หญิงสาวยังไม่ได้ตระหนักดี ความคิดที่ว่าเธอกำลังอยู่ในเกมนั้นมันเป็นความคิดที่ผิดพลาดไปเสียแล้ว
เกมที่เธอกำลังเล่นอยู่นี้แท้จริงแล้วมันเป็นประตูสู่มิติคู่ขนาน เมื่อเธอเข้าไปในนั้นเธอจะใช้เลือดเนื้อและตัวตนของตัวเองในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริงในสถานที่จริง คนในแคว้นโจวก็เป็นมนุษย์จริงที่มีเลือดเนื้อและลมหายใจทุกคน เพียงแต่เธอมีโอกาสแก้ไขเริ่มต้นใหม่ได้ในจำนวนที่จำกัดเท่านั้น
หยูจินเซียงกดปุ่มเริ่มเกมอีกครั้งด้วยความโมโหและเศร้าใจกับตัวละครของไหวอี้ตี่ เธอคิดจะเข้าไปในเกมแล้วเลือกเตือนคนสกุลไหวก่อนจะเกิดเหตุเรื่องเพลิงไหม้
ภาพในหอพักสวัสดิการรัฐหมุนวนอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร เธอหลับตาลงและเมื่อได้ยินเสียงเพลงพิณกับเสียงขับร้องบรรเลงเพลง เธอก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งช้าๆ
“จินเซียง เราสองคนไปกันเถิด ไปก่อนก็ได้เลือกก่อนนะ”
เป๊ะมากกก!!! คำพูดประโยคเดิมน้ำเสียงเดิมของสตรีชุดสีเขียวอ่อน ทำให้หยูจินเซียงถึงกับเผลอยิ้มกว้างจนน่าเกลียดออกมา
“ฉากต่อไปก็เลือกดอกไม้” หญิงสาวยักไหล่ไปมาระหว่างที่สตรีชุดเขียวคล้องแขนเธอไปที่ลานกว้าง
หยูจินเซียงเลือกดอกกุหลาบสีแดงสดอีกครั้ง หมายมั่นปั้นมือว่าครั้งนี้นางจะไม่โวยวายจนถูกจับมัดไว้ในจวนสกุลหยู และจะต้องช่วยชีวิตตัวเองและไหวอี้ตี่ให้ได้ เพื่อรอดูฉากต่อไป
แต่ในทันทีที่เธอเลือกดอกกุหลาบสีแดง เธอก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้อีกต่อไป ฉากเดิมคำพูดเดิมที่เคยเกิดขึ้นกับตนเองไปแล้วครั้งหนึ่งวนเวียนฉายซ้ำโดยที่ร่างกายของเธอเคลื่อนไหวไปเองอย่างอัตโนมัติไร้การควบคุมแตกต่างจากที่เคยเป็น
ฝนตกแล้ว ดื่มยา สลบไป ถูกมัด เสียงพูดความตกอกตกใจ สีหน้าและแววตาของคนรอบข้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนเดิมไม่ผิด
หญิงสาวจำต้องใช้ชีวิตซ้ำเดิมเช่นนี้ไปอีกหนึ่งเดือน มีเพียงสมองเท่านั้นที่รับรู้แต่เธอไม่อาจควบคุม ช่วงเวลาสุดท้ายของไหวอี้ตี่ หญิงสาวมีเวลาสังเกตการกระทำที่อบอุ่นอ่อนโยนของชายหนุ่มที่เคยพบหน้ากันเพียงสองครั้งเท่านั้นนานยิ่งขึ้น ทำให้เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน
“แค่กๆๆ” หยูจินเซียงและไหวอี้ตี่จบชีวิตในกองเพลิงอีกครั้ง แล้วเกมก็ส่งตัวหญิงสาวออกมาตามเดิม
“บ้าเอ้ย!! ที่แท้ก็เลือกดอกไม้ซ้ำไม่ได้นี่เอง” ระหว่างที่เธอติดอยู่กับเหตุการณ์เก่าหยูจินเซียงก็พิจารณาและเริ่มทำความเข้าใจได้ทีละเล็กละน้อย
ครั้งนี้หญิงสาวตั้งสติได้ดีกว่าเดิม เธอมองไปที่นาฬิกาแวบหนึ่ง เห็นว่าเข็มนาฬิกายังไม่ขยับไปเท่าใด เธอก็เบนสายตากลับมาสำรวจหน้าแรกของหน้าต่างเกมใหม่อีกครั้ง
หยูจินเซียงสังเกตเห็นว่าทางมุมบนซ้ายของหน้าแรก มีหัวใจห้าดวงปรากฏอยู่ สามดวงมีสีแดงและสองดวงเป็นสีเทา แสดงให้เห็นว่าการที่เธอเลือกเริ่มเกมไปสองครั้งและเสียชีวิตในเกมคือจำนวนหัวใจสีเทาสองดวงนั้นที่เสียไป
“เล่นได้อีกสามครั้งอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวรู้สึกสนอกสนใจอยู่บ้าง ว่าหากเธอเลือกดอกไม้ชนิดอื่นก็ย่อมได้พบกับบุรุษอื่น ไหวอี้ตี่อาจจะได้พบรักกับสตรีอื่น หากมีโอกาสนางก็จะไปเตือนไหวอี้ตี่กับเจ้าสาวของเขา
ชีวิตสตรีที่เพิ่งออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและยังไม่มีงานทำอย่างเธอ เคยมีชายหนุ่มเดินตามจีบหยูจินเซียงในเวลาที่ไปเรียนด้วยทุนการศึกษาของรัฐ แต่ภายหลังจากจบการศึกษาแล้วชายผู้นั้นรู้ว่าเธออยู่ในหอพักสวัสดิการรัฐ คนผู้นั้นก็หายไปจากชีวิตเธอทันที
คนในหอพักสวัสดิการรัฐส่วนใหญ่ก็ต่างคนต่างอยู่ เมื่อเลิกงานกลับถึงห้องก็พากันปิดประตูเงียบ หยูจินเซียงจึงรู้สึกเหงาและเกมนี้ก็เป็นเพื่อนคลายเหงาชั้นดีเลยทีเดียว
“แล้วถ้าต้องอยู่อีกเป็นเดือนๆ เล่า ยุคโบราณไม่มีอะไรให้ทำเลย เบื่อจะแย่” ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงในเกมแต่หญิงสาวก็ยังรู้สึกว่ามันเสมือนจริงอย่างยิ่ง ในแต่ละวันเธอแทบจะรอคอยให้พระอาทิตย์ขึ้นและตกดินไม่ไหวด้วยความเบื่อหน่าย
“กินบะหมี่ก่อน เดี๋ยวค่อยเล่นต่อก็แล้วกันนะ หนุ่มๆ จ๋ารอเจ๊เดี๋ยวนะ” หญิงสาวคิดจะลุกไปหยิบตะเกียบที่ชั้นวางของ แต่ปรากฏว่าเธอไม่สามารถลุกออกจากเก้าอี้ได้
ร่างกายของเธอแม้ว่าจะขยับได้ตามปกติ แต่ก้นเธอยังแปะอยู่กับเกาอี้ดังเดิม แม้จะพยายามเคลื่อนย้ายตัวเองไปพร้อมกับยกเก้าอี้ไปด้วยก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน เก้าอี้คล้ายว่าจะถูกฝังแน่นอยู่กับพื้นห้องจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว
“ช่วยด้วยค่ะ มีคนติดอยู่ในนี้ ช่วยด้วยค่ะ” ร่างเล็กที่เกาะแน่นติดตรึงอยู่กับเก้าอี้ พยายามส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากคนข้างห้อง พื้นที่แต่ละห้องภายในหอพักสวัสดิการรัฐแคบเท่ารูหนู เพียงแค่เสียงเปิดปิดประตูของห้องข้างๆ ก็ดังก้องมายังอีกห้องหนึ่งราวกับว่าใช้ประตูอันเดียวกันแล้ว
หยูจินเซียงร้องเรียกอยู่นานกลับไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงร้องของเธอสักคนเดียว ในที่สุดเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยของคนสองคนก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
หญิงสาวรอจังหวะให้พวกเขาเดินมาใกล้ห้องของตนเองมากที่สุดและส่งเสียงขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
“ใครอยู่ข้างนอก ช่วยด้วยค่ะ ฉันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ช่วยตามคุณป้าไฉมาเปิดประตูให้หน่อยได้ไหมคะ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบกลับ คนข้างนอกซึ่งน่าจะเป็นบุรุษหนึ่งคนและสตรีอีกคน ยังคงพูดคุยกันตามปกติคล้ายว่าไม่ได้ยินที่เธอ
“ตอนเย็นคุณเอาถุงขยะมาวางไว้หน้าห้องได้เลย เดี๋ยวผมจะเอาของผมไปทิ้งแล้วจะหยิบของคุณติดมือไปด้วย”
“ตกลงค่ะ นี่เป็นขนมเปี๊ยะที่เจ้านายฉันเอามาแจกพนักงาน คุณรับไปสิคะ ถือว่าเป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ จากฉัน”
หยูจินเซียงได้ยินชายหญิงสองคนพูดคุยกันที่หน้าห้องของเธออย่างชัดเจน ผู้ชายย่อมเป็นคุณซูและผู้หญิงย่อมเป็นคุณหลาน เพื่อนข้างห้องพักที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวาของหยูจินเซียงอย่างแน่นอน
สองคนนี้กำลังจีบกันอยู่ และมักจะเปิดประตูออกมาคุยกันโดยมีห้องของเธอคั่นอยู่ตรงกลาง บทสนทนาของคนคู่นี้หยูจินเซียงแอบฟังแบบไม่ต้องแอบมาหลายครั้งจนกระทั่งรู้จักชื่อของคนทั้งคู่
“คุณซู คุณหลาน ฉันเองค่ะ ฉันเกิดอุบัติเหตุในห้อง พวกคุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ”
“ตอนเย็นบางทีผมอาจจะเดินเลยไปที่สวนสาธารณะสักหน่อย ช่วงเย็นจะมีรถเข็นเกาลัดเจ้าหนึ่งมาขายที่นั่นเป็นประจำ อร่อยมากเลย หากคุณว่างก็ลองไปชิมดูสิ ต้องกินตอนร้อนๆ ถึงจะอร่อย”
“เกาลัดหรือ ไม่ได้กินมานานแล้วเหมือนกันค่ะ ตกลงงั้นตอนเย็นพบกันนะคะ” สองคนข้างนอกยังคงคุยกันต่อ โดยไม่สนใจตอบรับคำของหยูจินเซียงแม้แต่คำเดียว
เธอมั่นใจว่าระยะใกล้เพียงแค่สองก้าวก็ถึงประตูห้อง เสียงของเธอก็ดังพอที่จะทำให้สองคนนั้นชะงักหรือหยุดบทสนทนาไปได้บ้าง แต่ทั้งคู่กลับยังคุยกันต่ออีกหลายประโยค ทั้งที่เธอยังร้องตะโกนลั่น จนในที่สุดเสียงปิดประตูสองครั้งจากเพื่อนบ้านก็ดังขึ้น
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นมากันเนี่ย!” หยูจินเซียงรู้สึกถึงความผิดปกติอย่างชัดแจ้ง เพื่อนบ้านสองคนของเธอแม้จะไม่ได้รู้จักสนิทสนมกัน แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยพบหน้ากันเสียเมื่อไหร่
ทั้งคู่เมื่อพบเธอที่หน้าห้องโดยบังเอิญก็มักจะส่งยิ้ม หรือมีการทักทายกันสั้น ๆ พอเป็นพิธีไม่ใช่คนนิสัยเสียแต่อย่างใด การที่พวกเขาไม่ตอบรับนั้นมีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือพวกเขาไม่ได้ยินเสียงเธอจริงๆ
หญิงสาวรู้สึกกลัวจนขนลุก เธอใช้มือซ้ายคว้าหมับไปที่สร้อยข้อมือลูกประคำที่มือขวา พลางนึกถึงคำพูดของคุณป้าไฉผู้ดูแลหอพัก
คุณป้าไฉบอกว่าห้องที่เธอพักอยู่เคยเกิดเหตุการณ์คนหายสาบสูญไปแล้วสองคน เหตุการณ์เกิดกับคนสองคนในระยะเวลาต่างกัน ผ่านไป 20 กว่าปีตำรวจก็ยังไม่สามารถคลี่คลายสองคดีนี้ได้ ราวกับพวกเขาหายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น
ป้าไฉเชื่อว่าเป็นเรื่องลี้ลับ จึงมอบสร้อยข้อมือประคำให้หยูจินเซียงไว้ป้องกันสิ่งชั่วร้าย ตัวเธอเองก็กลัวจนหัวหดแต่ในเวลานั้นห้องพักก็เต็มหมดแล้วเหลือเพียงห้องเดียว เธอไม่สามารถปฏิเสธหรือย้ายห้อง จึงรับประคำเส้นนี้มาใส่ไว้ นานวันเข้าก็หลงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท