5

1124 Words
น้ำเสียงของหญิงสาวออกอาการร้อนรนว่าทนฟังไม่ได้ ครั้นจะยกมือปิดหูมือทั้งสองข้างก็เปื้อนเปรอะ สีตลาฟังแล้วตกใจอยากจะเป็นลม คนอย่างหมอพูดจาแบบนี้ก็ได้เหรอ เธอเพิ่งเห็นเขาเป็นคนแรก จนต้องยกมือขึ้นทาบอกอิ่มที่เวลานี้เพิ่งรู้ตัวว่าลืมติดกระดุมเม็ดบนจนต้องทำบุญทำทานให้กับสายตาซอกแซกของใครบางคนที่จ้องมองไปเพื่อพิสูจน์ความขาว สีตลาไม่อยากจะเชื่อว่าหมอครองฤทธิ์ คุณหมอคนดีที่เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อมาช่วยคนบนดอย พระเอกของทุกคน แต่พอได้สัมผัสใกล้ๆ เขามันไอ้หมอหื่นกาม ป่าเถื่อน จอมยียวน กวนประสาท ขัดกับบุคลิกสร้างภาพที่เมื่อก่อนเธอเองยังหลงเชื่อ “ฉันบ้าตรงไหนกัน ตอนนี้ มันเยิ้มจวนเจียนจะแตกออกมาแล้ว ไปเถอะ อย่าเรื่องเยอะสิ” สีตลาจ้องเขาเขม็งแล้วถอยห่างออกจากเขาอีกสองข้าง “อะหยังปะล้ำปะเหลือ” ซึ่งมีความหมายว่าอะไรกันนักหนา ครองฤทธิ์เห็นสายตาคู่สวยที่หันขวับจ้องมองเขาอย่างกลัวๆ ปนรังเกียจ เขารู้ว่าสีตลากำลังคิดอะไรอยู่ เพียงแต่ว่าน้ำที่เยิ้มของเขากับเธอมันคงจะสื่อไปคนละความหมาย หญิงสาวมองหน้าสามีมาดดีที่มีบรรดาสาวๆ แอบเก็บไปพูดลับหลังว่าหมอครองฤทธิ์นั้นหล่อน้ำเยิ้ม จนคนฟังอย่างเธอได้ยินเข้าหูแล้วรู้สึกเขินแทน “คุณหมอจะไปน้ำเยิ้มน้ำย้อยตี้ไหนก่ะไปเต๊อะ ข้าเจ้าขอยะอาหารหื้อแล้วก่อน แล้วจะยกไปหื้อกิ๋น” (คุณหมอจะไปน้ำเยิ้มที่ไหนก็ไปเถอะ ฉันขอทำอาหารให้เสร็จก่อน แล้วจะยกไปให้กิน) คนตัวสูงจดจ้องใบหน้าหวานที่ก้มซ่อนเก็บหน้าราวกับไม่ต้องการให้เขาเห็นแก้มแดงระเรื่อ กดรอยยิ้มร้ายกาจ แต่ไม่อยากให้สีตลาคิดมากเกินไปกว่าเรื่องจริง “พอดีวันนี้มีคนไข้ที่ฉันทำคลอดให้ สามีเขาให้กุ้งแม่น้ำมา ก่อนเดินมา ฉันเผามันเอาไว้ เห็นแตกมันเยิ้มเลยจะมาเรียกเธอไปกินด้วยกัน” คำพูดของเขาทำเอาคนฟังหน้าชา ใจคอไม่ดี ขาสั่นไปหมดหายจากสีหน้าลำบากใจ “แล้วเป๋นหยังบะบอกดีๆ ล่ะเจ้า ว่าจะมาจวนข้าเจ้าไปกิ๋นกุ้งแม่น้ำ” (แล้วทำไมไม่บอกดีๆ ล่ะคะว่าจะมาชวนไปกินกุ้งแม่น้ำ) มือน้อยๆ ช่วยตัวเองด้วยการแกะมือที่เขาเอามาฝากไว้บนเอวออก แต่กลับถูกเขาดึงเข้ามากอดทั้งตัวแน่นยิ่งกว่าเดิม ดวงตาสีนิลสลดวูบเมื่อถูกคนตัวสูงคุกคาม “คุณหมอยะอะหยังเจ้า” (คุณหมอทำอะไรคะ) “กอดเธอไง” “เป๋นหยังต้องกอดตวยล่ะเจ้า” (ทำไมต้องกอดด้วยล่ะคะ) “ผัวกอดเมียไม่ได้เหรอ ผิดตรงไหน” ร่างเล็กพยายามดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดกำลัง แต่เขาแข็งแรง มีกำลังกว่าเธอมาก สีตลาขบเม้มริมฝีปากเบาๆ ขับไล่ความโมโหทั้งที่เขารู้อยู่เต็มอกว่าการสวมบทผัวเมียจอมปลอมมันแค่การแสดงบทหนึ่งซึ่งเขาอยากตบตาคุณหมอวินัย ‘แล้วทำไม...’ หมอหนุ่มจ้องมองคนตัวเล็กที่เปรียบเหมือนลูกแมวที่ถูกเขาหนีบกอดเอาไว้ แล้วกรอกเสียงกระซิบ “ฉันเปลี่ยนใจแล้วที่จะให้เธอเล่นบทเป็นเมียตามแผน เราเป็นผัวเมียกันจริงๆ เลยไหม ตอนนี้ ฉันโสด” “อะหยังก่อเจ้า หมอโสด แต่ข้าเจ้าบะอยากเสียความสดหื้อหมอนี่เจ้า” (อะไรนะคะ หมอโสด แต่ฉันไม่อยากเสียความสดให้หมอนี่คะ) หลังเขารู้ความจริงว่าเธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์ด้วยการจับไปตรวจ สีตลาก็ไม่จำเป็นต้องโกหกอะไรอีกแล้ว “หมอเป๋นไบโพลาร์ใจ้ก่อเจ้า ถึงได้อยากเปลี่ยนแผนก๋ารกะทันหัน ทั้งที่เป็นคนวางแผนก๋ารตึงหมดขึ้นมาเอง” (หมอเป็นไบโพลาร์ใช่ไหมคะ ถึงได้อยากเปลี่ยนแผนการกะทันหัน ทั้งที่เป็นคนวางแผนการทั้งหมด ขึ้นมาเอง) สักพักเดียวที่สีตลาวางหน้า ทำตัวไม่ถูกแล้วเห็นเขาผุดรอยยิ้มร้ายที่เจือไปด้วยแวบขบขัน “ช่วยไม่ได้ คุณแม่ยื่นคำขาด ฉันกับน้องสาว ใครมีหลานให้ท่านก่อนจะยกโรงพยาบาลวนารมย์ธานีให้เป็นของขวัญรับขวัญหลานคนแรก” น้องสาวของเขาซึ่งเป็นหมอแพทย์ผิวหนังตกล่องปล่องชิ้นจะแต่งงานกับลูกบุญธรรมของหมอวินัย ลุงแท้ๆ ของเขา ฝ่ายนั้นรู้เรื่องระหว่างสีตลากับเขาแล้ว เขาคงต้องรีบเร่งผลิตทายาท ในเมื่อเตือนแล้วแต่ผู้หญิงที่คิดว่าตนเองฉลาด มีความสามารถรอบด้านแบบ ‘ไอรดา’ หรือ ‘หมอพลอย’ ไม่คิดจะฟังคำทักท้วงจากพี่ชาย แล้วยังมาปรึกษาวางแผนมีทายาททันทีหลังการแต่งงาน เขาจะทำอย่างไรได้นอกจากชิงลงมือผลิตทายาทตัดหน้า ขัดขวางแผนการฮุบสมบัติเนียนๆ ของคนเป็นลุง ครองฤทธิ์พาร่างกายกำยำที่อาบน้ำมาแล้วเข้ามาเบียดชิดร่างนุ่มนิ่มที่ยังไม่ยอมขยับออกจากหน้าเตาฟืน ซึ่งสีตลาให้เหตุผลว่าการทำอาหารด้วยเตาฟืนให้กลิ่นหอม ยามทำอาหารจะกลิ่นฟืนอ่อนๆ รสชาติอร่อยกว่าการทำอาหารโดยใช้เตาแก๊สซึ่งก็มีอยู่ในครัว แต่สีตลาไม่เลือกใช้ แม้แต่หมอครองฤทธิ์ยังนึกแปลกใจ เพราะเดี๋ยวนี้ คนบนดอยหลายบ้านก็มีเครื่องทำน้ำอุ่น มีอินเทอร์เน็ต ไวไฟ ในขณะที่ภรรยาตัวน้อยของเขายังกลับนุ่งซิ่นและใช้วิถีชีวิตแบบคนรุ่นเก่าเหมือนคนรุ่นแม่รุ่นยาย บางครั้ง หมอครองฤทธิ์มองสีตลาแล้วนึกอยากมอบสายสะพายในตำแหน่งมิสรักบ้านเกิดให้ “เลิกมองเตา แล้วมองหน้าฉัน ไม่ได้ขอร้อง แต่เรียกว่าสั่ง” เสียงเข้มแฝงความเย็นชาทำให้หญิงสาวลอบตระหนกอยู่ไม่น้อย แขนกำยำที่กำลังเบียดเสียดกับต้นแขนเรียวจนทำให้เกิดความร้อนวูบวาบ ต้นขาแกร่งภายใต้กางเกงผ้าฝ้ายของหมอหนุ่มก็ยังคงเสียดสีอยู่กับผ้าซิ่นสีชมพูอ่อนทอลายพื้นเมืองที่สีตลานุ่งห่ม “แหมหน้อยเดียวกะแล้วแล้วเจ้า ข้าเจ้ากลั๋วหม้อไหม้เจ้า หมอกลับไปถ้าบนเฮือนก่อนได้ก่อ แล้วแล้วข้าเจ้าจะฟั่งตวยไป” (อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว ฉันกลัวหม้อไหม้ค่ะ หมอกลับไปรอบนเรือนก่อนได้ไหม เสร็จแล้วฉันจะรีบตามไป)
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD