบริเวณลานกว้างเลือกดอกไม้กันจนครบ ครั้งนี้นางไม่ได้ถูกแม่นมจางตำหนิเรื่องการวางตัว ซ้ำบ่าวรับใช้สตรีทั้งสามยังมีสีหน้างุนงงว่าคุณหนูของพวกนางเหตุใดจึงได้สงบปากสงบคำไม่ได้ตั้งคำถามตลอดเวลาอย่างที่เคยเป็น
นางเหลือบตาขึ้นไปมองบนท้องฟ้า เวลานี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งไม่มีวี่แววของเมฆฝน ลมพายุไม่ได้เกิดขึ้น ยอดหญ้าบนพื้นดินยังไม่กระดิกเลยด้วยซ้ำ
“เชิญคุณหนูทุกคนเข้าไปด้านในได้แล้วขอรับ” บุรุษชุดสีเทาอ่อนกระจายตัวมายังกระโจมต่าง ๆ เพื่อแจ้งข่าว
ตอนที่เข้าเกมครั้งที่สอง นางได้รู้แล้วว่าบุรุษชุดสีเทากลุ่มนี้คือขันทีจากวังหลวงที่ส่งออกมาอำนวยความสะดวก และบริเวณสถานที่จัดงานเลี้ยงเสี่ยงบุปผาครั้งนี้คือพื้นที่ส่วนตัวของฉินอ๋อง
“ไม่เกิดพายุ และยังได้ทำภารกิจต่อ เลิศ!” หยูจินเซียงรู้สึกดีใจและตื่นเต้นจนลืมเรื่องร้ายๆ นอกเกมไปสนิท
“ด้านในที่พวกเรากำลังจะไปคือที่ใดหรือเยว่ฉี”
“ที่นี่เป็นที่ดินของฉินอ๋อง ไม่เคยมีผู้ใดเข้าไปหรอก แต่ได้ยินมาว่าเป็นอุทยานดอกไม้นะ” เวยเยว่ฉีเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยสำหรับกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
หยูจินเซียงสังเกตเห็นว่าสตรีชุดสีขาวที่นางแย่งดอกไม้มาเมื่อครู่ได้เดินย้อนกลับออกไปจากลานกว้างหน้าอาคารใหญ่ ดูเหมือนว่าสตรีผู้นั้นจะล้มเลิกการจับคู่ในครั้งนี้ไปแล้ว
หญิงสาวได้แต่แอบขอโทษสตรีผู้นั้นอยู่ในใจ แต่นางไม่กล้าเปลี่ยนดอกไม้จริงๆ และอีกอย่าง ใช่ว่าบนโต๊ะจะไม่มีดอกไม้อื่นให้สตรีผู้นั้นได้เลือก
การเสี่ยงบุปผาครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นการบังคับแต่งงานแต่อย่างใด เป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มหญิงสาวได้มีโอกาสพบหน้าใกล้ชิดกันก็เท่านั้น เพราะหากไม่ได้เป็นสหายที่สนิทสนมกันตั้งแต่เล็ก ในช่วงสงครามที่มีการห้ามคนออกเพ่นพ่านในยามวิกาล หรือจำกัดจำนวนการจับกลุ่ม การปิดโรงมหรสพโรงน้ำชา ชายหนุ่มและหญิงสาวก็ไม่มีโอกาสได้รู้จักกับผู้อื่นเลย
สตรีชุดขาวผู้นั้นเหตุใดต้องจงใจจะเลือกดอกไป๋หลันฮวาในมือนาง ไม่เลือกดอกไม้อื่น ทั้งที่หากเลือกดอกไม้อื่นนางก็สามารถปฏิเสธคู่ของนางได้ หยูจินเซียงไม่เข้าใจ
ผ่านอาคารใหญ่ที่เปรียบเสมือนเป็นอาคารรับรองที่สร้างเป็นรูปแบบซุ้มประตูยาวๆ มีห้องพักรับรองหลายห้อง รวมทั้งพื้นที่โล่งแต่มีหลังคาไว้ให้นั่งพัก สหายสตรีสองคนก็ได้พบกับสวนดอกไม้ขนาดใหญ่มหึมาที่สวยสดงดงาม
ด้านในเท่าที่สายตาของหยูจินเซียงมองเห็น ไม่พบว่ามีอาคารขนาดใหญ่แห่งอื่นปลูกสร้างอยู่แต่อย่างใด แต่ในระยะไกลตามเส้นทางเดินคดเคี้ยวผ่านกลุ่มแมกไม้และลำธาร นางเห็นมีศาลารับลมหลายหลังกระจายตัวอยู่ทั่วทุกแห่ง ภายในศาลามีกลุ่มบุรุษจับกลุ่มกันอยู่ 3 คน บ้าง 5 คนบ้าง และยังมีอีกมากที่เดินชมความงามอยู่ภายในอุทยานดอกไม้แห่งนี้
“เชิญคุณหนูเที่ยวชมความงามของดอกไม้กันได้เต็มที่เลยขอรับ ด้านในมีนางกำนัลเตรียมน้ำชาและขนมไว้ทั่วทุกแห่ง” ขันทีเริ่มบอกสิ่งที่หญิงสาวทุกคนควรทำต่อไป
หยูจินเซียงเข้าใจแล้วว่า ฉากต่อไปเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าหญิงสาวได้เดินตามหาเจ้าของดอกไม้ที่ตนเลือกนั่นเอง คนโบราณนี่ช่างคิดนัก จะพบหน้ากันทั้งทีก็ยังต้องหาเรื่องชมดอกไม้ดื่มชาจัดงานเลี้ยง เล่นใหญ่กันเหลือเกิน