จิตวิญญาณในกระบี่ [ปลาย]

2208 Words
ผิงจวินเลิกคิ้ว ดูท่าศิษย์น้องคนเล็กจะมิได้เอาใจได้ง่ายดายดังที่คิดเพราะไม่หลงระเริงกับคำชมเชยของเขา “ขึ้นอยู่กับคน และมิใช่ทุกคนที่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณของกระบี่ได้” “หมายความว่า...” “หากเข้าถึงจิตวิญญาณของกระบี่ไม่ได้ภายในหนึ่งเดือนก็ต้องลงจากเขา” สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังกว่าเดิมเล็กน้อย “หากลงเขาไปแล้วไม่สามารถหากระบี่ที่ผูกจิตด้วยได้ภายในสามเดือน คนผู้นั้นก็จะสิ้นสถานะการเป็นนักพรตของสำนักเมฆาเรือง” “แล้วจิตของกระบี่สามารถพะ...” คำถามของนางหยุดกลางคันคล้ายนึกขึ้นมาได้ว่าสิ่งนี้นางควรถามไถ่ผู้เป็นอาจารย์ ไม่ใช่ศิษย์พี่สาม เรื่องที่จิตวิญญาณของกระบี่สามารถสื่อสารกับนางและพูดว่า ‘น่าอร่อย’ มันชวนให้น่าขนลุกมากกว่าปลาบปลื้มยินดี ครุ่นคิดพลางกลั้นหายใจหยิบกระบี่ขึ้นจากพื้นพร้อมกับประสานมือคำนับให้อีกฝ่าย “การฝึกฝนของข้าในวันนี้มีความสำเร็จก้าวหน้าก็เพราะศิษย์พี่สามมีน้ำใจช่วยชี้แนะ ข้าจื่ออี๋ซาบซึ้งยิ่งนัก” “ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าเปล่าๆ หรอกนะ” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลม “ข้ามีเรื่องหนึ่ง...อยากให้เจ้าช่วย” หยวนจื่ออี๋ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง มินำพาต่อสีหน้าไม่น่าไว้ใจของผิงจวิน ที่แท้เขาก็ไม่ได้คิดช่วยนางโดยไม่หวังผลตอบแทน “เรื่องอันใด ศิษย์พี่ว่ามาได้เลย หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าก็ยินดีช่วยท่าน” “ข้าต้องการลงจากเขา และหยวนจื่ออี๋...” หยวนจื่ออี๋สบดวงตาสีดำสนิทของผิงจวิน สองมือเผลอกำแน่นเมื่อสังหรณ์ใจบางอย่างจนรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย “เจ้าต้องไปกับข้าด้วย” “ข้าจำได้ว่ากฎของสำนักเมฆาเรืองคือห้ามลงจากเขาหากมิได้รับอนุญาตจากผู้เป็นอาจารย์” ชายหนุ่มสาวเท้าเข้ามาใกล้ ความสูงที่มากกว่านางเพียงช่วงไหล่เดียวมิได้ข่มให้นางรู้สึกกลัวมากนัก จนกระทั่งเขาเอานิ้วชี้จิ้มเข้าที่หน้าผากของนางเบาๆ “เด็กน้อย นี่เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสำนักแห่งนี้เลยสิท่า” นางยืนนิ่ง พยายามที่จะไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา การรับมือกับคนเช่นนี้ใช้การโต้เถียงไปก็ไม่ประโยชน์ นี่คือสิ่งที่บิดาผู้ล่วงลับของนางเคยสอนเอาไว้ “เจ้าเห็นอาจารย์เป็นเช่นนั้น รู้บ้างหรือไม่ว่าท่านอายุมากกว่าทวดของเจ้าอีกกระมัง” นางควรจะประหลาดใจ ทว่าข้อเท็จจริงที่เพิ่งทราบนี้กลับไม่สร้างความตกใจให้เท่าที่ควร ผิงจวินเองก็สังเกตเห็น ด้วยเหตุนี้จึงชิงพูดขึ้นมาอีกประโยค หวังจะทำให้เด็กใหม่มีการตอบสนองที่ดีกว่านี้ “เจ้ารู้บ้างไหมว่าอุ้ยเหมยถ้งเป็นถึงองค์ชาย?” ใบหน้าหวานซีดขาวลงเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า ที่นางเป็นเช่นนี้มิใช่เพราะว่าเกรงกลัวอุ้ยเหมยถ้ง เพียงแต่ผู้มีอิทธิพลและยศศักดิ์ทำให้นางหวนนึกถึงความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตกับตระกูลหยวนซึ่งนางกับบิดาหนีจากมา แต่ดูท่าชายหนุ่มจะตีความหมายไปอีกทาง “ไม่ต้องห่วง ศิษย์พี่สามผู้นี้จะปกป้องเจ้าเอง” เขาเอ่ยพลางตบไหล่นางเบาๆ อย่างปลอบประโลม “เอาละ ไว้ข้าจะทยอยเล่าเรื่องต่างๆ ให้เจ้าฟังระหว่างทาง” ผิงจวินเหมือนจะตัดสินใจได้แล้วว่าเขาจะพานางลงจากเขาไปด้วยกันให้ได้ หยวนจื่ออี๋พยายามขืนแรงเขา แต่กลับพบว่ามันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เรี่ยวแรงของสตรีที่อายุน้อยกว่ามีหรือจะสู้บุรุษวัยหนุ่มได้ เพียงแค่เขาออกแรงเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ขาของนางก็แทบจะทรุดฮวบลงบนพื้น เท่านั้นยังไม่พอ กระบี่ ‘วารินพิพากษ์’ ในมือของนางยังสั่นระริกประหนึ่งว่ากำลังหัวเราะเยาะ ช่างให้ความรู้สึกที่... น่าขนลุกดีจริงๆ เด็กหญิงคิดพลางเอื้อมมือเข้าไปสัมผัสถุงผ้าซึ่งบรรจุผ้ายันต์ที่เหวยเซียวเคยให้ไว้เมื่อหลายปีก่อน ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่ามันยังอยู่ สองเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้าตามแรงดันของชายหนุ่มซึ่งดูสนุกกับการพูดคุยอยู่ฝ่ายเดียว “ก่อนอื่นเลย เรื่องท่านอาจารย์ของเรา ก่อนหน้านี้ข้าได้ข่าวมาว่าท่านเป็น...” เสียงทุ้มของชายหนุ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ขณะที่ร่างของทั้งสองถูกความมืดของรัตติกาลกลืนหายไปในที่สุด ท้องฟ้าสีน้ำเงินถูกแสงแรกแห่งยามเช้าย้อมกลายเป็นสีแสด เมฆาใหญ่น้อยเรืองแสงสีชมพูอ่อน ไอแดดอ่อนละมุนสาดส่องลงใต้หล้าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นวันใหม่ ศิษย์นักพรตแห่งสำนักเมฆาเรืองต่างพากันตื่นขึ้นจากการหลับใหล แตกต่างจากกลุ่มคนบางคนซึ่งมิได้นอนพักผ่อนเลยตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง ภายในตำหนักตัดอาลัยบรรยากาศมืดครึ้มน่าอึดอัด ทันทีที่อาจารย์ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเดินทางกลับมาถึงห้องรับแขกของตำหนัก ท่านเจ้าสำนักและอาจารย์หญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังเข้าญาณบำเพ็ญตนก็ลืมตาขึ้น “เป็นเช่นไรบ้าง” น้ำเสียงของตงฟางฉุนหยาราบเรียบไร้อารมณ์เหมือนเช่นเคย ซวีจ่างทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะพร้อมกับเผยสีหน้าหนักใจออกมา “เป็นจริงดังคาด ทั้งหยวนจื่ออี๋กับผิงจวินล้วนไม่อยู่ในสำนัก” “ต้องเป็นผิงจวินแน่ๆ เขาต้องเป็นคนพาตัวหยวนจื่ออี๋ไป” เจียม่าน อาจารย์หญิงวัยกลางคนประจำตำหนักหนึ่งลิขิตเผยความเหนื่อยหน่ายออกมาทางแววตา “เล่นอะไรพิเรนทร์ไม่รู้จักแยกแยะ เป็นถึงศิษย์ของท่านเจ้าสำนักแต่ยังทำตัวเหลวไหล ตนเองฝ่าฝืนกฎไม่พอ ยังลากผู้อื่นไปเสื่อมเสียด้วย” ซวีจ่าง อาจารย์ประจำตำหนักไร้กิเลสทอดถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง “ศิษย์เอกผิงจวินมีความผิดจริง” เจียม่านพยักหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะเบือนสายตาไปยังชายหนุ่มผิวสีเข้มที่ยังคงวางท่านิ่งเฉย “ท่านเจ้าสำนัก ผิงจวินกลับมาครานี้ ท่านต้องสั่งสอนให้หนัก” ศิษย์ทั้งสองคนที่หายไปล้วนเป็นศิษย์เอกของท่านเจ้าสำนัก แม้ไม่อยากหักหน้าแต่ก็ไม่อาจปล่อยผ่าน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีแก่ศิษย์คนอื่น และความศักดิ์สิทธิ์ของกฎเกณฑ์แห่งสำนักเมฆาเรืองก็จะเสื่อมลง พวกเขารักษาชื่อเสียงอันดีงามมาหลายปี จะปล่อยให้เด็กไม่กี่คนมาทำลายมันได้อย่างไร ช่างเหลวไหลสิ้นดี! “อาจารย์เจีย ผู้ที่ท่านกำลังขอให้ท่านเจ้าสำนักลงโทษคือหลานชายของท่านเอง” “กฎย่อมต้องเป็นไปตามกฎ” สีหน้าของหญิงวัยกลางคนยังคงไม่แปรเปลี่ยน ซวีจ่างอ้าปากคล้ายอยากกล่าวบางสิ่ง ทว่าบทสนทนาก็เป็นอันต้องหยุดลงชั่วคราวเมื่อเสียงทางด้านนอกขัดจังหวะขึ้นมา “เรียนท่านอาจารย์ ข้าเหวยเซียว...” “ข้า...อุ้ยเหมยถ้ง” ศิษย์ทั้งสองซึ่งยืนอยู่ด้านนอกประสานมือไว้เบื้องหน้าก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้ายพร้อมกัน “ขอเข้าพบ” ตงฟางฉุนหยาสบตาอาจารย์อีกสองท่าน แม้นไม่กล่าวสิ่งใดก็เป็นที่ทราบกันดีว่าท่านเจ้าสำนักต้องการเวลากับศิษย์เอกตามลำพัง “หวังว่าท่านเจ้าสำนักจะไตร่ตรองให้ดี” เจียม่านกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง เหวยเซียวกับอุ้ยเหมยถ้งยืนรออยู่ด้านนอก ครั้นเห็นผู้อาวุโสทั้งสองเดินออกมาก็พากันหลีกทางให้พร้อมกับโค้งศีรษะอย่างให้เกียรติ เมื่อปราศจากคนนอก ผู้เป็นเจ้าของตำหนักก็เรียกศิษย์ทั้งสองเข้าพบ “คารวะท่านอาจารย์” ผู้ที่นั่งอยู่บนตั่งสูงโบกมือหนึ่งครั้งพร้อมกับกล่าวอนุญาตให้พวกเขานั่งลง เมื่อเรียบร้อยจึงค่อยซักถาม “พวกเจ้าคงทราบเรื่องแล้ว” “ศิษย์ด้านนอกต่างก็พูดถึงเรื่องศิษย์น้องทั้งสองหนีลงจากเขา” อุ้ยเหมยถ้งเป็นผู้ตอบ “ท่านอาจารย์ เป็นเพราะข้าดูแลศิษย์น้องทั้งสองไม่ดี...” เหวยเซียวก้มหน้าลงต่ำ พร้อมที่จะรับโทษ ตงฟางฉุนหยาส่ายหน้าเป็นคำตอบ “คนจะฝ่าฝืนกฎก็เป็นที่ตัวเขา มิใช่ตัวเจ้า” บุรุษตาบอดเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าดีกว่าเดิมเล็กน้อย แต่หัวคิ้วที่กดเข้าหากันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขามิได้คลายกังวลเสียทีเดียว “ท่านอาจารย์ ในเมื่อผู้ก่อเรื่องคือคนของตำหนักตัดอาลัย ก็ขอให้คนจากตำหนักตัดอาลัยไปตามพวกเขากลับมาเถิด” สิ่งที่เขาสื่อคือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาและศิษย์น้องรองเป็นคนไปตามทั้งสองกลับมา อุ้ยเหมยถ้งพยักหน้าน้อยๆ “เมื่อคืนนี้มีการจัดงานเทศกาลเล็กๆ ที่หมู่บ้านตรงตีนเขา คาดว่าศิษย์น้องสามคงอยากไปเที่ยวเล่นจึงได้ชักชวนหรือหาวิธีหลอกล่อให้ศิษย์น้องเล็กไปเป็นเพื่อน” เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน จำเป็นต้องรีบตามพวกเขากลับมาก่อนที่มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปมากกว่านี้ สำนักเมฆาเรืองเปรียบเสมือนเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ลูกศิษย์เปรียบเสมือนบุตรของอาจารย์ หากบุตรของท่านเจ้าเมืองฝ่าฝืนกฎ เช่นนั้นความน่าเกรงขามในการปกครองผู้อื่นยังจะหลงเหลืออยู่อีกหรือ? ท่านเจ้าสำนักไม่ลังเลเลยที่จะตอบรับการเสนอตัวของพวกเขา “พบคนหรือไม่ ให้รีบกลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน” “ขอรับ” ชายหนุ่มทั้งสองรับคำสั่งพร้อมกันก่อนจะพากันลุกขึ้น ทว่ายังไม่ทันที่ร่างของทั้งสองจะก้าวไปถึงประตู ศิษย์คนรองก็หมุนกายกลับมาพร้อมกับค้อมศีรษะลงต่ำ “ท่านอาจารย์ ก่อนที่ศิษย์จะไป ศิษย์มีบางอย่าง...อยากเรียนถามท่าน” ตงฟางฉุนหยามีประกายประหลาดใจวาดผ่านดวงตา หากพริบตาเดียวก็จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “อนุญาต” “ศิษย์น้องเล็ก...” ผู้ถามเว้นจังหวะก่อนจะกำมือแน่น “หยวนจื่ออี๋ เขาเป็นอะไรกันแน่” สายเลือดมังกรที่ไหลเวียนอยู่ในร่างส่งผลให้เขาหยิ่งทะนง ไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดว่าควรเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นนอกจากตนเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะถามอย่างตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้ ชายหนุ่มบนพื้นยกระดับถอนหายใจแผ่วเบา “คนที่มีธาตุหยางรุนแรงคนหนึ่ง ข้ารับตัวเขามาจากสำนักหัตถ์สวรรค์” “ท่านอาจารย์” แววตาของอุ้ยเหมยถ้งจริงจังมากยิ่งขึ้น “ข้าต้องการความจริง” ผู้เป็นอาจารย์ชะงัก คราวนี้เขาลุกยืนจากเบาะที่นั่งพร้อมกับใช้กำลังภายในที่มีอยู่ สายลมวูบใหญ่พัดหวนอยู่ในห้องที่ปิดตาย ชายหนุ่มทั้งสองยังมิทันได้หายใจเข้าออกก็พบว่าผู้อาวุโสยืนอยู่เบื้องหน้าเสียแล้ว “อุ้ยเหมยถ้ง เจ้า...ฝ่าฝืนกฎโดยใช้พลังกับศิษย์ร่วมสำนัก?” น้ำเสียงของท่านอาจารย์ที่มักจะเฉยเมยไร้อารมณ์ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง “ท่านอาจารย์!” อุ้ยเหมยถ้งก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวพร้อมกับค้อมศีรษะจนหน้าผากแทบจะชนพื้น “สิ่งที่ศิษย์ทำถือว่าไม่ผิด” ผู้ฟังสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ที่ผ่านมาอุ้ยเหมยถ้งกับผิงจวินรับมือยาก และทั้งคู่ก็มีแบบฉบับความดื้อดึงและความภาคภูมิใจเป็นของตนเอง หากสลัดอัตตาเหล่านี้ไปไม่ได้ ก็หมายความว่าหนทางสู่ความเป็นเซียนยังห่างไกลจากพวกเขามากนัก ตงฟางฉุนหยาคิดพลางเบือนสายตาไปยังเหวยเซียว พบว่าเขายืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ถามไม่ตอบ ไม่มีส่วนร่วม การวางตัวช่างเหมาะสมกับการเป็นศิษย์เอกคนแรกที่เขาภาคภูมิใจ ชายหนุ่มผิวสีเข้มเบือนสายตากลับมายังองค์ชายแปดอีกครั้ง “ถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังคิดจะเถียง...” “หยวนจื่ออี๋...นางไม่มีอดีตชาติ” เสียงของอุ้ยเหมยถ้งสั่นเล็กน้อย มันกำลังดังสะท้อนก้องไปมาอยู่ภายในตำหนักใหญ่อันเวิ้งว้าง “ในเมื่อไม่มีอดีตชาติให้เห็น ก็ถือว่าข้ามิได้ทำผิดกฎ” “ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร” “นางมาจากอนาคต” ความเงียบครั้งใหญ่กว่าเมื่อครู่เข้ามาปกคลุมห้องขนาดเล็ก ครานี้แม้แต่เหวยเซียวผู้สงบนิ่งอยู่เป็นนิจนั้นยังเริ่มรักษาท่าทีไว้ไม่อยู่ เขารู้ว่าหยวนจื่ออี๋นั้นพิเศษ แต่ที่ผ่านมาไม่มีมนุษย์คนใดไม่มีอดีตชาติ หมายความว่าอย่างไรที่ศิษย์น้องเล็กไม่มีอดีตชาติ? อย่าว่าแต่มนุษย์เลย... แม้แต่เทพเซียนก็ยังต้องมีอดีตชาติ แล้วหยวนจื่ออี๋นาง... เป็นอะไรกันแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD