ฉันเดินรั้งท้ายเข้ามาในร้านอาหารของป้าจันทร์ที่เชนพูดถึงหลังจากจอดรถทิ้งไว้ที่ลานจอดหน้าร้าน ที่นี่ตกแต่งแปลกตาเพราะใช้ซุ้มไม้เพิงหลังคาสานจากใบจาก ฉันมองไปรอบๆไม่เห็นเก้าอี้มีแต่โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงจากพื้นราวครึ่งเมตรวางเรียงกันราวแปดโต๊ะ มีเบาะรองนั่งเสริมพนักพิงวางรอบขันโตกบนโต๊ะแต่ละโต๊ะ โชคดีที่คนพึ่งลุกออกจากโต๊ะมุมในสุดของร้าน เชนกับน๊อตจึงเดินนำพวกเราเข้าไปนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง ไม่นานป้าเจ้าของร้านก็เดินเข้ามาหาพวกเรา เธอใส่เสื้อแขนยาวสีขาวนุ่งผ้าซิ่นสีเขียวอ่อน ผมรวบเป็นมวยเสียบด้วยปิ่นปักผมไม้แกะสลักดูสะอาดสะอ้าน เธอกล่าวทักทายด้วยภาษากลางพลางเก็บโต๊ะทำความสะอาด
“อ้าว กลับมาเยี่ยมบ้านวันหยุดกันหรือ”
“ครับป้าจันทร์ ผมต้องมาร่วมงานพิธีส่งตัวผู้วายชนม์” เชนตอบรับทำให้เธอนึกขึ้นได้
“อ้อ ถึงเวลาของคุณทวดเธอแล้วสินะ” เธอพยักหน้ารับรู้แล้วจึงหันไปถามน๊อต “แล้วพ่อเธออาการเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนเดิมครับ ไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่แย่ลง”
“โชคดีที่มีเธอคอยดูแล ขอให้หายไวๆแล้วกันนะ” เธอกล่าวพลางหันไปทักทายแดนต่อ “พ่อเธอเป็นผู้นำชุมชนแล้วสินะ”
“ครับ ช่วงนี้พ่อไม่อยู่เพราะต้องเข้าไปประชุมกับหน่วยงานราชการที่นอกเมือง แต่ผมรู้จักคุณลุงที่รักษาการแทนอยู่นะครับ ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกผ่านผมได้”
“แบบนั้นก็ดีนะ ช่วงนี้มีข่าวคนหายบ่อยๆ พ่อเธอพอจะช่วยได้บ้างมั้ยล่ะ” ป้าจันทร์ยิ้มน้อยๆ
แดนยิ้มตอบก่อนจะกล่าวน้ำเสียงนิ่ง “พ่อไปประชุมเพราะเรื่องนั้นแหละครับ เรากำลังสืบข่าวอยู่เหมือนกัน”
“อ้อ…” ป้าจันทร์พยักหน้ารับรู้ “ว่าแต่เมื่อสองปีก่อนเรื่องภรรยาของคุณดำรงไม่เห็นมีแจ้งข่าวอะไรเลย สรุปว่าเป็นยังไงต่อล่ะ ได้พาตัวไปรักษามั้ย”
“เธอเสียชีวิตแล้วครับ” น๊อตแทรกขึ้น “คุณดำรงเป็นคุณอาของผม อาสะใภ้ชื่อคุณแนน เธอป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว หลังจากเกิดเรื่องเธอก็เสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวครับ”
ป้าจันทร์ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ “เสียใจด้วยนะ”
“ตอนนั้นเธอสร้างความเดือดร้อนให้ทุกคน ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“ช่วยไม่ได้นี่นา ก็เธอไม่สบายนี่” ป้าจันทร์กล่าวก่อนเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดและภาชนะต่างๆใส่ถาด “แล้วหนูสองคนมาจากกรุงเทพหรือ”
“ใช่ค่ะ เราพึ่งเคยมาเที่ยวกัน” อัยกล่าวตอบ “ได้ยินจากเพื่อนว่าร้านนี้ขายอาหารเหนือก็เลยอยากมาลองทานดู”
“งั้นพวกเธอก็ช่วยแนะนำเมนูที่คนกรุงเทพกินได้หน่อยสิ” ป้าจันทร์หันไปพูดกับเชนที่กำลังดูเมนูอยู่
“ขอเป็นแกงขนุน ไข่ป่าม ผัดผักกูดน้ำมันหอย แล้วก็ไส้อั่วนะครับ”
“แล้วก็ข้าวสวยห้าจานครับ” แดนกล่าวเสริม
คล้อยหลังป้าจันทร์พวกเราก็นั่งพิงพนักกันในท่าผ่อนคลาย ฉันยังคงสงสัยเรื่องอาสะใภ้ของน๊อตแต่ชั่งใจไม่กล้าถาม เชนมองฉันอย่างรู้ทัน “อยากรู้เรื่องเมื่อสองปีก่อนหรือ”
“ก็พวกนายทำตัวมีความลับเยอะ เดี๋ยวเรื่องตอนเด็ก เดี๋ยวเรื่องสองปีก่อน ช่วยเล่าซักเรื่องได้มั้ย”
น๊อตนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “ฉันว่าพวกเธอน่าจะเคยได้ยินข่าวฆาตกรต่อเนื่อง ที่ฆาตกรควักหัวใจคนออกมาแบบสดๆ”
“ข่าวนั้นดังมากเลยนะ แต่เขาปิดชื่อสถานที่ ตอนแรกเห็นลงว่าเป็นฝีมือสัตว์นี่” อัยแทรกขึ้น ฉันจำได้ว่าฉันเคยเห็นข่าวที่ว่าอยู่เหมือนกัน แต่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเลยไม่ได้สนใจ
“ใช่ เพราะไม่มีใครคิดว่าจะมีคนใช้มือควักหัวใจคนออกมาได้น่ะสิ” แดนเล่าเหมือนไม่อยากนึกถึง “แถมยังควักออกมาตอนที่คนยังมีชีวิตอยู่อีกต่างหาก”
ฉันกลืนน้ำลายไม่อยากเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง “แต่ในข่าวไม่ได้ลงรายละเอียดนี้นะ บอกแต่ว่ามีการควักหัวใจออกมา”
“ตามข่าวบอกว่าเกิดเหตุพบศพถูกควักหัวใจแทบจะปีละสามสี่ครั้งในเมืองชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้จนถึงเมื่อสองปีก่อนที่อยู่ๆคดีก็ปิดไปเงียบๆ”
“พ่อฉันกับพ่อของเชนไปขอร้องสื่อไม่ให้เปิดเผยเรื่องฆาตกรตัวจริงน่ะ เพราะคุณแนนเขาป่วยทางจิต” แดนกล่าวพลางมองดูป้าจันทร์ซึ่งกำลังวางเสริฟอาหารแต่ละจานบนโต๊ะ เริ่มจากเนื้อไข่ข้นสีเหลืองทองโรยด้วยต้นหอมและพริกซอยละเอียดในกระทงใบตองที่หอมกลิ่นย่างเตาถ่าน แกงขนุนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพรอย่างข่าและตะไคร้ ผัดผักหน้าตาไม่คุ้นตาสีเขียวที่ผัดรวมกับพริก หอมหัวใหญ่และกระเทียมซอยชิ้นเล็กๆ และไส้อั่วที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำวางบนใบตองที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม เชนเห็นกับข้าวแต่ละจานก็ได้แต่บ่นพึมพำเบาๆ “ทำไมต้องคุยเรื่องนี้ก่อนเวลาอาหารด้วย”
“อาสะใภ้เขาป่วยเป็นโรคหัวใจ ที่จริงทุกคนคิดว่าเธอตายไปแล้วตั้งแต่สิบปีก่อน แต่อยู่ๆเธอก็ปรากฏตัวขึ้นกลางงานพิธีส่งตัวผู้วายชนม์เมื่อสองปีก่อนในสภาพเสียสติ เธอฆ่าคนโดยควักหัวใจกินทั้งเป็นต่อหน้าคนที่มาร่วมงานพิธีทำให้คนแตกตื่นกันหมด พ่อฉันคือคนที่เข้าไปหยุดเธอเอาไว้แต่ก็ทำให้อาการบาดเจ็บจากเมื่อสิบปีก่อนทรุดหนัก”
“พ่อนายฆ่าเธอหรือ” ฉันเผลอหลุดปากถามก่อนจะนึกได้ว่าเสียมารยาท “ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ฉันไม่ควรถามเลย”
“พ่อของฉันใช้วิธีแบบหมอธรรมหยุดเธอ แต่พูดไปมันก็ฟังดูแฟนตาซีล่ะนะ แม้แต่ฉันยังไม่อยากเชื่อเลย”
“หลังจากนั้นคุณแนนก็ฆ่าตัวตาย” เชนเล่าต่อ “คุณอาดำรงเป็นคนนำศพของเธอไปทำพิธีฝัง ชาวเมืองคัดค้านไม่ให้ฝังในสุสาน คุณอาเลยนำศพเธอไปฝังในป่าช้า”
“งั้นตอนนี้อาของนายก็รับหน้าที่แทนพ่อของนายน่ะสิ” อัยถามอย่างสงสัยซึ่งน๊อตพยักหน้า
“หลังจากนั้นพ่อก็ป่วยติดเตียง ส่วนใหญ่จะหลับแทบทุกวัน คุณอาเลยต้องรับตำแหน่งหมอธรรมต่อ”
“แล้วชาวเมืองไม่คัดค้านหรือ ภรรยาของเขาก่อเหตุแบบนี้ เป็นไปได้ว่าเขาก็มีส่วนรู้เห็นหรือเปล่า”
“ไม่มีใครสงสัยเรื่องนั้นหรอกเพราะคุณอานั่นแหละที่มีส่วนช่วยทำให้คุณแนนฆ่าตัวตาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ชาวเมืองยิ่งนับถือตระกูลของน๊อตในฐานะหมอธรรม”
“จริงอยู่ที่อาปิดบังเรื่องที่แอบช่วยอาแนนไว้เมื่อสิบปีก่อนและปกปิดเรื่องที่อาแนนยังไม่ตาย แต่เขาไม่รู้เรื่องที่เธอออกมาฆ่าคนแน่ๆ” น๊อตกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สลดลงเล็กน้อย ไม่นานสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อเห็นกับข้าวที่วางตรงหน้า “ฉันว่าเรากินข้าวกันได้แล้ว กับข้าวจะเย็นหมดแล้วเนี่ย”
ฉันแอบหมดความอยากอาหารแต่เมื่อลองตักเนื้อไข่ป่ามเข้าปาก ความรู้สึกไม่อยากอาหารก็หายไปหมด “อร่อยมากเลย ได้กลิ่นหอมๆของใบตองย่างเตาถ่านด้วย”
“ใช่มั้ยล่ะ ฉันก็ชอบอาหารฝีมือป้าจันทร์ ถึงตอนแรกจะไม่คุ้นแต่พอได้กินกลับติดใจ” เชนยิ้มกว้างซึ่งทุกคนก็มีความสุขกับการทานอาหารต่อบ่งบอกว่ามีความคิดแบบเดียวกัน
หลังทานอาหารเสร็จทุกคนก็มาขึ้นรถเพื่อเตรียมไปต่อยังสถานที่ถัดไป เชนนั่งนึกครู่หนึ่งก็หันไปถามน๊อตซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังสุด “น๊อต ใกล้ๆบ้านนายมีศาลเจ้าหุ่นพยนต์อยู่นี่ เราไปเที่ยวที่นั่นกันมั้ย”
น๊อตดูนาฬิกา “ตอนนี้บ่ายสอง ศาลเจ้าหุ่นพยนต์เปิดให้คนนอกเข้าจนถึงห้าโมงเย็น ขับรถไปใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ถ้าไม่ได้จะสำรวจให้ทั่วก็ทันอยู่นะ”
“มีศาลเจ้าหุ่นพยนต์ด้วยหรือ” ฉันถามขึ้นอย่างสงสัย “เป็นวัดแบบพุทธหรือเปล่า”
“ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นศาลเจ้าตามความเชื่อเรื่องหุ่นพยนต์ของเมืองอัณยาน่ะ” เชนตอบก่อนจะให้แดนหยิบแผ่นพับในที่เก็บของหน้ารถส่งให้ฉันพลางขับรถออกจากลานจอด “ลองอ่านประวัติคร่าวๆดูสิ”