“มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย” หยวนจื่ออี๋ยิ้มบางๆ ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ฟันน้ำนมของนางหลุด แล้วท่านเจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์ต้องรีบเผาโลหิตของนางทิ้ง ก็หลุดหัวเราะออกมาทีหนึ่งก่อนจะกระแอมไอกลบเกลื่อน “เจตนารมณ์ของข้ายังคงไม่เปลี่ยนไป ข้าต้องการแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะสามารถปกป้องตนเองได้”
“มุ่งมั่นตั้งใจดี” เหวยเซียวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาในที่สุด “ข้าเสียใจเรื่องบิดาของเจ้าด้วย”
“ท่านพ่อจากไปอย่างสงบโดยไม่ทรมาน เรื่องนี้ต้องขอบพระคุณท่านเจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์ที่เมตตาเราสองพ่อลูก และแน่นอน...หากไม่ได้ท่านเจ้าสำนักเมฆาเรืองตงฟางฉุนหยาและท่านผู้อาวุโสจิ้งอวิ๋นฝากฝังข้าเอาไว้ เรื่องราวก็คงไม่เป็นเช่นนี้”
ผู้ฟังพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ครั้งแรกที่ได้พบหยวนจื่ออี๋ เขาก็คิดว่านางเป็นเด็กที่มีความคิดอ่านที่โตกว่าวัยแต่ยังไม่ลึกซึ้งมากนัก หลายปีผ่านพ้นดูนางมีพัฒนาการขึ้นมามากจากการสนทนากันไม่กี่ประโยค ภายภาคหน้าเด็กคนนี้จะต้องเติบโตและก้าวหน้ามากขึ้นไปอีก
เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะมีโอกาสได้อยู่ถึงวันนั้น...
‘เหวยเซียว’
เสียงของผู้เป็นอาจารย์แทรกผ่านความคิด ด้วยเหตุนี้เหวยเซียวจึงจำเป็นต้องขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังตำหนักกลางสระเหลียนฮวาด้วยความเร็วที่ช้ากว่าปกติเพื่อรอดูความปลอดภัยของผู้ที่รั้งตามมา
หยวนจื่ออี๋สูดหายใจเข้าลึกๆ กระชับสัมภาระทั้งสองของตนเองสะพายขึ้นหลัง มือเล็กทว่าแข็งแรงกระชับท่อนไม้แน่น ครั้นรวบรวมลมปราณได้แล้วก็พุ่งทะยานไปข้างหน้าทันที
นางใช้วิชาตัวเบาดีดตัวออกจากฝั่ง ครั้นปลายเท้ากำลังจะแตะถูกผิวน้ำก็ใช้ท่อนไม้ค้ำลงบนพื้นบ่อแล้วดีดตนเองพุ่งไปอีกครั้ง แม้ท่าทางของนางจะคล้ายวานรโลดโผนไร้ซึ่งความสำรวม แต่ก็ดูร่าเริงสมวัยและไม่น่าเกลียด
ทั้งเหวยเซียวและหยวนจื่ออี๋มาถึงตำหนักตัดอาลัยพร้อมกัน
“สำนักหัตถ์สวรรค์คงสั่งสอนเจ้ามาไม่น้อย”
เด็กหญิงรีบหันหน้าไปยังที่มาของเสียงนุ่มทุ้มไม่คุ้นหู บุรุษผู้นั้นมีร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีเทาเกล้าเป็นมวยสูงเผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา ผิวสีน้ำตาลแดงของเขาโดดเด่นแตกต่างจากผู้คนที่นางเคยพบ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตของเขาราบเรียบไร้อารมณ์จ้องมองมาที่นาง ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดนักพรตสีกรมท่าดูเหมือนวัยสามสิบต้นๆ ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับลึกล้ำสูงส่ง โดยเฉพาะกำลังภายในที่เข้มข้นเปี่ยมไปด้วยพลังบริสุทธิ์
นางรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาฉับพลัน แม้ไม่มีผู้ใดบอก แต่นางก็คาดเดาได้ทันทีว่าคนผู้นี้คงเป็นท่านเจ้าสำนักเมฆาเรืองอย่างไม่ต้องสงสัย
หยวนจื่ออี๋เผลอยกมือขึ้นมาดึงปอยผมปิดหน้าผากด้วยความประหม่า นางมักจะห่วงเรื่องหน้าผากที่กว้างของตนเองมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้เวลาที่ผู้อื่นจ้องมองมากๆ จึงมักจะเผลอหาอะไรมาปิดบังมันอยู่เสมอ
“เรียนท่านผู้อาวุโส ข้าได้ฝึกฝนกำลังภายในมาจากสำนักหัตถ์สวรรค์ก็จริง แต่มิได้กราบไหว้ผู้ใดเป็นศิษย์อาจารย์” หยวนจื่ออี๋รีบอธิบายเพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด
ตงฟางฉุนหยาส่ายหน้าน้อยๆ มองดูคนที่พยายามเอาผมมาปิดหน้าผากด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เรื่องเพียงเท่านี้ ไยต้องถือสา เข้ามาด้านในเถิด เช้านี้แดดแรง”
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส” นางประสานมือคำนับเสร็จก็ถึงกับสะดุ้งเบาๆ เมื่อผิงจวินใช้ศอกกระทุ้งเข้าให้
“ต่อแต่นี้เจ้าต้องเรียกว่าอาจารย์ต่างหาก” ว่าที่ศิษย์พี่สามกระซิบกระซาบข้างหู ก่อนจะหันไปยิ้มแป้นแล้นให้แก่ผู้เป็นอาจารย์ “จริงไหมขอรับ”
ตงฟางฉุนหยาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพ่งความสนใจไปยังผู้ที่พยายามเอาปอยผมลงมาปิดหน้าผาก “หน้าผากเยี่ยงเจ้าถือว่ามีลักษณะโดดเด่นตามตำรา โบราณว่ามีไว้เพื่อรับทรัพย์”
หยวนจื่ออี๋รีบปล่อยมือออกจากปอยผมแล้วทิ้งลงข้างตัว พวงแก้มแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อยอย่างอายๆ
นางเผลอปล่อยไก่ออกมาต่อหน้าอาจารย์ตั้งแต่แรกเห็น ช่างน่าขายหน้าและอับอายแทนท่านพ่อเสียเหลือเกิน
ชายหนุ่มผิวเข้มมิได้สนใจท่าทีของหยวนจื่ออี๋มากนัก เขาวาดมือผ่านใบหน้ามอมแมมทีหนึ่ง คราบสกปรกก็จางหายไป เผยให้เห็นใบหน้าหวานเกลี้ยงเกลาราวกับได้รับการชำระล้างด้วยน้ำสะอาด
ผิงจวินเผลอยักคิ้วออกมาทีหนึ่ง ที่แท้ศิษย์น้องคนเล็กก็เป็นบุรุษน้อยผิวขาวหน้าหยก สมกับเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หน้าหยก
ฝ่ายตงฟางฉุนหยาละความสนใจอย่างรวดเร็วพร้อมกับเบนสายตาไปยังศิษย์เอกผู้สงบเสงี่ยม “เหวยเซียว เจ้าพาคนอื่นออกไปก่อน”
“ขอรับ อาจารย์” เจ้าของนัยน์ตาสีเทามืดบอดโค้งศีรษะอย่างนอบน้อมก่อนจะลุกยืน อุ้ยเหมยถ้งยืนขึ้นพลางโค้งศีรษะให้ผู้เป็นอาจารย์เช่นเดียวกัน จะมีก็เพียงผิงจวินที่เอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์โดยไม่สนใจเรื่องมารยาทแต่อย่างใด
“อาจารย์จะเริ่มสอนศิษย์น้องเล็กวันนี้เลยหรือไม่”
“หลังจากพิธีกราบไหว้แล้ว ข้าจะฝึกให้เขาขี่กระบี่ ดูเหมือนเขาจะมีพื้นฐานกำลังภายในเป็นต้นทุนอยู่”
ผิงจวินพยักหน้ารับน้อยๆ แน่นอนว่าวันนี้เขาคงไม่พลาดไปดูเรื่องน่าสนใจของศิษย์คนสุดท้ายซึ่งเป็นที่จับตามองจากคนทั้งสำนักไปได้
ทว่าอารมณ์ตื่นเต้นของชายหนุ่มวัยสิบห้าปีที่จากไปพร้อมกับศิษย์พี่ทั้งสองช่างแตกต่างจากหยวนจื่ออี๋ที่ลอบกลืนน้ำลายเอื๊อกโดยสิ้นเชิง
นางอยู่ที่ยอดเขาพ้นโลกามาหลายปีก็จริงอยู่ แต่โลกกลัวความสูงมีมาตั้งแต่กำเนิด...
“มะ...ไม่ใช่ว่าต้องเรียนรู้ทฤษฎีจากตำราก่อนหรือขอรับ” หยวนจื่ออี๋ถามอย่างไม่เต็มเสียงนัก
บุรุษหน้าหยกผู้พินิจภายนอกแล้วเหมือนวัยสามสิบต้นๆ สบตานางเล็กน้อย ก่อนจะดึงกลับไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าตามเดิม “ตำหนักตัดอาลัยตั้งอยู่กึ่งกลางสระเหลียนฮวา นักพรตไม่กระโดดพร่ำเพรื่อ ต่อแต่นี้เจ้าจะต้องขี่กระบี่เข้าและออกตำหนัก”
แสงแดดรำไรบริเวณผืนป่าโปร่งร่มรื่นกำลังดี ก้อนเมฆน้อยใหญ่เคลื่อนคล้อยอย่างเอื่อยเฉื่อย สายลมเย็นสบายพัดพาเอากลิ่นของฤดูใบไม้ร่วงมาแตะจมูก กระรอกตัวเล็กซึ่งมีพวงหางฟูฟ่องสีน้ำตาลปีนป่ายไปตามลำต้นของต้นสนจนเกิดเสียงเล็กๆ กระทบเข้าโสตประสาท บรรยากาศทั้งหลายชวนให้นางคิดถึงบ้านเกิดอันแสนห่างไกล
แต่นาง...กลับอยากหายตัวไปจากที่นี่เสียประเดี๋ยวนี้!
“เจ้าไม่อยากฝึกขี่กระบี่?”
คำถามจากชายหนุ่มผิวเข้มส่งผลให้หยวนจื่ออี๋ตัวเกร็ง ในคอตีบตันขึ้นมากะทันหัน นางกับตงฟางฉุนหยาเพิ่งจะได้เป็นศิษย์อาจารย์ นางเองก็ไม่อยากจะสร้างเรื่องตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ทว่าเรื่องนี้...มันเกินกว่าที่นางจะรับไหวจริงๆ
“โบราณว่าไว้ ฟ้า ดิน คน ล้วนเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นหากจะไปทางดินหรือทางอากาศก็ล้วนแล้วแต่เหมือนกัน” เด็กหญิงในคราบเด็กชายหาเหตุผลอ้างไปเรื่อย พยายามปิดบังเรื่องที่ตนกลัวอย่างสูงเพราะมิอยากขายหน้าต่อหน้าศิษย์พี่ทั้งสาม
ใช่แล้ว ศิษย์พี่ทั้งสามผู้หวังดีมารอดูการฝึกฝนของนางด้วยตนเอง
ตารางการศึกษาและฝึกฝนของแต่ละคนล้วนถูกจัดสรรตามแต่อาจารย์ประจำตัวเห็นว่าเหมาะสม และมันก็ประจวบเหมาะว่าพวกเขาไม่มีเรียนช่วงเช้าพร้อมกันหมดพอดี ส่วนของนางจะต้องรอสักสัปดาห์เพื่อให้อาจารย์สามารถวิเคราะห์ความสามารถ รวมถึงจุดเด่นและจุดด้อยของนางได้
ตงฟางฉุนหยาขมวดคิ้วบางเบา แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงรักษาสีหน้าราบเรียบปราศจากอารมณ์ได้อย่างไร้ที่ติ ใบหน้าของเขาประหนึ่งหุ่นปั้นไร้ชีวิต “นักพรตที่ปรารถนาจะฝึกตนเป็นเซียนย่อมต้องฝึกขี่กระบี่ด้วยกันทั้งสิ้น”
เหวยเซียวเผยความเหนื่อยล้าออกมาทางสีหน้า นัยน์ตาสีเทามืดบอดไร้ประกายความเคลื่อนไหวแต่สามารถจับทิศทางของเด็กหญิงได้อย่างชัดเจน
ฝ่ายหยวนจื่ออี๋กะพริบตาปริบๆ การเป็นนักพรตเพื่อฝึกฝนเป็นเซียนมิใช่เรื่องง่าย ดังนั้นนางจึงต้องตั้งใจให้ดี ความอดทนเป็นสิ่งที่ท่านพ่อผู้ล่วงลับพร่ำสอน
แต่เดิมนางไม่อยากปิดบังอาจารย์เรื่องที่กลัวความสูง หากก็อับอายเกินกว่าจะพูดต่อหน้าศิษย์พี่อีกสามคนอยู่ดี
“เช่นนั้น...ศิษย์จะเป็นเซียนคนแรกที่เดินบนดิน”
คราวนี้คำอธิบายของหยวนจื่ออี๋ทำเอาผิงจวินหลุดหัวเราะออกมาพรืดใหญ่ ขำจนน้ำตาเล็ดอย่างผิดวิสัย
ตัวเขาเห็นคนฝึกฝนขี่กระบี่มาก็มาก แบบที่พลัดตกลงมาหรือหมุนตัวเป็นเกลียวก็เคยเจอ ทว่าสวรรค์... การยืนกอดกระบี่แน่นประหนึ่งจิ้งจกเกาะผนังเยี่ยงนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย!
บันเทิงใจยิ่งนัก ไอ้หนูคนนี้ไม่ธรรมดา!
“ไม่ได้” ผู้เป็นอาจารย์ยืนกรานเสียงแข็งขณะที่เรียกกระบี่เล่มยาวกลับเข้ามาในมือแล้วยื่นมันให้นางอย่างจริงจังอีกครั้ง “ไปฝึกประเดี๋ยวนี้”
เด็กหญิงหน้าหงอย จำต้องรับกระบี่ที่หนักอึ้งที่เพิ่งกอดรัดกันมาหยกๆ อย่างเสียไม่ได้
ตงฟางฉุนหยาผ่อนลมหายใจก่อนจะเบือนสายตาไปยังศิษย์เอกของตน “เหวยเซียว”
“ขอรับอาจารย์”
ตงฟางฉุนหยาดูจะไม่พอใจเล็กน้อยกับความคิดที่สวนทางจากการฝึกสอนของศิษย์คนเล็ก แม้เขาจะไม่แสดงออก ทว่าเหวยเซียวก็สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณ
“เจ้ารับหน้าที่คอยดูแลหยวนจื่ออี๋ฝึกขี่กระบี่”
หยวนจื่ออี๋มิใช่เด็กไม่ดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางแตกต่างจากศิษย์ที่ผ่านมาของท่านอาจารย์โดยสิ้นเชิง
นางมีความเป็น ‘อิสระ’ ในตนเองสูงเกินไป...
ชายหนุ่มผู้ไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของสิ่งรอบข้างโค้งคำนับให้แก่ผู้จากไป ยังมิทันได้กล่าวอันใดกับหยวนจื่ออี๋ซึ่งกำลังยืนก้มหน้าจ๋อย ก็มีเสียงของผิงจวินแทรกขึ้นมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าว่าวันนี้เราพอแค่นี้ดีกว่า ศิษย์น้องเล็กเดินทางมาไกลอาจจะเหนื่อย”
สิ้นคำพูดของศิษย์คนที่สาม เสียงเข้มราบเรียบก็ดังต่อกันราวกับนัดกันมา
“เจ้าเพิ่งมาใหม่ ไม่ควรทำตัวเป็นปัญหา” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหรี่มองเจ้าของใบหน้าหวานอย่างดูแคลน เป็นอุ้ยเหมยถ้งที่สีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด “หากเรื่องแค่นี้ยังทำไม่ได้ ก็เก็บข้าวของกลับบ้านไปเสีย!”
“ข้า...ไม่มีบ้านให้กลับไปอีกแล้ว”
เสียงเล็กราบเรียบเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีจางของหยวนจื่ออี๋ ก่อนที่ร่างสูงเก้งก้างเกินวัยจะหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบงัน
เหวยเซียวทราบถึงความลำบากที่ผ่านมาของหยวนจื่ออี๋ดีจึงไม่พูดอันใด ผิดกับอุ้ยเหมยถ้งที่ถูกศิษย์น้องเฉยเมย กระทำเรื่องเสียมารยาทใส่ผู้อาวุโสกว่า องค์ชายลำดับที่แปดกำมือแน่น คาดโทษไว้ในใจก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปอีกทางหนึ่ง
ผิงจวินเห็นเช่นนั้นก็สีหน้าระรื่น รอบนี้หยวนจื่ออี๋ทำคะแนนนำอุ้ยเหมยถ้งไปหนึ่งแต้ม
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยสนใจจะสืบหาประวัติว่าศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์เป็นใคร มาจากไหน เอาแต่มองว่าเขาเป็นเด็กใหม่ผู้โชคดีที่อาจารย์รับเป็นศิษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ไม่แน่ว่าสาเหตุที่ตงฟางฉุนหยารับหยวนจื่ออี๋เป็นศิษย์... อาจมีอะไรที่มากกว่าพลังหยางอันรุนแรงที่เปล่งออกมาจากตัวก็เป็นได้
ผิงจวินคิดอย่างมาดมั่นอยู่ในใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารของสำนักอย่างอารมณ์ดี