ค่ำคืนนั้นฟ้าดินเกิดอาเพศ บนยอดเขาพ้นโลกาซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักแพทย์หัตถ์สวรรค์มีหิมะตกในฤดูกู่หยู่...
เมฆาเทาขุ่นปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า ปุยนุ่นสีขาวโปรยปรายลงจากท้องนภาผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอ้ารับลมหนาว ทันทีที่ศิษย์สำนักแพทย์ผู้น้อยส่งสองพ่อลูกถึงที่พักก็ร่ำลากลับไป หยวนจื่ออี๋รีบเข้าไปปิดบานหน้าต่างขณะมองกองไฟในเตาร้อนกลางเรือนอย่างหม่นหมอง
ฝ่ายอาจารย์หนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะผ้าเบื้องหน้าเตาร้อนอย่างเชื่องช้า เรือนผมที่เคยดำสนิทเริ่มแซมด้วยความหงอกขาวเป็นหย่อมๆ
ภายในเวลาไม่นานคนหนุ่มกลับดูแก่ลงถึงเพียงนี้...
“อี้เอ๋อร์ นั่งลงสิ” หยวนเสียนพยายามควบคุมน้ำเสียงมิให้สั่น หากความหนาวที่กัดกินไปจนถึงขั้วกระดูกก็ส่งผลให้มีเสียงฟันกระทบกัน
อย่าว่าแต่บิดาเลย แม้แต่นางยังรู้สึกว่ามือเย็นยะเยือกจนไร้ความรู้สึก
พวกนางไม่ชินกับอากาศหนาวจัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาเจอเยี่ยงนี้ก็ยิ่งยากลำบากเข้าไปใหญ่
ผู้คิดทิ้งตัวนั่งลงข้างกายบิดา เหลือบมองเท้าของตนเองที่ถูกรักษาจนหายขาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ แอบครุ่นคิดในใจว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่นางไม่เคยรู้และไม่เคยเห็น
จู่ๆ หยวนจื่ออี๋ก็มีความรู้สึกกระหายอยากไปสัมผัสสิ่งแปลกใหม่เหล่านั้น ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของบิดา
ยามนี้สิ่งสำคัญสำหรับนางมากที่สุดคือบิดา จะถูกสิ่งอื่นชักจูงไม่ได้เป็นอันขาด!
“หลังจากนี้เป็นต้นไป ข้าจะตั้งใจถ่ายทอดความรู้ทุกอย่างที่มีให้แก่เจ้า”
ผู้เป็นบุตรีกำมือที่วางลงบนตักแน่นขึ้นและแน่นขึ้น
นางยังไม่อยากยอมรับ นางไม่อยากยอมรับ!
“ท่านพ่อ...”
ชายหนุ่มดึงตัวบุตรสาวเข้าสู่อ้อมกอด ใช้เสียงอันแหบแห้งอ่อนแรงปลอบประโลมเด็กน้อยผู้อ่อนเยาว์ “ทุกสรรพสิ่งมีเกิดย่อมมีดับ บุปผามีเบ่งบานย่อมมีวันร่วงโรย แต่ว่ามนุษย์ทุกคน...ยามมีชีวิตอยู่ล้วนอยู่ด้วยความหวัง”
ร่างเล็กกอดกระชับบิดาตอบ ซึมซับความอบอุ่นจากร่างภายใต้ผ้าคลุมขนสัตว์อย่างโหยหา
“และเมื่อพวกเขาจากไปก็ได้ทิ้งความหวังนั้นให้แก่คนที่ยังอยู่ ตราบใดที่เรายังไม่หลงลืมความหวังนั้น ก็หมายความว่าพวกเขาจะอยู่กับเราไปตลอด...” หยวนเสียนชี้นิ้วที่ซีดขาวของตนเองไปยังตำแหน่งหัวใจของเด็กน้อย “ในนี้”
เด็กน้อยยกมือขึ้นมาทาบลงหน้าอกข้างซ้ายของตนเองขณะที่กลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ “แล้วความหวังของท่านพ่อคืออะไรเจ้าคะ”
“ความหวังของพ่อคือเจ้าต้องปลอดภัย”
บุตรสาวพูดอะไรไม่ออกเนื่องจากเสียงสะอื้นได้แย่งลมหายใจของนางไปทั้งหมด
“เปิดหน้าต่างเถิด” หยวนเสียนคลี่ยิ้มอบอุ่นพร้อมกับใช้มือตบลงบนแผ่นหลังเล็กเบาๆ “เรามานั่งผิงไฟชมหิมะกัน”
หยวนจื่ออี๋พยักหน้ารับคำของเขา ลุกยืนจากเบาะไปเปิดบานหน้าต่างออก ความรู้สึกแรกคือความหนาวสะท้าน ก่อนจะตามมาด้วยความด้านชาของใบหน้า ย้ำความยะเยือกลงบนน้ำตาที่หลั่งริน ทว่าหิมะที่ห่มผืนป่า อาคาร และผืนดินทางด้านนอกกลับสวยงามจนแทบลืมหายใจ
ทุกสิ่งที่จมอยู่ใต้กองหิมะแลดูสะอาดบริสุทธิ์ ชวนให้ผู้มองรู้สึกสงบคล้ายปลงตกได้อีกขั้นหนึ่ง
และสิ่งที่ดังแทรกความสงัดที่เห็นอยู่เบื้องหน้า คือเสียงของหยวนเสียนที่ซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของนาง
“จำไว้นะอี้เอ๋อร์ ความหวังของพ่อคือเจ้าต้องปลอดภัย...”
ใจกลางป่าโปร่งก้ำกึ่งระหว่างเขตแดนแคว้นเฉาและแคว้นเยว่เงียบสงบไร้ศึกสงคราม น้ำตกขนาดใหญ่มอบความฉ่ำเย็นให้แก่สรรพชีวิต ความราบรื่นและงดงามซึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์อันอัศจรรย์ของธรรมชาติถูกเก็บไว้ลับตาห่างไกลจากผู้คน เว้นเสียแต่เจ้าของเรือนไม้หลังเล็กริมน้ำตกที่ปลีกวิเวกออกห่างจากความวุ่นวายมาอยู่ตามลำพัง
อันที่จริงหากจะพูดให้ถูกคือ ‘เกือบ’ จะอยู่ตามลำพัง
เช้าตรู่ต้นฤดูคิมหันต์ แสงแดดร้อนแรงนัก ร่างในอาภรณ์สีเทาขุ่นห่มทับด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าโปร่งใสเปิดบานหน้าต่างออกเพื่อรับอากาศสดชื่น นึกไม่ถึงว่าจะพบเงาร่างสีขาวนั่งอยู่ตรงโขดหินไม่ไกล
เจ้าเรือนคุ้นชินกับการมาเยือนโดยไม่บอกกล่าวของสหายมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้ใบหน้าราบเรียบจึงมิได้เผยความประหลาดใจแต่อย่างใด
“เจ้ายังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่หรือ?”
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางในร่างมนุษย์นั่งอยู่ริมน้ำตกโดยไม่หวั่นไหวต่อความหนาวเย็นของละอองน้ำที่สาดกระทบอยู่เนืองๆ
“ข้าเพียงแค่เสียดาย...ที่มิได้เป็นคนช่วยเหลือ ‘นาง’ ในครานั้น” หรงเสี่ยกล่าวเสียงแผ่วขณะที่เบือนใบหน้ากลับมายังจิ้งอวิ๋น เรือนผมสีเงินสลวยของเขาสะท้อนกับแสงตะวันจนเกิดประกายระยิบระยับ ประกอบกับชุดสีขาวยิ่งทำให้ปีศาจในร่างมนุษย์ตนนี้ดูราวกับแสงสว่างขุมหนึ่ง
‘นาง’ ที่ปีศาจหนุ่มรูปงามกล่าวถึงคงหนีไม่พ้นเด็กหญิงในคำทำนาย...หยวนจื่ออี๋
“เจ้าบอกเองมิใช่รึว่าเจ้าต้องรับมือกับเหล่าปีศาจที่คลุ้มคลั่งเพราะโลหิตของนาง” จิ้งอวิ๋นเอ่ยพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะขนแกะสีขาวสะอาดอย่างสง่างามตรงระเบียงของเรือนไม้ แม้อายุจะร่วงโรยแต่ด้วยการบำเพ็ญเพียรและฝึกฝนสายตำหนักหัตถ์ปราณทิพย์จึงมีพละกำลังและแข็งแรงดีอยู่ “เจ้าไม่ใช่ประเภทที่จะนั่งเสียใจภายหลังเยี่ยงนี้”
บัดนี้หยวนจื่ออี๋คงถูกส่งต่อจากสำนักหัตถ์สวรรค์ไปยังสำนักเมฆาเรืองแล้ว ภาระหน้าที่ของพวกเขาที่จะดูแลนางสิ้นสุดลงนับตั้งแต่อี้โหลว ท่านเจ้าสำนักเป็นผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
ทีนี้ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่าโชคชะตาของสตรีที่อาจเป็น ‘รางวัล’ หรือ ‘คำสาป’ ต่อผืนพิภพแห่งนี้จะเป็นเช่นไร
หรงเสี่ยไม่ตอบโต้ถ้อยคำอันเรียบเรื่อยของแพทย์ผู้อาวุโสในทันที เพราะกำลังจมอยู่ในห้วงคิดของตนเองตามลำพัง
แท้จริงแล้วสาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่เขาหลีกเลี่ยงการพบเด็กหญิงนั้นมีเหตุผลอื่น
เป็นเพราะเขาไม่อยาก...เห็นสีหน้าของนาง เมื่อนางรู้ว่าบิดามีเวลาเหลืออยู่น้อยเพียงไร
“ช่วงนี้...” ใบหูสามเหลี่ยมของเจ้าของเรือนผมสีเงินลู่ลงแนบลงบนเรือนผมนุ่มสลวย ดวงหน้าอันไร้ที่ติเจือประกายหมองเศร้าอย่างไม่ปิดบัง “ซิงเอ๋อร์ของข้ากับเหลียนเอ๋อร์ของข้า บอกว่าข้าควรจะอยู่ห่างจากพวกนาง”
จิ้งอวิ๋นขยับปลายนิ้วเล็กน้อยก่อนจะวางลงบนตักดังเดิม ซิงเอ๋อร์กับเหลียนเอ๋อร์ที่หรงเสี่ยเอ่ยถึงเขาก็รู้จัก พวกนางเป็นมนุษย์ที่มีความผูกพันและสนิทสนมกับปีศาจจิ้งจอกตัวนี้ค่อนข้างมาก เรียกได้ว่าตลอดเวลาการเติบโตของพวกนางมักจะมีปีศาจจิ้งจอกตนนี้อยู่ด้วยเสมอ
แต่เขาก็ไม่แปลกใจว่าเหตุใดพวกนางทั้งสองจึงได้กล่าวเช่นนั้น
คิดว่าคนเราจะรู้สึกเช่นไรถ้าหากตนเองแก่ลงทุกวัน ในขณะที่สหายที่รู้จักกันมาเนิ่นนานยังคงเหมือนเดิม?
ไม่ใช่พวกนางหวาดกลัวต่อความตาย แต่เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของคนที่อยู่ต่อหลังจากที่พวกนางได้จากโลกนี้ไปตามกฎแห่งธรรมชาติต่างหาก
ปีนี้เหอซิงอายุคงจะย่างเข้าสี่สิบ ส่วนเฟยเหลียนที่ออกเรือนไปก็คงจะประมาณยี่สิบสาม
ศิษย์จากสำนักแพทย์หัตถ์สวรรค์หวนนึกถึงความหลังเล็กน้อยก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังท่าทีเหงาหงอยของผู้มีอายุยืนยาวมาหลายพันปี
ต่อให้เขาจะอธิบายอย่างไร หรงเสี่ยที่มักจะทำตัวเหมือนเด็กก็คงมิอาจเข้าใจเจตนารมณ์อันหวังดีของพวกนางได้อยู่ดี
จิ้งอวิ๋นมิใช่คนที่ชอบพูดเท่าไรนัก โดยเฉพาะการพูดที่ไม่เกิดประโยชน์ก็จะยิ่งอยากหลีกเลี่ยง ด้วยเหตุนี้จึงเลือกที่จะเมินเฉยพร้อมกับหลับตาเข้าสู่สมาธิอย่างเงียบงันโดยมิหวั่นต่อเสียงน้ำตกที่ได้ฟังมาหลายปีจนคุ้นชิน ปล่อยให้ปีศาจหนุ่มรูปงามน้อยอกน้อยใจอยู่ตามลำพัง
“จิ้งอวิ๋น” หรงเสี่ยหันกลับมายังสหายที่รู้จักกันมานาน ก่อนที่ใบหูจะตั้งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนัยน์ตาสีเงินตวัดไปยังธารน้ำริมน้ำตกที่อยู่ด้านนอก
“ข้าจะกินปลาให้หมดธารน้ำเลย คอยดูสิ” ชายหนุ่มกล่าวในขณะที่พวงหางทั้งเก้าตวัดพันกันยุ่งเหยิง ความเศร้าสร้อยเหงาหงอยเมื่อครู่ที่ผ่านมาจางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หรงเสี่ยก็ยังคงเป็นหรงเสี่ย
ปีศาจจิ้งจอกที่ไม่เคยจริงจังกับสิ่งใดรอบตัว และคงไม่มีอะไรในใต้หล้าที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้
จิ้งอวิ๋นคิดเช่นนั้นจริง โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว...จิตใจของปีศาจจิ้งจอกอายุหลายพันปีผู้นี้อาจจะเปลี่ยนไปจากเดิมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ‘นาง’ ก็เป็นได้