Chapter 5 ผู้หญิงของท่านประธาน

2946 Words
Chapter 5 ผู้หญิงของท่านประธาน หล่อนมองใบหน้าคมคร้ามที่ราบเรียบ ยากจะเดาว่าเขาคิดอะไรอยู่ภายในใจ แววตาสองคู่สบประสานคล้ายต้องการล้วงลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจว่าซ่อนความรู้สึกใดเอาไว้ และดูเหมือนคำพูดของเปมนีย์จะเป็นเหมือนสายลมพัดผ่านที่คนฟังหาได้ใส่ใจ เขายังคงหน้ามึนกว่าที่คิด “เอาเถอะ พี่เข้าใจว่าเธอยังไม่สร่างเมา ก็เลยพูดอะไรที่มันสิ้นคิดออกมา ขอแค่รู้ไว้ก็พอว่าเธอไม่ได้โสดซิงเหมือนเก่า เธอมีผัวแล้ว หลังจากนี้จะคุยกับผู้ชายส่งเดชไม่ได้ คุยเล่นได้แต่กับพี่คนเดียว เข้าใจมั้ย” “อย่ามาขี้ตู่นะคะ ลูกปลาคิดดีแล้ว อ๊ะ!” พูดไม่ทันจบเขาก็จับร่างของหล่อนให้พลิกนอนหงาย พร้อมกับมองมาด้วยสายตาที่ทำให้หล่อนรู้สึกร้อนวูบวาบแปลก ๆ “ไหนมาให้หมอตรวจร่างกายหน่อยสิครับ” “ดะ เดี๋ยว! ตรวจอะไรคะ” “ตรวจภายใน ไหนดูซิว่าถลอกหรือเปล่า” “มะ…ไม่ต้อง ไม่เอา!” หล่อนหุบขาแล้วหนีบเข้าหากันเมื่อเขาเคลื่อนกายลงต่ำ แต่ก็ไม่อาจต้านทานสองมือแกร่งที่จับสองขาเรียวให้แยกออกแล้วกดเอาไว้ เห็นแววตาเข้มมองจ้องตรงกลางกายแล้วยิ่งอายจนหัวใจเต้นแรง หล่อนหลับตาหนีความอายเมื่อฝ่ามือแกร่งทาบลงบนเนินเนื้อที่ไร้สิ่งขวางกั้นแล้วลูบขึ้นลูบลงอย่างอ่อนโยน มือของเขาช่างร้อนจนความร้อนนั้นแผ่ซ่านไปตามกระแสเลือด ไม่กล้าที่จะลืมตามองว่าเขาจะทำอะไรต่อไป หล่อนเขินอายจนไม่กล้าที่จะสบตา ได้แต่นอนนิ่งอย่างยอมจำนน “พี่แสน…พะ…พอได้แล้ว” เขาหูอื้อไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอนเบาหวิวที่เล็ดลอดผ่านเรียวปากนุ่ม แววตากรุ่นกระแสปรารถนาจ้องมองเนินเนื้อขาวอวบที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ร่องรอยแห่งรักยังฝากเอาไว้บนผิวเนื้อนุ่มแสนบอบบาง รอยแดงเป็นจ้ำที่เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาหนักมือไปนิด ยิ่งมองลมหายใจก็ยิ่งร้อนรุ่มและแรงขึ้นจากความปรารถนาที่ก่อตัว ปลายนิ้วแกร่งทาบลงบนกลีบเนื้อแล้วค่อย ๆ แหวกให้แยกออกจากกันราวต้องการสำรวจ…อา…เนื้อในนั้นแดงระเรื่อจากการถูกล่วงล้ำลึกซึ้ง แววตาหื่นกระหายมองเข้าไปในร่องสวาทที่เคยได้สัมผัส อยากที่จะลองลิ้มชิมอีกครั้ง จนอดยื่นหน้าเข้าหาไม่ได้ ริมฝีปากร้อนพรมจูบลงบนกลีบเนื้ออุ่นด้วยอารมณ์เสน่หา ความสากระคายจากไรหนวดทำให้หล่อนส่ายสะโพกหนี หากแต่ก็ถูกสองมือใหญ่ล็อกเอาไว้ให้อยู่นิ่งๆ “พี่แสน…มันยัง…ไม่หายเจ็บ” ลมหายใจแรง ๆ ที่หล่อนสัมผัสได้ทำให้ต้องบอกเขาไปตรง ๆ เพราะกลัวที่จะถูกล่วงล้ำอีกครั้ง มันทั้งเจ็บขัด ๆ ผสานความแสบที่อธิบายไม่ได้ หล่อนเพิ่งได้เรียนรู้ สัมพันธ์รักลึกซึ้งครั้งแรกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง “เจ็บมากไหม…” เอ่ยถามอย่างอาทรเมื่อคิดว่าตนเป็นคนทำให้หล่อนต้องเจ็บตัว นึกไปถึงเลือดบริสุทธิ์ที่ปะปนมากับคราบความรักบนกระดาษทิชชูที่ถูกทิ้งไว้เกลื่อนรถ มือใหญ่ทาบลงบนเนินเนื้อนุ่มแล้วลูบไล้เบา ๆ ราวกับต้องการช่วยบรรเทาความเจ็บ แม้กลางกายจะตื่นตัวจนปวดหนึบหนับอยากล่วงล้ำแทบแย่ แต่เขาก็สงสารไม่อยากทำให้หล่อนเจ็บมากไปกว่านี้ จึงจำต้องอดทนไว้กินวันหลัง ลมหายใจอุ่นซ่านผ่อนออกมาเพื่อระบายอารมณ์หื่นกระหาย ข่มใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน แววตาเข้มพยายามไม่มองความสวยงามยั่วใจตรงหน้า รู้สึกได้ถึงความหวงแหนที่ก่อตัวขึ้นในใจ “พี่ขอโทษที่ทำเธอเจ็บ…แต่…ครั้งแรกก็แบบนี้…ครั้งต่อ ๆ ไปก็ไม่เจ็บแล้วล่ะ” หล่อนท้าวข้อศอกไว้กับที่นอนแล้วผงกหัวขึ้นมา หุบขาหนีสายตาที่จ้องราวจะกลืนกินเมื่อเขายอมปล่อยให้เป็นอิสระ “ใครบอกว่าจะมีครั้งต่อไปคะ” “พี่นี่ไง คนบอก มันจะต้องมีครั้งต่อไปแน่ เธอหนีมันไม่ได้หรอกที่รัก” “ถ้าลูกปลาไม่ยอมเสียอย่าง พี่แสนก็ทำอะไรไม่ได้” “ปากเก่งแบบนี้ ครั้งหน้าจะกระแทกให้ร่างพังเลยคอยดู!” “พี่แสน!” เขาหัวเราะอยู่ในลำคอ ลุกเดินไปยังโต๊ะริมหน้าต่างที่มีโถกาแฟวางอยู่บนนั้น ก่อนหยิบขึ้นมารินกาแฟดำใส่แก้วอีกใบที่ยังว่าง แล้วถือแก้วใบเล็กเดินกลับมายื่นให้คนบนเตียง “ดื่มซะสิ คาเฟอีนช่วยเพิ่มความดันเลือด มันช่วยขับแอลกอฮอล์ได้” หล่อนนั่งหน้าง้ำจากคำพูดของเขาเมื่อสักครู่ มือไม้หงิกไม่ยอมยกขึ้นมารับกาแฟที่ยื่นมาจ่อถึงตรงหน้า “ลูกปลา อย่าดื้อกับพี่สิครับ” “….” “ถ้าเธอยังไม่รับไป พี่จะบุกไปบ้านเธอ แล้วก็บอกกับคุณอาว่าเราเป็นอะไรกัน!” “อย่านะคะ บอกไม่ได้!” คำขู่ได้ผล หล่อนรีบรับแก้วกาแฟจากมือใหญ่ นำมาดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว ก่อนต้องทำหน้าเบ้เพราะความขมจนรู้สึกเปรี้ยวในปาก เพราะปกติหล่อนเคยกินแต่กาแฟใส่นม ไม่ชินรสชาติของกาแฟดำเลยสักนิด เขายื่นน้ำเปล่ามาให้ หล่อนรับมาดื่มล้างความขม สูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกเพื่อตั้งสติคุยกับเขาดี ๆ หล่อนคิดว่าป่านนี้ที่บ้านอาจเป็นห่วง หรือไม่พวกท่านก็ชินเพราะหล่อนชอบนอนค้างที่คอนโดอยู่บ่อย ๆ การที่ไม่ได้กลับไปนอนบ้านแค่คืนเดียวจึงไม่แปลกอะไรในสายตาของตรัยและศจี “ลูกปลาต้องกลับบ้านแล้วค่ะ แต่…จะเอาอะไรใส่กลับบ้านคะ ในเมื่อ…” มองไปยังเศษซากที่กองบนพื้นจากฝีมือเขา หน้าร้อนวูบวาบเพราะความอาย แววตาเข้มสบกลับอย่างรู้ในความหมาย “นั่นน่ะสิ จะกลับยังไงนะ สงสัยต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปเสียแล้ว” “พี่แสน! ยังไงลูกปลาก็ต้องกลับบ้าน พี่ต้องรับผิดชอบที่ทำมันขาด ไม่รู้ล่ะ ไปซื้อมาให้ใหม่เลย” “อย่าว่าแต่กางเกงในเลย พี่ยังหาเสื้อชั้นในของเธอไม่เจอ ไม่รู้ว่าโยนไว้ตรงไหนในรถ” “หะ! เสื้อในก็หายอีกเหรอคะ” “อือฮึ” เขาพยักหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติ เพราะไปทำความสะอาดรถมาแล้วรอบหนึ่ง เก็บพวกกระดาษที่ใช้เช็ดคราบน้ำรัก สงสัยเขาต้องย้อนไปหาอีกรอบ มันอาจซุกไว้ตามซอกเบาะรถแล้วรอดสายตาเขาไป ‘โอ๊ย ลูกปลา ทำไมเธอเป็นคนแบบนี้นะ…’ เปมนีย์แทบอยากมุดดินหนี อายจนไม่รู้จะอายยังไง หล่อนโทษตัวเองที่ปล่อยให้เมามายจนไม่ได้สติ ขนาดเสื้อผ้าก็ยังไม่รู้ว่ากระจัดกระจายอยู่ตรงไหนบ้าง คิดไปถึงคนที่บ้าน ทั้งติณณภพและพิมพ์ลดา หลังจากนี้จะเอาหน้าที่ไหนไปมองทุกคน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้พัทธดนย์จะไม่พูดให้ใครรู้ก็ตาม เสียงสายน้ำเซาะโขดหินกล่อมหัวใจให้ชุ่มชื่น พลอยไพลินนั่งเอาขาจุ่มไปในลำธาร ตรงหน้าคือผักและผลไม้ที่แดนดินหอบหิ้วมาจากในเมือง หล่อนนำมาล้างทำความสะอาดเพื่อเตรียมไว้สำหรับทำมื้อเย็น "เย็นนี้กินสลัดมั้ยคะพี่ช้าง พลอยทำน้ำสลัดอร่อยนะ" แดนดินมองเสี้ยวหน้าคมที่กำลังเผลอ หล่อนมีผิว เนียนละเอียดผ่องใส ดูดีแม้ในยามใส่ชุดธรรมดา เขามองเพลินจนไม่รู้ตัวว่าหล่อนถามอะไรออกมา "พี่ช้างคะ..." หญิงสาวหันไปมองคนที่นั่งนิ่ง แกล้งวักน้ำใส่คนตัวโตจนเขาสะดุ้ง "พลอย! เล่นอะไรเนี่ย" "ก็พลอยถามพี่ช้าง แต่พี่ไม่ตอบ" "พลอยถามพี่ว่าอะไรเหรอ" "พลอยถามว่า เย็นนี้กินสลัดมั้ยคะ" ชายหนุ่มพยักหน้าไปอย่างนั้น เพราะเขากินอะไรก็ได้ที่หล่อนทำให้ "อืม...ได้สิ" พลอยไพลินยิ้มให้คนข้างกาย หล่อนหันไปล้างผักต่อ ตั้งแต่ที่แอบอยู่บ้านหลังนี้หล่อนก็รับอาสาหาข้าวปลาให้แดนดินเป็นการตอบแทน และแดนดินก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการเทรดหุ้น การที่อยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลาทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาความสนิทสนมไปอย่างรวดเร็ว เพื่อน ๆ ก็ทักท้วงให้เขาพาพลอยไพลินไปพบตำรวจ การซ่อนคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าไว้แบบนี้อาจนำมาซึ่งความยุ่งยากในอนาคต หลายคนห่วงแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ฟังใคร รู้แค่ว่าหล่อนมาช่วยเติมเต็มหัวใจที่อ้างว้าง มันทำให้เขาอยากจะมีชีวิตต่อไปในทุก ๆ วัน ท่ามกลางเสียงคุยกระหนุงกระหนิง เสียงรถแล่นตามทางเล็ก ๆ เข้ามาถึงบ้านที่ซ่อนอยู่กลางป่า แดนดินเงยหน้ามองก็รู้ทันทีว่าใคร เขาถอนหายใจออกมาเมื่อพวกเขาเหล่านั้นลงมายืนอยู่ข้างรถ "นั่นไงที่ฉันบอกนาย ไอ้ติณห์เล่าให้ฟังว่าไอ้ช้างซ่อนผู้หญิงเอาไว้ บางทีเธออาจจะเป็นคนที่คุณใหม่ตามหาอยู่ก็ได้" นาวินพยักพเยิดไปทางสาวสวยที่นั่งอยู่ริมลำธาร เมื่อหล่อนเห็นพวกเขาก็มีสีหน้าวิตกกังวลขึ้นมาทันที "แล้วทำไมมันไม่พาเธอไปหาตำรวจ" พัทธดนย์เอ่ย แววตาเข้มมองหญิงสาวแปลกหน้าอย่างสนใจ "ฉันก็ไม่รู้กับมัน ไม่รู้ไอ้ช้างคิดอะไรอยู่" แดนดินเดินมาต้อนรับ เขาเดินมาตบบ่าสองหนุ่มเพื่อทักทาย "ไงพวกนาย สบายดีมั้ย" "ก็เรื่อย ๆ นายล่ะสบายดีมั้ย" "อืม...ชีวิตมีสีสันดี เหมือนเล่นรถไฟเหาะ หุ้นตกก็เครียด พอขึ้นก็หายใจโล่งหน่อย" "ช้อนซื้อกันจนช้อนหักหมดแล้วมั้ง ช้อนปุ๊บ ดิ่งลงเหวปั๊บ มัวกลัวพวกแก็งค์ตีสาม เจอแก็งค์หกโมงเช้าเข้าไปร้องกันเหมือนหมา" คำพูดของพัทธดนย์ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาราวเป็นเรื่องตลก ทั้งที่ความจริงมันมีคราบน้ำตาซ่อนอยู่ โลกของการลงทุนแสนโหดร้าย ถึงคราวเจ็บก็เจ็บจริงเพราะเงินในพอร์ตที่ลดฮวบ "ไม่ขายไม่ขาดทุน ท่องไว้" นาวินหันมาหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนพัทธดนย์จะคลี่ยิ้มให้เจ้าของบ้าน แล้วหันไปมองเปมนีย์ "ว่าแต่บ้านนายมีอะไรกินมั่ง ตอนนี้มีคนหิวข้าวจนตาลายหมดแล้ว" เปมนีย์แอบหยิกเบา ๆ ที่ท่อนแขนแกร่ง รู้สึกว่า ผู้ชายที่หล่อนมาด้วยไม่มีมารยาทเอาเสียเลย "พี่แสน ทำตัวน่าเกลียด มาถึงก็ขอข้าวกินเลยเหรอ" "ก็เธอบ่นหิวไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องอายหรอกเรื่องแค่นี้" "ใครจะหน้าด้านเหมือนพี่แสนล่ะ" "อย่างน้อยก็ด้านจนได้..." "พี่แสน! หยุดเลย" เปมนีย์ถลึงตามองคนที่ยิ้มซ่อนเล่ห์ เพราะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แดนดินหัวเราะออกมาเบา ๆ ที่เห็นสองคนกระซิบเถียงกัน แววตาเข้มมองเปมนีย์ที่ยืนทำหน้าแปลก ๆ "เข้าบ้านกันเถอะลูกปลา ไป ๆ เข้าไปหาอะไรทำกินกันเลย ข้าวมีแล้ว แต่กับข้าวต้องทำเพิ่ม" เจ้าบ้านทำท่าเดินนำทุกคนไป ทั้งสามคนเดินตาม ทั้งนาวินและพัทธดนย์มองไปที่ลำธารอีกครั้ง แต่ไม่พบร่างของหญิงสาวแปลกหน้าเสียแล้ว ไม่รู้ว่าหล่อนไปแอบอยู่ตรงไหน ด้วยความสงสัย พัทธดนย์จึงแกล้งถาม "เออไอ้ช้าง ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นใครวะ" "คนไหน?" แดนดินแสร้งทำงง ขณะเปิดตู้เย็นเพื่อรื้อหาวัตุดิบมาทำอาหาร "ก็คนสวย ๆ ที่นั่งอยู่ริมลำธารนั่นไง เธอไปไหนซะล่ะ ทำไมไม่พามาให้พวกฉันรู้จัก เป็นนางไม้หรือไงถึงแวบไปแวบมา" เจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจออกมา "พวกนายรู้จากไอ้ติณห์ใช่ไหม" พัทธดนย์และนาวินมองหน้ากัน ความเงียบคือคำตอบที่แดนดินรู้ได้เอง "ก็ตามที่ไอ้ติณห์เล่านั่นแหละ ฉันตกกระไดพลอยโจรน่ะ" "ฟังนะไอ้ช้าง ตอนนี้เพื่อนร่วมงานของฉันกำลังตามหาคนหายอยู่ มีพ่อแม่ของเธอแล้วก็น้องสาวบุญธรรม ใครจะไปรู้ โลกอาจกลมจนเราอึ้ง คนที่นายซ่อนไว้อาจเป็นคนเดียวกับที่ญาติ ๆ ของเธอกำลังหาตัวก็ได้" แดนดินมองหน้าพัทธดนย์ เขาผ่อนลมหายใจเพราะมันมีอะไรมากกว่าที่คิด เพราะฟังจากที่พลอยไพลินบอกเล่าจากลางสังหรณ์ของเธอ เหตุนี้เขาจึงชั่งใจเรื่องพาเธอไปเปิดเผยตัวต่อสังคม "กินข้าวก่อนเถอะแล้วค่อยคุยกัน มันซับซ้อนกว่าที่พวกนายรู้" แดนดินยื่นไข่ส่งมาให้เปมนีย์พลางหัวเราะ "ทอดไข่กินไปก่อนนะลูกปลา" "ได้ค่ะพี่ช้าง ง่ายดีด้วย" "ไอ้แสนไปผัดผักโชว์ฝีมือหน่อยซิ" เขายื่นถุงผักส่งให้แขกผู้มาเยือนเสียอย่างนั้น พัทธดนย์รับมาถือไว้แบบงง ๆ "สรุปคือหากินเองตามมีตามเกิดว่างั้น โห ไอ้เจ้าบ้านที่ดี" "ก็ใช่น่ะสิ" "นี่ถ้าลูกปลาไม่หิวนะ นายใช้ฉันไม่ได้แน่" พัทธดนย์เดินบ่นอุบหายเข้าไปในครัว จนนาวินต้องมองตามแล้วหัวเราะออกมา "คือ มึงใช้ท่านประธานทำกับข้าวให้แดกเลยเหรอไอ้ช้าง" "ต้องช่วยเหลือกันสิวะ เดี๋ยวกูจะไปทำน้ำแข็งรอ พวกมึงมาทีไรเปลืองเบียร์กูตลอด" แดนดินบ่นไปอย่างนั้นเอง เพราะนาน ๆ ทีจะได้เจอ กัน การสังสรรค์ช่วยให้คลายความคิดถึงไปได้บ้าง เขาเดินไปที่เครื่องทำน้ำแข็งเพื่อปั้นน้ำเป็นตัว ซึ่งใช้เวลาไม่นานใน การทำแต่ละรอบ ในครัวเล็ก ๆ เสียงคุยกระหนุงกระหนิงดังแว่ว จากการที่เปมนีย์มาทอดไข่ และพัทธดนย์ต้องการผัดผัก "เธอทอดไข่เป็นเหรอลูกปลา พี่ไม่อยากกินไข่ชาโคลนะ ถ้าออกมาแบบนั้นอายเขาแย่" ชายหนุ่มยืนมองหล่อนใส่เครื่องปรุง เห็นหล่อนเหยาะน้ำปลาแล้วต้องรีบยื่นมือไปเบรกเอาไว้ "พอแล้ว ๆ แม่คุณ เดี๋ยวก็ได้ตัดไตทิ้งกันพอดี" "ลูกปลาว่ามันยังเค็มไม่พอนะคะ" "พอแล้ว เชื่อพี่ เดี๋ยวเค็มเกินไปแก้ไม่ได้" "ลูกปลาลืมไป ว่าพี่แสนน่ะปรมาจารย์ด้านการทอดไข่" "มันแน่อยู่แล้ว เพราะไม่มีเมียทำกับข้าวให้กิน เลยต้องช่วยตัวเอง ก็ไม่รู้ว่า...จะมีคนทำกับข้าวให้กินตอนไหน" เขามองสบตากลับมาอย่างมีความหมาย แววตาสองคู่สบประสานท่ามกลางสายลมเย็นสดชื่นที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างห้องครัว สายตาชวนให้ใจไหวหวั่นจนเปมนีย์ต้องเป็นฝ่ายหลุบตาหนี มือที่ตีไข่ในชามผสมสั่นเพราะความประหม่าจากถ้อยคำของเขา "อยู่กับพี่ต้องทอดไข่ผ่านนะ ถ้าทำไม่เป็นเดี๋ยวตีมือเลย" "ใครบอกคะว่าจะไปอยู่กับพี่แสน เราเคยคุยกันแล้วว่าให้ลืมเรื่องนั้นไปซะ" เปมนีย์เปิดแก๊สแล้วเทน้ำมันใส่กระทะ ขณะที่ พัทธดนย์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบกระซาบ "หยิ่งยโส จองหอง แล้วสรุปเมนส์เธอมาหรือยัง" ใช่แล้ว...หล่อนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หากพัทธดนย์ไม่ถามหล่อนก็คงจะไม่เอะใจ ความเงียบทำให้พัทธดนย์ต้องถามซ้ำ "สรุปมาหรือยัง" "ยัง...ยังไม่มาค่ะ" "งั้นก็กลืนคำพูดไปซะ เรื่องที่จะให้พี่ลืม ๆ มันไปน่ะ ถ้าเธอท้องขึ้นมาจริง ๆ เราก็ต้องแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด" "สมัยนี้แม่เลี้ยงเดี่ยวเยอะแยะ ถ้าพลาดท้องขึ้นมาจริง ๆ พี่แสนไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้ เพราะเราต่างเมาด้วยกันทั้งคู่ อย่าเอาอนาคตตัวเองมาทิ้งกับลูกปลาเลยค่ะ" "ลูกเธอเกิดจากกระบอกไม้ไผ่หรือไงฮึ! ทำตัวอนาถาเหมือนโดนผัวทิ้งไปได้...น้ำมันร้อนแล้ว ควันลุกจนจะไหม้บ้านไอ้ช้างแล้ว เดี๋ยวป่าไม้ก็แห่กันมาหรอก นึกว่าใครเผาป่าเพื่อหาเห็ด" ทั้งสองเลิกเถียงกันแล้วพากันหัวเราะ เปมนีย์รีบเทไข่ลงกระทะ เพียงเนื้อไข่โดนน้ำมันที่ร้อนระอุ กลิ่นหอมก็ลอยคลุ้งห้องครัวชวนให้หิวมากขึ้น "อย่าให้ไหม้นะ เดี๋ยวไอ้วินหัวเราะตายเลย" "ค่า รับทราบค่ะเจ้านายขา" พัทธดนย์หันไปจัดการกับผักคะน้า ในครัวมีปลากระป๋องตุนไว้เพียบ แค่นำมาเปิดใส่ไปในผัดคะน้า ก็ได้จานด่วนแบบง่าย ๆ แก้หิวไปหนึ่งมื้อ ทั้งสองช่วยกันทำกับข้าวอยู่ในครัว ต่างไม่รู้ตัวหรอกว่าความผูกพันกำลังเริ่มถักทอขึ้นทีละน้อย สัมพันธ์รักลึกซึ้งทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แม้จะเป็นสัมพันธ์แค่ชั่วคืนก็ตาม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD