ฉันรีบเดินนำเชนกับน๊อตมาเปิดประตูขึ้นไปนั่งในรถอย่างเรียบร้อย ทั้งคู่ยืนงงก่อนจะตามมาขึ้นรถแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ เชนขับรถออกมาจากสุสานเพื่อมุ่งตรงไปยังสะพานแขวนก่อนจะถามฉันอย่างข้องใจ “ทำไมรีบวิ่งออกมาล่ะ”
“เกิดกลัวขึ้นมาล่ะสิ บอกแล้วว่าอย่าเข้าไปใกล้มาก” อัยได้ทีรีบกล่าวเสริม
ถึงฉันจะรู้ว่าล้อเล่นแต่ก็แอบขำไม่ออกเหมือนกัน “พออยู่นานๆแล้วมันหลอนขึ้นมาน่ะ”
“เอาเหอะ เดี๋ยวไปเที่ยวน้ำตกก็น่าจะอารมณ์ดีขึ้นนะ”
คำพูดของอัยทำให้ฉันนึกถึงเรื่องป่าช้าขึ้นมาแต่ไม่อยากทำลายบรรยากาศจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ “น่าจะช่วยได้มากเลย”
เชนขับรถเข้ามาจอดบริเวณลานจอดรถซึ่งห่างจากทางขึ้นเขาไปยังสะพานแขวนราวห้าร้อยเมตร เมื่อขึ้นไปถึงบนหน้าผาก็จะได้เห็นคานเหล็กสี่เหลี่ยมทรงสูงซึ่งเป็นตัวยึดสะพานแขวนและเหมือนเป็นประตูทางเข้าสะพานด้วย สะพานแขวนที่นี่ทำจากไม้ขึงไว้ด้วยเชือกและลวดเส้นหนาที่คาดกันเป็นแนวยาวและแนวตั้ง แม้จะดูไม่แข็งแรงเท่าไรนักแต่เมื่อก้าวเท้าไปบนสะพานมันกลับไม่แกว่งหรือสั่นไปมาอย่างที่คิด เชนก้าวนำไปก่อนโดยมีฉันเดินตามไปติดๆ ส่วนน๊อตเดินตามหลังฉันมา แดนกับอัยอยู่รั้งท้ายและคล้ายกับว่าพวกเขาหลุดเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวแค่สองคน พวกเราเลยไม่อยากไปรบกวน
สายลมเย็นเยียบพัดพาเอาเสียงของน้ำตกและละอองน้ำผ่านร่างของพวกเราไปเบาๆ ถ้ามองลงไปจากสะพานจะเห็นธารน้ำตกสีเขียวอมฟ้าซึ่งผิวน้ำถูกตีเป็นคลื่นไหลเอื่อยๆจากบริเวณน้ำตกอีกฝั่งหนึ่งผ่านใต้สะพานไปบรรจบกับแม่น้ำใหญ่ที่อีกฟากหนึ่ง แม้ว่าวิวจะสวยแต่กว่าจะก้าวขาไปได้แต่ละก้าวก็ต้องรวบรวมความกล้าไม่ใช่น้อยเพราะหน้าสะพานแคบจนมองเห็นเท้าของฉันควบคู่ไปกับวิวสูงเบื้องล่าง
บางจังหวะฉันก็อดไม่ได้ที่จะนั่งลงไปบนสะพานเพราะเริ่มก้าวต่อไม่ไหวแต่ก็ไม่กล้าไปลงนั่งที่ขอบสะพานจนกระทั่งมองเห็นคานเหล็กที่อีกฟากหนึ่งของสะพานแขวน เชนเดินนำหน้าฉันไปก่อน และทันทีที่ฉันตามเชนทันฉันก็ถามเขา “บอกมาซะดีๆว่าป่าช้าที่นายพูดถึง อยู่แถวนี้หรือเปล่า”
“รู้ทันหรือเนี่ย” เชนยิ้มกว้าง “ก็ว่าจะไม่บอกแล้วเชียว ในเมื่อรู้แล้วก็ช่วยไม่ได้”
“อย่าบอกอัยแล้วกัน รายนั้นไม่ยอมไปต่อแน่” น๊อตกล่าวพลางมองดูคู่หนุ่มสาวที่กำลังมีช่วงเวลาส่วนตัวกันข้างหลังก่อนจะมองหน้าเชน “นายไปกับเอรินแล้วกัน ฉันจะอยู่รอพาพวกนั้นไปทางอื่น”
“แบบนั้นนายไม่เบื่อแย่หรือ” ฉันถามเพราะรู้สึกว่าแดนกับอัยไม่ใส่ใจเพื่อนๆที่รออยู่ตรงนี้ซักเท่าไร
“ฉันเห็นสุสานจนเบื่อมากกว่ายืนรอตรงนี้เสียอีก”
เชนพยักหน้า “พ่อของน๊อตพาไปทำพิธีที่สุสานตั้งหลายหนแล้ว มีคนตายทีไรชาวเมืองก็เรียกหาหมอธรรมเนี่ย”
ฉันเห็นน๊อตไม่เถียงและไม่มีทีท่าว่าอยากไปจึงยอมรับการตัดสินใจของเขา “งั้นถ้านายไม่ว่าอะไร เราไปกันก่อนนะ”
น๊อตโบกมือเป็นนัยแทนคำตอบก่อนจะเดินไปนั่งบนก้อนหินก้อนใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสะพานแขวน เชนพาฉันเดินเข้าทางแยกที่นำไปสู่ทางขึ้นเขา ฉันคิดว่าทางแยกอีกทางเป็นทางลงไปสู่ชั้นน้ำตกเพราะได้ยินเสียงแรงน้ำตกกระทบดังมาจากที่ไกลๆ ทางขึ้นเขาค่อนข้างชันและมีจุดที่ดินชื้นทำให้พื้นลื่นอยู่บ้างแต่รองเท้าผ้าใบช่วยให้การเดินทางไม่ลำบากมากนัก เมื่อเดินขึ้นมาถึงบนหน้าผาจะมองเห็นลานว่างที่ทอดยาวไปยังป่าสีเขียวชอุ่มซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ สายลมเย็นทำให้บรรยากาศวังเวงขึ้นในทันใดเพราะนอกจากเสียงใบไม้เสียดสีกันแล้วก็แทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
“แถวนี้ไม่มีนกซักตัวเลยหรือ”
“นานๆจะมีนกแร้งบินมา แต่ไม่บ่อยหรอก”
“ไม่มีนกอย่างอื่นเลยหรือ”
“ที่นี่มีแต่ศพน่ะ เฉพาะช่วงที่ฝนตกหนักทำให้ดินร่วนศพที่ฝังไม่ดีก็จะโผล่พ้นดินขึ้นมา นกแร้งเลยบินมาจิกกินเป็นอาหาร ถ้าจะดูนกอย่างอื่น ไปดูที่ป่าอื่นหรือสวนของชาวบ้านน่าจะหาได้ง่ายกว่านะ”
“แสดงว่าภูเขาฝั่งนี้เป็นที่สำหรับฝังศพโดยเฉพาะเลยหรือ”
“ตั้งแต่โบราณมาก็เป็นแบบนั้น คนที่คุ้นเคยกับที่นี่มากที่สุดก็คือครอบครัวของน๊อต”
“เมืองนี้น่าสนใจกว่าที่คิดนะ…แล้วก็เริ่มน่ากลัวขึ้นมาแล้วสิ”
“กลัวเป็นแล้วสินะ” เชนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนเดินไปใกล้ขอบหน้าผาแล้วชี้ไปยังฝั่งขวาของหน้าผาซึ่งมองเห็นน้ำตกที่อยู่ห่างออกไป “ทางแยกเมื่อกี้ถ้าลงไปจะเจอน้ำตก แต่ข้างล่างหน้าผาที่เรายืนอยู่นี้…” เชนกัดฟันเหมือนไม่ค่อยอยากพูดต่อทำให้ฉันยิ่งอยากรู้อยากเห็น ฉันไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ขอบหน้าผาจึงพยายามชะโงกหน้าจากข้างหลังเชนแต่ก็มองไม่เห็น
“มีอะไรอยู่ข้างล่างหรือ”
“หน้าผานี้คือจุดสิ้นสุดของพิธีกรรมส่งตัวผู้วายชนม์ เป็นคฤหาสน์ของหุ่นพยนต์” ฉันนิ่งอึ้งรู้สึกเหมือนขนลุกขึ้นมาทันใด เชนมองดูเบื้องล่างของหน้าผาที่สูงจนมองไม่เห็นบึงน้ำก่อนเล่าต่อ “ภูเขานี้มีการขุดช่องอุโมงค์สร้างจำลองเป็นบ้าน หุ่นพยนต์คือหุ่นขี้ผึ้ง หน้าตาของหุ่นจึงเหมือนคนมาก ถ้าเธอได้เห็นของจริงอาจจะคิดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งก็ได้นะ”
ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าอยากเห็นของจริงมั้ย “เอาไว้เห็นพิธีก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ”
“ปกติเธอต้องตอบทันทีว่าอยากเห็นไม่ใช่หรือ” เชนหัวเราะ “แต่เสียใจด้วย เพราะคนที่มีสิทธิ์เข้าคฤหาสน์หุ่นพยนต์มีแค่คนในตระกูลของหมอธรรมเท่านั้น”
ฉันทั้งรู้สึกโล่งใจแต่ก็เสียดายในเวลาเดียวกัน “ไม่ได้เห็นก็ดีเหมือนกัน แล้วเรายืนอยู่บนบ้านของพวกเขาแบบนี้ไม่เป็นการลบหลู่ผู้ตายหรือ”
“ไม่หรอก บนเพดานของคฤหาสน์มีการลงคาถาตามพิธีกรรมที่เชื่อกันว่าเพื่อปิดผนึกคฤหาสน์หุ่นพยนต์จากภายนอก”
“เอาเป็นว่าเชื่อตามประเพณีไปก็พอ” ฉันกล่าวในขณะที่เชนหันมาเดินมุ่งตรงไปทางป่าช้า ฉันรีบคว้ามือเขาไว้
“อย่าพึ่งเข้าไป” เชนมองฉันอย่างสงสัย “ฉันว่าเราไม่ต้องเข้าไปหรอก นี่เลยเที่ยงแล้ว ไปหาข้าวกินกันเถอะ”
“เป็นอะไรไป ฉันคิดว่าเธอจะรีบเดินนำหน้าฉันเข้าไปดูเสียอีก”
“วันนี้ไม่ค่อยอยากลุยป่าช้าน่ะ” ฉันกล่าวพลางรีบเดินนำเชนกลับไปยังทางที่เราขึ้นมา เมื่อครู่นี้มีบางอย่างที่เชนซึ่งกำลังก้มหน้าไม่ทันสังเกตเห็นแต่ฉันมั่นใจว่าฉันเห็น เงาของคนในชุดขาววิ่งผ่านต้นไม้ในป่า ฉันมองไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคนหรือไม่ใช่คน เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายฉันจึงเลือกที่จะไม่เข้าไปในป่าช้า
เชนเดินถือโทรศัพท์แนบหู เขากำลังโทรหาน๊อตให้พาแดนกับอัยมาเจอกันที่สะพานแขวน ส่วนฉันยังมองไปข้างหลังเป็นระยะอย่างไม่วางใจ ไม่นานนักอีกฝ่ายก็รับสาย เชนจึงเปิดลำโพง
“พวกนายอยู่ไหนกัน”
“กำลังเดินมาที่สะพาน แล้วพวกนายล่ะ”
“เหมือนกัน ที่น้ำตกเป็นไงบ้าง”
“ก็เดิมๆแหละ แดนพาอัยไปถ่ายรูปทั่วเลยส่วนฉันนั่งรอบนก้อนหินจนจะหลับอีกรอบแล้วเนี่ย แล้วฝั่งสุสานล่ะเป็นไง”
“เอรินไม่ยอมเข้าไป บอกว่าอยากไปกินข้าวมากกว่า สงสัยกลัวเห็นภาพนกแร้งกินศพในป่าช้า”
“ฉันได้ยินนะ” ฉันพูดแทรกขึ้น “ฉันแค่หิวข้าว มีปัญหาหรือไงล่ะ”
“เออจะว่าไป กลางวันนี้พวกนายอยากกินอะไรกัน” เชนถามคู่สนทนาและหันมามองฉันเป็นเชิงต้องการคำตอบด้วย
“เมืองนี้มีอาหารพื้นเมืองอะไรน่าลองมั้ย” ฉันถามกลับไปทำให้เชนย่นคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิด ไม่นานเสียงน๊อตก็ดังตอบกลับมาจากลำโพงโทรศัพท์
“ไม่ถึงขนาดเป็นอาหารพื้นเมือง แต่ถ้าเป็นอาหารแปลกก็พอจะนึกออกอยู่ร้านนึง”
“แปลกแบบไหนหรือ”
“เจ้าของเป็นคนเหนือ อาจจะเป็นอาหารของทางเหนือล่ะมั้ง” เชนกล่าวตอบแทนน๊อตทำให้ฉันหรี่ตามองเขา
“ตอบแบบไร้ความรับผิดชอบมาก แต่ฉันโหวตหนึ่งเสียงแล้วกัน”
ไม่นานเสียงของแดนและอัยก็ดังขึ้น “พวกฉันเอาด้วย อยากลองรสชาติอาหารแบบใหม่ๆดูบ้าง”
“งั้นเราไปกินข้าวร้านป้าจันทร์กัน” เชนสรุปพลางกดวางโทรศัพท์เมื่อเดินมาถึงสะพานแขวนซึ่งพวกน๊อตมายืนรอกันอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเราจึงข้ามสะพานเพื่อขึ้นรถขับลงเขาไป