บ้านเดชน์บูรพา
ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในบ้านของป้าอุ่น สายตาฉันเอาแต่มองหาใครบางคน คนที่สั่นคลอนหัวใจฉันไม่ว่าเขาจะทำตัวเย็นชาหรือแม้แต่หน้าก็ไม่เคยคิดจะมองกัน
"หนูอัยญ์ มากินปลาหมึกย่างมาลูกมา" ทันทีที่ป้าอุ่นเจ้าของบ้านหลังใหญ่เห็นฉันเดินตามหลังแม่นินมา ท่านก็รีบกวักมือเรียกพร้อมรอยยิ้มที่สวยหวานส่งมาให้
"มีอะไรให้หนูอัยญ์ช่วยไหมคะ" ฉันยิ้มทักทายเจ้าของบ้านก่อนจะเดินไปด้อม ๆ มอง ๆ แถวเตาปิ้งย่างว่าเหลือหน้าที่อะไรให้แขกอย่างฉันทำบ้าง
"ไม่ต้องเลยจ้ะ หนูอัยญ์ไปนั่งตรงนู้นเลยลูก ตรงนี้ควันมันเยอะ เดี๋ยวจะสำลักเอา" ป้าอุ่นยิ้มกว้าง ส่งสายตาให้แม่นินพาฉันเดินไปนั่งโต๊ะอีกตัวที่ตั้งอยู่ห่างเตาปิ้งยาวไม่กี่เมตร
"อ้ะ!" ฉันสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นใครอีกคนที่กำลังสวมเสื้อยืดกางเกงวอร์มออกกำลังกายขายาวสีดำวิ่งเหยาะ ๆ อยู่ในสวนย่อมเยื้องจากตรงที่พวกเราปาร์ตี้กันเล็กน้อย
"ตาลัค! มากินด้วยกันสิลูก" เสียงป้าอุ่นเอ่ยเรียกลูกชายท่าน ผู้ชายผมออกสีน้ำตาลแดงหยุดวิ่งแล้วกันมาหาแม่เขา ก่อนจะค่อย ๆ เดินอาด ๆ มาทางนี้
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ทุกจังหวะก้าวย่างของร่างสูงร้อยแปดสิบกว่าอยู่ในสายตาฉันหมด ใบหน้าหล่อคมเข้ม คิ้วดกดำ มีเหงื่อซึมประปรายยิ่งขับให้เขาดูหล่อร้ายแถมเซ็กซี่
"หนูอัยญ์จิ้มผิดแล้วค่ะลูก"
"อ๊ะ!" ฉันสะดุ้งเมื่อแม่นินสะกิดบอก
อา ปลาหมึกฉันลงไปอยู่ในน้ำจิ้มไก่ซะแล้ว
"หนูอัยญ์อยากลองเปลี่ยนรสชาติดูค่ะ" ตอบแก้เขินไปงั้น
นี่ฉันตกอยู่ในมนต์สะกดของร่างสูงโปร่งที่ดาเมจโจมตีหัวใจได้ขนาดนี้เชียวเหรอ "นู้น ไปนั่งตรงนู้นเลย คุณนินกับน้องอัยญ์นั่งรออยู่แล้ว" เสียงบอกกล่าวของป้าอุ่นที่บอกลูกชายเขาให้เดินมานั่งสมทบกับพวกเราทำเอาหัวใจฉันเต้นถี่รัว
เฮียลัคกี้กำลังเดินมาทางนี้อย่างที่แม่เขาบอกจริง ๆ
"สวัสดีจ้ะตาลัค" แม่นินเอ่ยทักทาย
"สวัสดีครับ" คนถูกทักทายตอบกลับก่อนจะทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามฉัน
มือเรียวหนาหยิบกุ้งที่แกะเปลือกออกพร้อมทานจุ่มน้ำจิ้มแล้วยัดเข้าปาก
"สะ สวัสดีคะ เฮียลัคกี้" เสียงฉันสั่นเมื่อเอ่ยทักทายคนตัวโต
เฮียลัคกี้ที่ถูกฉันขัดจังหวะการกินเงยหน้ามองฉันเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วคล้ายคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ถาม
"อืม" แค่คำว่า 'อืม' ที่หลุดออกมาจากปากเขาแค่คำเดียวก็ทำหัวใจฉันพองโต
อย่างน้อยเขาก็ไม่ถามฉันว่า 'เธอเป็นใคร'
เหมือนตอนอยู่ที่คลับล่ะนะ
ตอนนี้บรรยากาศในโต๊ะเริ่มจะครึกครื้นเมื่อเรานั่งอยู่กันสี่คน ฉัน แม่นิน ป้าอุ่นทิพย์ และเฮียลัคกี้
"ตอนนี้หนูอัยญ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหมลูก" ป้าอุ่นถามสารทุกข์สุขดิบฉัน
"หนูอัยญ์พยายามที่จะเข้มแข็งเพื่อให้ป๊าภูมิใจค่ะ" ฉันมันคนอ่อนแอ แต่ฉันจะพยายามไม่ทำให้คนอื่นเป็นห่วง
"คุณศรเป็นคนดี เรื่องข่าวพวกนั้นหนูอย่าเก็บมาคิดมากนะลูก" เป็นอีกครั้งที่ป้าอุ่นปลอบใจ
ตอนนี้สิ่งที่บั่นทอนจิตใจฉันรองมาจากการสูญเสียพ่อคือข่าวที่ใส่ร้ายป๊าฉันนั่นแหละ ตอนนี้ฉันกับแม่นินยังไม่รู้จะทำยังไงให้ข่าวพวกนั้นเลิกโจมตีพ่อฉันและลุงจรัญสักที
คนที่จากไปแล้วพวกนักข่าวก็ไม่เว้นที่จะใส่สีตีไข่ลงข่าวเท็จหลอกลวงประชาชน ตอนนี้คงได้แต่รอทางรันรันที่พ่อของเธอรับปากว่าจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้พ่อฉัน
"หนูอัยญ์สงสารป๊า ทำไมคนดี ๆ แบบป๊าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้" สุดที่จะกักกั้นน้ำตา ฉันบอกแล้วว่าฉันมันอ่อนแอ จะทำตัวให้เข้มแข็งได้สักกี่น้ำกัน
"ขี้ปากคน แป๊บเดียวก็จางแล้ว" เสียงทุ้มของเฮียลัคกี้ดังขึ้น
ฉันไม่คิดว่าผู้ชายแบดบอย ปากร้ายแบบเขาจะให้กำลังใจคนอื่นเป็นด้วย
"ขอบคุณค่ะ" ฉันเอ่ยขอบคุณคำพูดนั้นมีช่วยให้ฉันเข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง
"ขอบคุณทำไม ฉันไม่ได้ปลอบใจเธอ"
อึก... เหมือนจะหน้าชาที่ถูกคนตัวโตตอกกลับมาแบบนั้น
เพียะ!!
เสียงป้าอุ่นตีต้นแขนกำยำลูกชายเพียงคนเดียวของท่านก่อนจะเอ็ดยกใหญ่
"ดูพูดจาเข้าสิตาลัค ใครสั่งใครสอนให้พูดกับคนที่กำลังเป็นทุกข์อยู่แบบนั้น"
"ผมทำไรผิดเนี่ย เฮ้อ! งั้นผมไปอาบน้ำดีกว่า วันนี้มีนัดกับพวกไอ้กิลด้วย"
"เพลา ๆ เรื่องเที่ยวบ้างนะเรา งานการน่ะหัดเข้าไปบริษัทบ้าง พักนี้เราเอาแต่ขลุกอยู่ที่คลับนะ" เสียงป้าอุ่นบ่นให้ลูกชาย
แต่คนตัวโตที่ถูกบ่นกลับเดินก้าวยาว ๆ เข้าไปในบ้านไม่สนใจเสียงตะโกนสั่งสอนของคนเป็นแม่เลยสักนิด
"เฮ้อ เพลียกับลูกคนนี้จริง ๆ " ป้าอุ่นถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะหันมามองหน้าฉันกับแม่นิน
"นี่ถ้าตาลัคมีแฟนเป็นตัวเป็นตนคงดี จะได้เลิกนิสัยเจ้าชู้ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าให้ป้าลุ้นจนหัวใจจะวายสักที"
ละ แล้วทำไมป้าอุ่นมองหนูอัยญ์ยิ้ม ๆ แบบนั้นคะ หนูอัยญ์แอบชอบเฮียลัคจริง แต่หนูอัยญ์ไม่กล้าคิดที่จะได้ครอบครองเขาหรอกค่ะ ในเมื่อหนูอัยญ์ไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลย
งานศพป๊าผ่านมาได้ราว ๆ สิบกว่าวันแล้ว และวันนี้เป็นวันแรกที่ฉันมามหาลัย
"นั่นใช่ลูกสาวของนักธุรกิจในข่าวไหมเธอ ฉันจำได้ว่านามสกุลเดียวกันนะ"
"ไม่แน่ว่ะ แต่ถ้าใช่นี่หน้าหนานะยังมาเรียน"
"นั่นสิ ถ้าเป็นฉัน พ่อถูกลงข่าวว่าเป็นพ่อค้ายาขนาดนั้นคงไม่กล้าออกมาเจอผู้คนแล้วล่ะ"
"ใช่ ๆ "
เสียงนินทาระยะเผาขนดังขึ้นทันทีที่ฉันลงจากรถสปอร์ตหรูสีแดงเพลิงของเฮียดีแลนด์ นี่ขนาดผ่านมาเป็นสิบวันแล้วนะ ข่าวที่ลงว่าพ่อฉันเกี่ยวข้องกับยาเสพติดยังไม่จางเลย
"อย่าไปสนใจเลยอัยญ์ ปากคนก็เหมือนปากอีกา ดำยิ่งกว่าตัวมันซะอีก" เฮียดีแลนด์ที่วันนี้อาสามาส่งฉันเอ่ยปลอบ
"อัยญ์ไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมารกสมองหรอกค่ะ ป๊าอัยญ์ไม่ได้เป็นแบบที่คนพวกนั้นนินทาและข่าวเขียนสักหน่อย" ฉันยิ้มให้ผู้ชายร่างสูงร้อยแปดสิบสี่ ผมสีแดงเพลิงเหมือนรถคู่ใจเขา
"อืม ดีแล้ว เลิกเรียนแล้วโทรหาเฮียนะ" เฮียดีแลนด์โบกมือลาฉันแต่ก็ไม่วายเตือนว่าวันนี้เรามีนัดกันตอนเย็น
"ค่ะ เดี๋ยวหนูอัยญ์โทรหา" ฉันยิ้มกว้างโบกมือลาผู้ที่เปรียบเสมือนพี่ชายแท้ ๆ เช่นกัน "เฮ้อ!" คล้อยหลังเฮียดีแลนด์ ฉันก็ถอนหายใจออกมาฟู่หนึ่ง
เมื่อกี้ที่บอกเฮียดีแลนด์ไปว่าฉันไม่คิดมากก็แค่โกหกเพื่อให้เฮียแกสบายใจ
ใครไม่เก็บมาคิดก็บ้าแล้ว คนพวกนั้นนินทาพ่อฉันอยู่นะ แถมไม่ใช่เรื่องจริงด้วย
แต่ก็อย่างที่เฮียดีแลนด์ว่านั่นแหละ ปากคนมันห้ามกันไม่ได้หรอก เรื่องไหนที่เขาคุยแล้วสนุกปากพวกเขาก็นินทากันไปทั่ว ไม่ได้สนว่าเรื่องนั้นจริงแท้แน่เท็จยังไง เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเองยังไงล่ะ
"หนูอัยญ์" ตรีญ่าทักฉันจากทางด้านหลัง
"อรุณสวัสดิ์ตรี" ฉันหันกลับไปฉีกยิ้มหวานให้เพื่อนสนิท
"นี่ลงเครื่องปุ๊บรีบตรงดิ่งมาหาปั๊บเลยนะ" ตรีญ่าออดอ้อนฉันด้วยการเข้ามากอด คือเมื่อสามวันก่อนตรีญ่าบินไปเที่ยวกับครอบครัวน่ะ เห็นบอกว่าเป็นวันเกิดของป๊าเธอ
"ไม่เหนื่อยเหรอเรา" ฉันถามเพื่อนอย่างห่วง ๆ
"สบายมาก ตรีชินแล้ว" ตรีญ่าฉีกยิ้มหวานให้ ก่อนที่เธอจะปลายตาไปมองด้านหลังฉันที่ยังมีนักศึกษาสี่ห้าคนกลุ่มเดิมที่นินทาฉันยืนอยู่