ใจลวงรัก : 7

1404 Words
"บ้านหลังนั้นไม่ได้เด็ดขาด!" พจนินไม่มีทางยอมขายบ้านที่สามีสร้างขึ้นมาแน่นอน เพราะบ้านหลังนั้นมีความทรงจำของอัยญดากับพ่อแม่ที่แท้จริงของเธออยู่ "งั้นก็คงเป็นโรงแรมประมาณ 3-4 ที่ น่าจะพอค้ำได้ครับ" ถึงขั้นต้องใช้โรงแรมที่สามีสร้างมาเองกับมือค้ำประกันเลยเหรอ นี่เธอทำไมถึงได้เกิดมาโง่ในด้านการทำธุรกิจแบบนี้ด้วยนะ ถ้าคุณศรรับรู้หรือมองเห็น เขาคงผิดหวังที่คนเป็นภรรยาอย่างเธอแก้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้จนต้องใช้โรงแรมเขาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันแบบนี้ "หรือไม่ก็..." องอาจยังชี้แนวทางไปเรื่อย ๆ พจนินรีบมองหน้าเขาอย่างมีความหวัง "ผมพอจะรู้จักนายทุนดี ๆ ดอกเบี้ยไม่ขูดเนื้อ ถ้าเป็นถึงนายหญิงของอัยอินเตอร์ไปขอกู้ ผมว่าเราน่าจะปลดหนี้สองร้อยล้านนี้ได้" พจนินคิดตามสิ่งที่องอาจบอกเงียบ ๆ ในใจ กู้หนี้เพื่อมาใช้หนี้ ยังไงบริษัทนี้ก็ไม่พ้นคำว่าหนี้อยู่ดี หรือว่าเธอจะตัดปัญหาด้วยการใช้โรงแรมสามสี่แห่งเข้าเป็นหลักค้ำประกันไว้ก่อนดีนะ จะได้สบายใจที่ใช้หนี้แค่ทางเดียว "ฝากคุณองอาจช่วยเลือกโรงแรมมาสามสี่ที่แล้วประมูลเป็นราคาออกมาดูว่าพอจะใช้เป็นหลักค้ำเงินสองร้อยล้านนี้ได้ไหม" "ส่วนคุณนุ่ม จ่ายค่าแรงพนักงานตามปกติได้เลย เอาเป็นว่าวันนี้เราปิดประชุมกันตามนี้นะ" ทุกคนในห้องประชุมต่างพยักหน้าและไหว้ลารองประธานใหญ่ในที่ประชุมแล้วพากันเดินออกจากห้องเพื่อกลับไปทำหน้าที่ตัวเองต่อ "แฟนฉันโทรมาบอกให้รีบลาออกจากที่นี่ว่ะแก" "ทำไมอะ?" "นี่แกไม่เห็นข่าวเหรอที่บอกว่าท่านประธานเกี่ยวพันกับยาเสพติดจนถูกตำรวจวิสามัญน่ะ!" "เออ ได้ยินเหมือนกัน นี่พวกเราจะโดนตำรวจตรวจสอบไปด้วยไหมอะ" "ฉันว่าพวกเรารีบหางานสำรองไว้ดีกว่าว่ะ ดีไม่ดี บริษัทนี้อาจจะถูกตำรวจยึดทรัพย์ก็ได้นะเว้ย" "เออ ๆ ถ้าแกมีงานดี ๆ ก็อย่าลืมสะกิดกันด้วยล่ะ" พนักงานสี่ห้าคนที่เดินผ่านห้องประชุมที่ถูกแง้มไว้ต่างพากันนินทาลับหลังเกี่ยวกับการจากไปของประธานบริษัทจากข่าวลืออย่างสนุกปาก โดยที่พวกเธอไม่รู้เลยว่า ภรรยาของประธานพวกเธอได้ยินทุกอย่างที่ลูกน้องพากันนินทาเจ้านายอยู่หลังประตูห้องประชุมแห่งนี้ "นี่มันเคราะห์กรรมอะไรของครอบครัวจิตตานิกรกันนะ" พจนินได้แต่กุมอกด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบาย สามีเธอมือขาวสะอาดมาโดยตลอด ทำไมถึงได้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านแม้แต่พนักงานที่ตนเองเลี้ยงไว้ยังไม่เว้น ตำรวจที่ไล่จับผู้ต้องหาค้ายาเสพติดก็เงียบไม่เห็นออกมาแถลงข่าวให้ความเป็นธรรมครอบครัวเธอเลยว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ร้ายกลุ่มนั้น แบบนี้ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ความรู้เรื่องกฏหมายก็ไม่ค่อยมีจะเอากำลังอะไรไปสู้กับข่าวเสียหายพวกนั้นของสามีเธอ ตอนนี้พจนินห่วงแค่ความรู้สึกของอัยญดา ลูกสาวแท้ ๆ ของศรศิลป์เท่านั้นแหละ ไม่รู้ถ้าหากเธอไปเรียน เพื่อน ๆ ร่วมสถาบันจะมองเธอแบบไหน หนูอัยญ์รักพ่อมาก พจนินกลัวเหลือเกินว่าเธอจะทนคำนินทาว่าร้ายพ่อเธอไม่ไหวจนเผลอทำอะไรขาดสติไป ครืด ครืด มือถือในกระเป๋าสะพายแบรนด์ดังสั่นขึ้น ครั้นเธอหยิบขึ้นมาดูถึงเห็นว่าเป็นคุณหญิงอุ่นทิพย์ที่เป็นเพื่อนบ้านครอบครัวจิตตานิกรโทรเข้ามา "สวัสดีค่ะคุณหญิง" พจนินมักจะเรียกอุ่นทิพย์ว่าคุณหญิงเสมอเพื่อเป็นการให้เกียรติ ถึงแม้เธอจะแต่งงานกับศรศิลป์และมีฐานะทัดเทียมกับอุ่นทิพย์แต่พจนินรู้กำพืดตัวเองดีว่ามาจากที่ไหนและตัวเองเป็นเพียงเมียคนที่สองของศรศิลป์เท่านั้น [คุณนินอยู่ไหนเหรอคะ?] อุ่นทิพย์ไม่เคยรังเกียจพจนินเกี่ยวกับฐานะ กลับกันเธอรู้สึกว่าศรศิลป์ช่างตาถึงที่เลือกผู้หญิงคนนี้มาเป็นแม่อีกคนให้อัยญาดา "ดิฉันอยู่บริษัทค่ะ แต่กำลังจะกลับแล้ว" พจนินมองนาฬิกาข้อมือเห็นเวลาล่วงมาเกือบบ่ายสามแล้ว นี่เธอใช้เวลาประชุมนานขนาดนี้เชียวเหรอ จำได้ว่ากินไปแค่ข้าวเช้าไม่กี่คำ ถึงว่าตอนนี้รู้สึกวิ้ง ๆ ที่หัวตาลาย ๆ คงเพราะหิวนี่เอง [พี่อยู่แถวบริษัทคุณนินพอดี เดี๋ยวเข้าไปรับไปทานข้าวด้วยกันนะคะ] อุ่นทิพย์รู้ดีว่าตอนนี้จิตใจพจนินคงบอบช้ำอยู่ เรื่องข้าวปลาอาจจะกินไม่เป็นเวลาทำให้เธอตัดสินใจชวนเพื่อนบ้านไปหาอะไรทาน "นินเกรงใจคุณหญิงค่ะ" พจนินรู้สึกแบบนี้จริง ๆ [เกรงใจอะไรกันคะ ถ้างั้น เดี๋ยวเราซื้อของไปทำกินที่บ้านพี่แทนดีไหม จะได้เรียกหนูอัยญ์มาทานด้วยกัน] ความคิดนี้เข้าท่า พจนินอยากทำอะไรให้หนูอัยญ์ผ่อนคลายจากความทุกข์โศกนี้เร็ว ๆ การได้ร่วมรับประทานอาหารพร้อมกันหลาย ๆ คน อาจจะทำให้หนูอัยญ์ลืมความทุกข์นั้นไปได้เปราะหนึ่ง "เอางั้นก็ได้ค่ะ คุณหญิงใกล้ถึงหรือยังคะ เดี๋ยวนินลงไปรอที่หน้าบริษัทเลย" [ถึงพอดีค่ะ คุณนินลงมาได้เลย] อะไรจะไวปานนั้น พจนินคิดในใจ ก่อนจะรีบสาวเท้ายาว ๆ ไปที่ลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหาร กดเลขหนึ่งเพื่อลงชั้นล่างสุดทันที [End part] ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน พอลืมตาอีกทีตอนนี้แสงแดดเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้มเรียบร้อยแล้ว "อืม" ครั้นลุกขึ้นนั่งกลับรู้สึกหนักหัวจนต้องรีบยกมือกุมขมับ นวด ๆ ให้เส้นเลือดแถวนั้นคลายตัว "อาบน้ำอุ่นแล้วกัน" แม้อากาศจะร้อน แต่อาการของฉันตอนนี้ไม่เหมาะที่จะแตะน้ำเย็นหรือแม้แต่อุณหภูมิปกติ ต้องน้ำอุ่นเท่านั้นแหละถึงจะผ่อนคลาย ใช้เวลาแช่น้ำอุ่นยี่สิบนาที รู้สึกร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากกว่าตอนตื่นแรก ๆ ก๊อก ก๊อก เสียงประตูหน้าห้องนอนดังขึ้น คงเป็นคนใช้หรือไม่ก็แม่นิน "หนูอัยญ์ไม่ได้ล็อกค่ะ" ตะโกนบอกบุคคลด้านนอกทันที แอ้ดดดด ประตูห้องนอนถูกเปิดเข้ามา เป็นแม่เลี้ยงคนสวยฉันเอง "กลับมาแล้วเหรอคะ?" ฉันทักทายด้วยรอยยิ้ม "สักพักแล้วค่ะ น้องอัยญ์เพิ่งตื่นเหรอจ๊ะเนี่ย" แม่นินเดินมาแย่งผ้าขนหนูผืนเล็กที่ฉันใช้ซับผมยาวกลางแผ่นหลังไปถือ ก่อนจะดันฉันให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง มือเรียวของหญิงวัยกลางคนค่อย ๆ ขยับผ้าขนหนูในมือซับน้ำบนเส้นผมฉันอย่างแผ่วเบา "แม่นินดูสีหน้าเครียด ๆ นะคะ" ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้ใคร ๆ ก็ต้องมีใบหน้าเศร้าสร้อยกันทั้งนั้นกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่ฉันเห็นแววตาแม่นินที่เหมือนแบกอะไรที่หนักอึ้งไว้อยู่คนเดียวฉายชัดออกมานี่สิ "แม่ไม่เป็นไรค่ะ น้องอัยญ์หิวหรือยัง วันนี้เรามีปาร์ตี้กลางแจ้งที่บ้านคุณหญิงกัน" คุณหญิงที่แม่นินพูดถึงคือป้าอุ่นทิพย์ เพื่อนบ้านที่ครอบครัวเราสองคนสนิทกันตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว "ปาร์ตี้ที่บ้านป้าอุ่น?" ฉันทวนสิ่งที่ได้ยินอีกครั้ง วันนี้วันเสาร์ แสดงว่าที่บ้านป้าอุ่นก็จะมีสมาชิกอีกคนอยู่ด้วยเพราะทุกวันเสาร์เขาคนนั้นจะแวะมาที่บ้านแล้วออกอีกทีในบ่ายของวันอาทิตย์ "เสร็จแล้วจ้ะ" เสียงแม่นินดึงฉันกลับมาอยู่ที่เดิม "ไปกันเลยไหม แม่ทิ้งคุณหญิงให้ดูเตาปิ้งย่างคนเดียว" ฉันพยักหน้ายิ้ม ๆ ให้แม่นิน ก่อนจะเดินสวมกอดท่านออกมาจากห้อง มุ่งไปยังจุดหมายปลายทางคือคฤหาสน์อีกหลังที่ใช้รั้วเดียวกันขวางกั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD