ศิษย์คนสุดท้าย [ต้น]

1932 Words
สิบเอ็ด ศิษย์คนสุดท้าย เทพ เซียน มาร ปีศาจ และมนุษย์เดินดิน เหมือนกันอย่างไร ต่างกันอย่างไร จวบจนกระทั่งวันนี้ นางก็มิสามารถหาคำจำแนกพวกเขาได้อย่างแน่ชัด  สามปีกับอีกหกเดือนต่อมา ภูเขานิทราถือเป็นจุดสูงสุดในแคว้นเล่อ ตั้งอย่างโดดเดี่ยวกลางผืนป่าดงดิบ ห้อมและล้อมด้วยทะเลเมฆา ผู้อยู่เบื้องล่างไม่เห็นด้านบน ผู้อยู่ด้านบนไม่เห็นเบื้องล่าง คล้ายทั้งสองแห่งได้ตัดขาดแยกออกเป็นสองโลกโดยแท้จริง ว่ากันว่านอกจากเขาลูกนี้จะเป็นที่ตั้งของสำนักพรตเมฆาเรืองแล้ว มันยังเป็นสถานที่พำนักของเหล่าเซียนผู้สูงส่งทั้งหลาย ความสูงของมันสามารถเอื้อมตะวันคว้าจันทรา ใกล้กับสวรรค์สิบหกชั้นฟ้ามากที่สุดในสิบห้าชั้นดิน สำนักพรตอันดับหนึ่งในใต้หล้าเดิมทีเงียบสงบประหนึ่งไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ เนื้อที่กว้างใหญ่เปรียบเสมือนเมืองขนาดเล็กซึ่งแบ่งออกเป็นเก้าตำหนักอย่างชัดเจน เก้าตำหนักที่ว่านี้คือตำหนักหอประชุมหนึ่ง และที่เหลือคือสถานที่พำนักของอาจารย์ทั้งแปดท่านซึ่งจะอาศัยอยู่ร่วมกับบรรดาศิษย์เอกของตน และเมื่อผู้เป็นอาจารย์เห็นชอบว่าศิษย์ผู้นั้นแกร่งกล้าพอแล้วก็จะอนุญาตให้มีเรือนเล็กเป็นของตนเองในอาณาบริเวณตำหนักเดิมเพื่อให้สะดวกต่อการฝึกฝนหรือรับศิษย์เพิ่มมากขึ้น ทว่าวันนี้...สำนักเมฆาเรืองกลับดูคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ข่าวการรับศิษย์ ‘คนสุดท้าย’ ของท่านเจ้าสำนักแพร่สะพัดไปจนทั่วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว นับว่าก่อนที่ศิษย์ปริศนามิทราบที่มาผู้นั้นจะปรากฏตัวเสียอีก ด้วยเหตุนี้ศิษย์รวมถึงอาจารย์อื่นๆ หลายต่อหลายคนจึงตั้งมั่นรอคอย อยากรู้อยากเห็นยิ่งนักว่าผู้ใดกันที่จะได้เป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านตงฟางฉุนหยา ก็แหม...ศิษย์ที่แล้วมาของท่านเจ้าสำนักใช่ว่าธรรมดาเสียเมื่อไร ศิษย์คนแรก เหวยเซียว เด็กหนุ่มกำพร้าซึ่งมีดวงตามืดบอด หากก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเขา บัดนี้พลังในการชำระล้างไอมารและปีศาจของเขาเทียบเท่านักพรตชั้นครูซึ่งประจำการอยู่ในวังหลวงทั้งที่เพิ่งอายุครบรอบยี่สิบปีไปเมื่อสองเดือนก่อน ศิษย์คนที่สอง อุ้ยเหมยถ้ง องค์ชายลำดับที่แปดจากแคว้นเยว่ นิสัยหยิ่งทรนงและรักความสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับของผู้มีสายเลือดมังกร ทว่าด้วยความสามารถพิเศษที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ชายหนุ่มอายุสิบแปดปีผู้นี้จึงสำเร็จญาณจนสามารถมองเห็นความเป็นมาของผู้อื่นในชาติก่อน เนื่องจากได้รับพลังจากกระจกส่องวิญญาณซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธของเทพเอ้อหลัง[1] ส่วนศิษย์คนที่สาม วิชาปราบมารแก่กล้าเพราะได้รับพรจากเทพเหล่ย์กง[2] สามารถบันดาลสายฟ้าเพื่อกำจัดหมู่มาร แต่ด้วยนิสัยรักสนุกไม่จริงจัง จึงทำให้อาจารย์นักพรตท่านอื่นๆ ปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่บ่อยครั้ง หากถึงอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ผิงจวิน’ มีพลังที่จะสามารถช่วยเหลือใต้หล้าจากความวุ่นวายได้ เดิมทีศิษย์เอกทั้งสามมักจะเก็บตัวฝึกฝนปลีกวิเวกอยู่ตามลำพัง หลายปีที่ผ่านมาศิษย์ร่วมสำนักแทบไม่เคยเห็นพวกเขาปรากฏตัวพร้อมกันมาก่อน เหวยเซียวกับผิงจวินนั้นเคยเห็นอยู่บ้างนานๆ ครั้ง แต่กับอุ้ยเหมยถ้งนี่ไม่เคยมีเลยแม้แต่หนเดียว ทว่าวันนี้ยามเฉิน[3] ศิษย์เอกทั้งสามของท่านเจ้าสำนักตงฟางฉุนหยากลับปรากฏตัวที่หน้าประตูหน้าสำนักโดยพร้อมเพรียงกัน ท่ามกลางสายตาตื่นเต้นของศิษย์นักพรตในชุดสีกรมท่าทั้งหลาย และในที่สุด ผู้ที่พวกเขาตั้งตารอคอยก็มาถึง... อาชาสีน้ำนมสะอาดบริสุทธิ์ตัดกับใบไม้แห้งสีน้ำตาลและเหลืองอ่อนของฤดูใบไม้ร่วง ช่างเป็นภาพที่งดงามประดุจหลงเข้ามาอยู่ในโลกของเทพนิยาย บนหลังของมันปรากฏร่างของเด็กชายร่างสูง เรือนผมสีเปลือกไม้ยาวประบ่าโบกสะบัดประดุจกิ่งหลิวต้องลม คลอเคลียใบหน้ารูปไข่โดดเด่นโดยเฉพาะจมูกโด่งสวยได้รูป เสียแต่ว่าบนใบหน้ามีรอยเปื้อนจึงทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก หยวนจื่ออี๋บัดนี้เติบโตย่างเข้าวัยเก้าขวบ นัยน์ตาสีชากระจ่างใสสงบนิ่งกวาดตามองผู้ที่ยืนออกันอยู่หลังประตูทางเข้าสำนักพรต ก่อนที่เจ้าตัวจะแหงนหน้ามองป้ายสำนักซึ่งแกะสลักบนหินอ่อนและวาดด้วยหมึกทองคำเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง “สำนักเมฆาเรือง” เสียงเล็กพึมพำขณะที่เจ้าตัวตัดสินใจกระโดดลงมาจากหลังม้าซึ่งยังโตไม่เต็มที่นัก ครั้นสบสายตาผู้คนทั้งหลายที่จ้องมองมาอย่างสำรวจก็ยกมือประสานไว้เบื้องหน้า “คารวะท่านนักพรตเหวยและท่านนักพรตทั้งหลาย” เด็กหญิงซึ่งปลอมตัวเป็นบุรุษได้อย่างแนบเนียนเนื่องจากพลังหยางที่เข้มข้นกล่าวทักทายอย่างสุภาพ นางรู้จักเพียงเหวยเซียวในบรรดาคนทั้งหมดในที่นี้ และดูเหมือนเขาจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรี ไม่สิ...คาดว่าน่าจะมีท่านเจ้าสำนักตงฟางอีกคนหนึ่ง “เจ้ามาตรงเวลาพอดี” นักพรตหนุ่มผู้ตาบอดสาวเท้ามาเบื้องหน้าก้าวหนึ่ง แม้ไม่สามารถเห็นใบหน้าค่าตาของนางได้อย่างชัดเจน แต่ก็มั่นใจว่าเด็กหญิงคงแต่งกายเป็นชายอย่างที่เขาเคยนัดแนะมา “อาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่” หยวนจื่ออี๋พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะหันไปสบสายตาศิษย์เอกลำดับที่สองและสามอย่างนอบน้อม ซึ่งมันก็ไม่แปลกถ้าหากว่าอุ้ยเหมยถ้งจะเบือนหน้าหนีทันที “รอดูอะไรกัน ไม่มีงานทำกันหรืออย่างไร” เสียงเข้มเจ้าระเบียบขององค์ชายแห่งแคว้นเยว่ส่งผลให้ศิษย์นักพรตทั้งหลายพากันสะดุ้งโหยง “ขะ...ขอรับ! / จะ...เจ้าค่ะ!” ผู้ที่ยศต่ำกว่ารีบตอบกลับเลิ่กลั่ก ก่อนจะพากันสลายตัวประหนึ่งผึ้งแตกรัง เด็กหญิงในคราบเด็กชายพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นหัวเราะ แต่สุดท้ายการกระทำของนางก็อยู่ในสายตาของผิงจวิน ชายหนุ่มวัยสิบห้าปีเข้าพอดี “เจ้าคือหยวนจื่ออี๋?” เจ้าของชื่อเบือนสายตาไปยังผู้เรียก พบว่าชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าทรงกลมดูไม่มีพิษมีภัย แววตาแฝงความทะเล้นไว้อย่างเปิดเผย มัน...ทำให้ภาพของใครบางคนผุดขึ้นมาในความคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบสลัดมันทิ้งอย่างรวดเร็วเมื่อผิงจวินสาวเท้าเข้ามาหา “ขอรับ เป็นข้าเอง” ผิงจวินพยักหน้าพลางยกมือขึ้นมาทาบความสูงของนางซึ่งเท่ากับหัวไหล่ของเขา “นี่เจ้าอายุเท่าไหร่” “เก้าขวบ” “เก้าขวบก็สูงถึงเพียงนี้แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้กับอุ้ยเหมยถ้ง “ประเดี๋ยวอีกหน่อยก็คงสูงกว่าศิษย์พี่รองแน่” ผู้ถูกพาดพิงใบหน้าดำคล้ำ “พูดจาเหลวไหลไร้สาระ” เจ้าตัวกล่าวจบก็หมุนกายหันหลังก้าวนำพวกเขาไปทันที ปล่อยให้ผิงจวินหัวเราะร่าขณะที่เหวยเซียวถอนหายใจน้อยๆ อุ้ยเหมยถ้งกับผิงจวินเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ ต่างฝ่ายต่างได้รับพลังจากเทพ คนหนึ่งจริงจังเข้มงวด อีกคนลื่นไหลไม่ยึดติด เปรียบเสมือนไม้เบื่อไม้เมากันมาช้านาน เหวยเซียวก็ได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผิงจวินคงจะไม่ดึงหยวนจื่ออี๋เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องระหว่างพวกเขา เพราะว่าลำพังเพียงตัวนางเองก็คงมีเรื่องให้กังวลมากพออยู่แล้ว ไวเท่าความคิด ศิษย์เอกอันดับหนึ่งของท่านเจ้าสำนักก็เดินเข้ามาหาหยวนจื่ออี๋พร้อมกับผายมือเบิกทางให้ “เชิญทางนี้” เจ้าของใบหน้ามอมแมมพยักหน้าก่อนจะเดินไปปลดสัมภาระที่ห้อยอยู่ข้างท้องม้าขึ้นมาสะพายหลัง หลายปีมานี้นางใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กผู้ชาย แม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ก็น้อยชิ้น มีเพียงถุงผ้าและย่ามใส่อาหารแห้ง ครั้นเตรียมตัวเสร็จแล้วคนทั้งสี่ก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุด ตำหนักตัดอาลัย สิ่งปลูกสร้างเบื้องหน้างดงามอลังการกว่าที่เด็กหญิงเคยพานพบมาทั้งชีวิต ตำหนักวิจิตรตระการสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลตั้งอยู่ใจกลางสระขนาดใหญ่ โอบล้อมไปด้วยทัศนียภาพของทิวเขาและพงไพรหลากสีสันของฤดูใบไม้ร่วง แสงแดดหักเหเกิดเป็นภาพสะท้อนลงบนผืนน้ำก่อนที่จะถูกฝูงมัจฉาสร้างรอยกระเพื่อมไหวดั่งระลอกคลื่น ผู้มาเยือนตำหนักตัดอาลัยเป็นครั้งแรกเผลอกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นหันไปเห็นว่าศิษย์เอกทั้งสามของท่านเจ้าสำนักเรียกกระบี่ประจำตัวออกมาจากความว่างเปล่า ก็ลอบกลืนน้ำลายหนึ่งครั้ง “หยวนจื่ออี๋” เหวยเซียวซึ่งก้าวขึ้นไปยืนบนกระบี่สีเงินยวงยื่นมือมาให้นางอย่างเป็นมิตร “ข้าไม่เป็นไร” นางตอบในขณะที่กวาดตามองซ้ายขวา เมื่อเห็นสิ่งที่ต้องการก็ตรงเข้าไปหยิบท่อนไม้ยาวเท่าคน หนาเท่าท่อนแขนที่หักโค่นแล้วขึ้นมา “สระนี้ลึกมากหรือไม่” “ไม่มากเท่าไหร่” ถามเหวยเซียว ทว่าผิงจวินกลับเป็นผู้ตอบ “เจ้าเด็กใหม่ คิดอยากอวดวิชาหรืออย่างไร” ‘ไม่ได้อยากอวดวิชา แต่กลัวความสูง’ หยวนจื่ออี๋กรอกตาโอดครวญอยู่ในใจ ให้พูดออกไปก็กลัวจะเสียหน้า สู้ไม่พูดแก้ตัวเลยเสียยังดีกว่า อุ้ยเหมยถ้งเค้นหัวเราะออกมาทีหนึ่ง ชายหนุ่มขี่กระบี่แกะสลักลายพยัคฆ์เหินเมฆามุ่งหน้าไปยังตำหนักตัดอาลัยเป็นคนแรก ผิงจวินยักไหล่ขี่กระบี่ตามไป ปล่อยให้เหวยเซียวรั้งท้ายอยู่กับหยวนจื่ออี๋ “ท่านนักพรตเหวย ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้ามีเหตุจำเป็นบางอย่างจึงมิอาจรับไมตรีจิตจากท่านได้” “อย่ากังวลเลย” ใบหน้าของชายหนุ่มราบเรียบไร้อารมณ์ “ไม่ได้พบกันหลายปี เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” [1] เทพเอ้อหลัง (***) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เทพสามตา เป็นหนึ่งในแม่ทัพสวรรค์ มีศักดิ์เป็นหลานของเง็กเซียนฮ่องเต้ เดิมทีเทพเอ้อหลังเป็นลูกครึ่งมนุษย์ ซึ่งมารดาถูกคุมขังอยู่เขาหัวซาน เขาใช้พลังผ่าเขาออกเป็นสองท่อนจึงถูกทำโทษให้ทำความดีชดใช้ความผิดเพื่อหวังจะให้มารดาถูกปล่อยออกมา ด้วยความดีที่เขาทำส่งผลให้มนุษย์บูชาสรรเสริญ ทำให้กลายเป็นเซียนบนสวรรค์ อาวุธประจำกายคือมีดสามปลายและกระจกส่องวิญญาณสามารถรู้ชาติกำเนิดของผู้ที่ส่อง สามารถแปลงกายได้ 72 อย่าง และยังมีเห่าฟ้า สุนัขสวรรค์เป็นสัตว์เลี้ยงคู่กาย [2] เหล่ย์กง (**) คือเทพเจ้าสายฟ้าตามความเชื่อของจีน เป็นผู้บันดาลสายฝน หนึ่งในห้าแม่ทัพสวรรค์ประจำทิศตะวันออก มีสีเขียวเป็นสีประจำกองทัพ ควบคุมกำลังทัพสวรรค์ 99,000 นาย [3] ยามเฉิน คือเวลาประมาณ 07.00 น. – 08.59 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD