สิบสอง
จิตวิญญาณในกระบี่
เต้าหู้กับวานโต้ว[1] คืออาหารมื้อแรกของหยวนจื่ออี๋ในสำนักเมฆาเรือง ก่อนที่มื้อเย็นจะเป็นผัดผักกับหมั่นโถว
ก่อนหน้านี้นางรู้จากท่านเจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์มาว่านักพรตจะต้องถือศีลกินเจ ดังนั้นจึงทำใจมาบ้าง แต่ปริมาณอาหารที่น้อยนิดมันทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
ก็ได้แค่หวังว่าที่สำนักพรตคงไม่มีเรื่องการรับน้องใหม่อย่างที่มีในชาติก่อนของนาง
กลิ่นหอมของเทียนไขหวนให้นางนึกถึงใครบางคน
...ใครบางคนที่นางไม่ได้พบหน้าเลยในระยะเวลาสามปีครึ่งที่ผ่านมา
เสียงถอนหายใจดังขึ้นภายในห้องนอนขนาดเล็ก เรื่องที่เคยพานพบปีศาจจิ้งจอกและเก็บตัวอยู่บนยอดเขาพ้นโลกาเปรียบเสมือนฝันตื่นหนึ่ง
ถ้าหากว่าเขาปลอดภัยดีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าเขาบาดเจ็บหรือว่าย่ำแย่กว่านั้น...
ผู้คิดขมวดคิ้วยุ่ง นางเผลอนึกถึงเขาอีกแล้ว ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคิดถึงเจ้าปีศาจรูปงามแล้งน้ำใจที่ไม่แม้แต่จะมาร่ำลานางผู้นั้นเสียด้วยซ้ำ
นางไม่ควรคิดถึงเขา แต่ควรคิดถึงบุพการีผู้ล่วงลับไปมากกว่า
‘ท่านพ่อ...ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน’
หยวนจื่ออี๋คิดพลางฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะ ความเย็นของมันทำให้ผู้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการฝึกซ้อมเริ่มง่วงงุน ใบหน้าหวานเคลิบเคลิ้มใกล้จะจมเข้าสู่ห้วงนิทรา หากยังมิทันได้ทำเช่นนั้นก็ถูกเสียงเคาะประตูขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
นางยืดตัวขึ้นมานั่งหลังตรงขณะที่รีบเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาจากมุมปาก ทันทีที่ผู้มาใหม่ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา ก็รีบกระโดดลงจากเก้าอี้เพื่อทำความเคารพ
“คารวะศิษย์พี่สาม”
ผิงจวินมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับบนใบหน้า ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความรู้สึกผิดที่มารบกวนคนอายุน้อยกว่าในยามวิกาล ทั้งยังเมินเฉยต่อความอ่อนล้าในดวงตาสีชา แล้วเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงร่าเริงแจ่มใส “หยวนจื่ออี๋ ที่ข้ามาที่นี่เพราะหวังดี อยากช่วยเจ้าโดยเฉพาะ”
นางรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ติดจะเย็นชาอยู่บ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่รู้จักกันยังมิทันข้ามวัน “ท่านยังไม่นอนอีกหรือ”
การถามไถ่เรื่องอื่นคล้ายกำลังปฏิเสธทางอ้อมว่านางไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จากเขา ทว่าผิงจวินก็หาได้ยอมแพ้โดยง่ายไม่
“ข้ามีวิธีช่วยเรื่องการฝึกขี่กระบี่ให้เจ้าได้”
คราวนี้หยวนจื่ออี๋ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเบือนสายตาไปยังแสงเทียนที่เริ่มริบหรี่ “ข้ายินดีรับฟังคำแนะนำของท่านในวันพรุ่งนี้เช้า”
“หากเป็นพรุ่งนี้เช้าก็คงไม่ทันแล้ว” เขายักไหล่ “หรือถ้าเจ้าอยากยืนกอดกระบี่ต่อหน้าท่านอาจารย์อีกวันก็คงไม่เป็นไร”
เด็กหญิงพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง แม้ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้ว หากนางไม่ยอมรับความช่วยเหลือคงถูกตื้อเช่นนี้จนถึงเช้า
ที่นี่คือสำนักเมฆาเรือง นางกับผิงจวินเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ ชายหนุ่มคงไม่เสี่ยงทำอันใดกับศิษย์ที่อ่อนด้อยกว่าเขาในทุกด้าน มิเช่นนั้นผลที่ได้คงได้ไม่คุ้มเสีย
“ท่านออกไปก่อน ข้าขอเวลาเตรียมตัวสักประเดี๋ยว”
ผิงจวินฉีกยิ้มกว้าง “ข้าจะรอเจ้าที่ลานฝึกตน ที่เดียวกับที่เจ้าฝึกขี่กระบี่เมื่อเช้า”
คำว่า ‘ลานฝึกตน’ ส่งผลให้สีหน้าของผู้ฟังคว่ำงอ แตกต่างจากศิษย์พี่สามที่แช่มชื่นขณะที่เจ้าตัวเดินออกจากห้องไปอย่างไม่รีบร้อน
แม้หลายปีมานี้จะไม่มีเรื่องปีศาจเข้ามาวุ่นวายด้วยการคุ้มครองจากสำนักหัตถ์สวรรค์ ทว่าหยวนจื่ออี๋ก็ไม่อยากประมาทจึงพกยันต์ของเหวยเซียวติดตัวอยู่เสมอ นางจึงรวบรวมกำลังใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปสวมเสื้อคลุมสีกรมท่าของนักพรต หยิบกระบี่เล่มยาวสีทึมที่ห้อยอยู่บนผนัง เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมาย
ลานฝึกตนนอกตำหนักตัดอาลัยยามค่ำคืนเงียบเสียยิ่งกว่ายามเช้า สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายล้วนเข้านอนกันหมดแล้ว อากาศที่เย็นลงส่งผลให้เจ้าตัวจามออกมาเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในขั้นที่พอทนไหว
บนยอดเขาพ้นโลกานางต้องเผชิญกับหิมะกองพูนเกือบถึงเอวในวันที่มันตกหนัก ซึ่งนางก็ได้แต่หวังว่าที่นี่จะอุ่นกว่า แม้ว่าเขานิทราจะขึ้นชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดในแคว้นเล่อก็ตามที
ร่างชะลูดของผิงจวินในอาภรณ์สีขาวชั้นเดียวยืนตรงท้าลมหนาว เมื่อเขาเห็นนางก็กวักมือเรียกเข้ามาหาอย่างกระตือรือร้น
เขาดูไม่เหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แต่เหมือนสุนัขตัวน้อยที่รักสนุกเสียมากกว่า
หยวนจื่ออี๋เริ่มผ่อนคลายความเกร็งเมื่อรู้สึกว่าเขาคงไม่หวังร้ายต่อนาง
และแล้วผ้าแพรสีขาวถูกยื่นส่งให้ท่ามกลางความมึนงงสับสนของเด็กหญิง
ในตำราที่นางเคยศึกษาร่ำเรียนมาจากท่านพ่อ การมอบผ้าแพรให้เป็นหนึ่งในวิธีการประหารชีวิตเหล่านางสนมผู้กระทำผิด แต่ดูจากท่าทีของศิษย์พี่สามแล้ว เขาคงไม่คิดเช่นนั้น
ฝ่ายผิงจวินที่ตั้งท่าให้ผู้อ่อนเยาว์กว่ามองด้วยแววตาเป็นคำถามก็รีบแถลงไขให้อย่างไม่รอช้า
“หากมองไม่เห็นก็คงไม่กลัวแล้วมิใช่หรือ”
หยวนจื่ออี๋เข้าใจในที่สุด นางวางกระบี่ที่ถือมาลงบนพื้นหญ้า
‘หากไม่เห็นก็จะไม่กลัว...เช่นนั้นหรือ?’
นางตั้งคำถามขึ้นในใจอีกครั้งก่อนจะครุ่นคิดถึงเหวยเซียว ศิษย์พี่ใหญ่ของนางนัยน์ตามืดบอดทว่ากลับใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ทฤษฎีที่ว่า ‘การมองไม่เห็นทำให้ไม่กลัว’ เป็นเรื่องจริง
“การมองไม่เห็นอาจทำให้เรากลัวมากกว่าเดิม” เสียงเล็กแย้ง
ผิงจวินเลิกคิ้วพร้อมกับเบือนสายตาไปยังกระบี่ที่ถูกทอดทิ้งบนพื้นอย่างสงสาร “เจ้ารู้หรือไม่ กระบี่ของเรานักพรตและเทพเซียนล้วนมีจิตวิญญาณ ท่านอาจารย์มอบกระบี่เล่มนี้ให้เจ้าเพราะเห็นว่าจิตวิญญาณของพวกเจ้าเหมาะสมกัน”
“กระบี่...มีจิตวิญญาณ?” เสียงเล็กเอ่ยทวนด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“กระบี่ที่อาจารย์มอบให้เจ้ามีชื่อว่า ‘วารินพิพากษ์’ ” เขาสบมองกระบี่สีเทาขุ่นที่ไร้ฝักอย่างสงสารเห็นใจ “แม้จะเป็นกระบี่เทพ แต่พลังหยินของมันรุนแรงเสียจนแทบเรียกได้ว่าไร้ประโยชน์กับปีศาจส่วนใหญ่ และไม่มีผู้ใดอาจหาญพอที่จะใช้มันได้ ผ่านพ้นมาหลายพันปีมิเคยมีผู้ใดได้เป็นเจ้าของ จนกระทั่งเจ้ามาที่นี่ เจ้า...ซึ่งมีพลังหยางรุนแรงราวกับไม่ใช่มนุษย์”
“วารินพิพากษ์” หยวนจื่ออี๋บ่นงึมงำในขณะที่ก้มมองศาสตราวุธสีทึมซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นอย่างไร้ค่าอยู่ทีหนึ่ง ขนในกายก็ลุกชันขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
พลังหยางที่รุนแรงราวกับไม่ใช่มนุษย์
นี่คงไม่ใช่ว่าเขารู้แล้วหรอกนะว่านาง...พิเศษ?
“ท่านคิดว่าถ้าใช้ผ้าแพรปิดตาแล้วจะช่วยได้จริงๆ หรือ” เด็กหญิงเปลี่ยนเรื่องด้วยสีหน้าอันใสซื่อไร้เดียงสา ในเมื่อเขาแสดงท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนเรื่องที่นางมีพลังหยางรุนแรง นางก็ไม่ควรร้อนตัวรีบปฏิเสธ
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ นัยน์ตาพราวระยิบในความมืดประหนึ่งพบเจอของเล่นที่ถูกใจ “ปัญหาของเจ้าคือกลัวความสูงมิใช่หรือ”
“เช่นนั้นข้าหลับตาเอามิดีกว่าหรือศิษย์พี่”
ผู้ฟังยกมือขึ้นกอดอก ศิษย์น้องกล่าวฟังดูมีเหตุผล “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เวลานี้มืดค่ำแทบมองไม่เห็นอะไร เจ้าลองลืมตาดูก่อน หากไม่ไหวก็ลองหลับตา แล้วถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยใช้ผ้าแพรผูก”
หยวนจื่ออี๋พยักหน้า ที่ผิงจวินพูดมานับว่าเข้าท่าดี ลองดูก็ไม่เสียหาย
อีกฝ่ายพูดถูก... นางไม่ควรทำให้อาจารย์ผิดหวังในตัวนางไปมากกว่านี้
ร่างที่สูงชะลูดเกินวัยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะก้าวไปยืนบนกระบี่อย่างเชื่องช้า เริ่มหลับตาและเพ่งสมาธิดังที่อาจารย์เคยสอน ผิงจวินสาวเท้าไปด้านหลังห้าก้าว เว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัย เขาไม่เคยเห็นนางพยายามผูกจิตเพื่อยกกระบี่ให้ลอยขึ้นมาจากพื้น เพราะเมื่อช่วงเช้านางเอาแต่กอดกระบี่อยู่ท่าเดียว
หยวนจื่ออี๋จมอยู่ในห้วงแห่งความมืดมิด ทุกอย่างเงียบสงัดจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตนเอง จิตใจของนางนิ่งสงบเมื่อไม่มีภาพใดๆ มารบกวนใจ ต่อให้ยามนี้จิตใต้สำนึกร้องบอกว่าผิงจวินกำลังมองอยู่ ทว่าเมื่อหลับตาและตั้งจิตสมาธิเช่นนี้แล้ว นางกลับรู้สึกราวกับมีกำแพงบางๆ ที่ปิดกั้นเขาออกไป
‘รวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ จิตของกระบี่...จิตของกระบี่’
นางทบทวนคำเหล่านั้นในใจซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นแสงสีขาวอมม่วงคล้ายหยกเปล่งประกายอยู่ท่ามกลางหยาดหมึกสีดำ
“น่าอร่อย...”
เสียงเย็นเอื่อยเฉื่อยดั่งระรื่นอยู่ที่ข้างหู เด็กหญิงซึ่งกำลังหลับตาอยู่รู้สึกว่าร่างกายของตนเองลอยขึ้นจากพื้นทีละน้อย
หยวนจื่ออี๋หลงลืมเสียงประหลาดนั้น พยายามระงับความประหม่าโดยการเม้มริมฝีปาก อดคิดในใจไม่ได้ว่าการทำให้กระบี่ลอยจากพื้นได้ในการลองครั้งแรกถือเป็นเรื่องธรรมดาหรือไม่
และนางก็ค้นพบว่าสิ่งที่ยากกว่าการทำให้กระบี่ลอยขึ้นจากพื้น...คือการทรงตัว
การเสียหลักส่งผลให้ดวงตาชาเบิกโพลงขึ้นมาอย่างตกใจ ร่างของนางลอยเหนือพื้นขึ้นมาประมาณสามศอกก่อนที่จะเสียหลักล้มตุบลงบนพื้นอย่างแรง
“เด็กน้อย เจ้าน่าอร่อยมาก...”
เสียงเดิมดังขึ้นมาในโสตประสาทอีกครั้งก่อนจะเงียบหายไปเมื่อกระบี่ที่ลอยขึ้นล่วงหล่นตามมา ตำแหน่งที่ล่วงหล่นอยู่ข้างกายเจ้าของพอดีอย่างกับจับวาง ส่งผลให้นางรู้สึกเหมือนกับมันเจตนาให้เป็นเช่นนั้น
หยวนจื่ออี๋กะพริบตาปริบๆ สองสามครั้ง สิ่งที่รู้สึกยามนี้คล้ายคลึงกับยามที่ถูกปีศาจชั้นเลวห่อหุ้มร่างกายจนนางต้องเผลอสะบัดตัวแรงๆ หลายครั้ง ก่อนจะเบนความสนใจไปยังผิงจวินซึ่งยืนปรบมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ไม่ไกล “ไม่เลวเลยสำหรับครั้งแรก”
“ศิษย์พี่สาม” สีหน้าของผู้ถามหาได้มีประกายยินดีกับการขี่กระบี่ครั้งแรกไม่ “ยามที่จิตของนักพรตผูกกับกระบี่ครั้งแรก มัน...มันง่ายดายหรือไม่”
[1] วานโต้ว (**) แปลว่า ถั่วลันเตา