หนทางข้างหน้า [ต้น]

2137 Words
เก้า หนทางข้างหน้า ล่วงเข้าปลายยามเซิน[1] แต่เด็กน้อยผู้ถูกเจ้าปีศาจจิ้งจอกนำมาปล่อยทิ้งไว้กลับไม่สามารถพบทางออกจากป่าได้เสียที แม้ฝนจะหยุดตกไปนานแล้ว ทว่าความชื้นในอากาศยังคงอยู่ เด็กน้อยยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมออกมาทางหน้าผาก เรือนผมสีเปลือกไม้เกล้าขึ้นเป็นมวยเปียกแฉะ ไรผมหลุดลุ่ยเกลี่ยบนแก้มนวลและลำคอ สภาพจิตใจของเด็กน้อยย่ำแย่ลง อดที่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ จริงอยู่ที่การพูดจาทำร้ายจิตใจหรงเสี่ยเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่การลงโทษโดยทิ้งนางไว้กลางป่าที่ไม่คุ้นชินเยี่ยงนี้มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ! เด็กน้อยตัดพ้อในใจขณะแหงนมองท้องฟ้าซึ่งมืดลงเรื่อยๆ หมู่แมลงส่งเสียงร้อง ปักษาโผบินกลับสู่รัง หยาดน้ำบนใบไม้สะท้อนแสงแดดสดของสุริยันที่ใกล้ลาลับ หวนให้นางนึกถึงอ้อมกอดของบิดาขึ้นมาจับใจ หากนางกลับไปไม่ทันมื้อค่ำ ท่านพ่อก็ต้องเผชิญหน้ากับญาติไร้น้ำใจเหล่านั้นตามลำพัง นางมิอาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้น... สายลมวูบหนึ่งพัดโชยเอากลิ่นหอมประหลาดฟุ้งผ่าน ประสาทสัมผัสของนางเริ่มคุ้นชินกับกลิ่นนี้ ดังนั้นจึงทราบได้ทันทีว่าเจ้าปีศาจจิ้งจอกแล้งน้ำใจยังอยู่ใกล้ๆ มิได้จากไปไหน เหมือนเขาโกรธแต่ก็มิอาจละทิ้ง เช่นนั้นก็หมายความว่าความหวังที่เขาจะพานางกลับไปยังมีเหลืออยู่ หยวนจื่ออี๋กำมือแน่นก่อนจะแหงนหน้าตะโกนขึ้นฟ้า “หรงเสี่ย! ได้โปรด!” นางยอมละทิ้งศักดิ์ศรีที่ค้ำคอและทิฐิทั้งมวลเพื่ออ้อนวอนเขา ยอมทุกอย่างเพื่อให้กลับไปอยู่ข้างกายบิดาโดยเร็วที่สุด “ข้า...ข้าขอโทษ” เงียบสนิท...เงียบเสียจนเด็กหญิงได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง “ท่านพ่อเคยสอนว่า ผู้คนย่อมมีเรื่องราวอันลึกซึ้งเป็นของตนเอง การตัดสินอย่างตื่นเขินถือเป็นการไม่ให้เกียรติและผิดอย่างมหันต์” เสียงของเด็กหญิงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งนึกถึงคำสอนของบิดาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น “ข้าขอโทษจริงๆ” สีหน้าจริงจังประกอบกับน้ำเสียงที่จริงใจจากร่างเล็กส่งผลให้จิ้งจอกหิมะร่างใหญ่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้านางอีกครั้ง หยวนจื่ออี๋ลอบสำรวจใบหน้าและท่าทางของหรงเสี่ย ครั้นเห็นพวงหางปุกปุยสีขาวสะอาดกวัดแกว่งอย่างอารมณ์ดีก็โล่งอก อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจออกมา น่าแปลกเหลือเกิน ก่อนหน้านี้นางทั้งโกรธทั้งน้อยใจเขามากแท้ๆ ทว่าเมื่อได้ขอโทษ กลับเป็นนางเสียเองที่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะนางไม่เพียงขอให้เขายกโทษให้ตน แต่ยังรวมถึงการให้อภัยตนเองที่เผลอทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายไปพร้อมๆ กัน “เป็นเพราะข้าใจกว้างจึงยอมยกโทษให้เจ้า” ผู้ฟังไม่รู้จะขุ่นเคืองหรือขำกับท่าทางทะเล้นของอีกฝ่ายดี สุดท้ายจึงมองค้อนให้ทีหนึ่งพร้อมกับเอ่ยปาก “เช่นนั้นท่านผู้ ‘ใจกว้าง’ คงสามารถพาข้ากลับจวนท่านราชครูได้กระมัง” หรงเสี่ยหัวเราะออกมาทีหนึ่งก่อนจะแก้ไขให้ถูกต้อง “กลับไปรับบิดาเจ้าเพื่อไปสำนักเมฆาเรืองด้วยกัน” “นักพรตสามารถรักษาพ่อข้าได้?” เด็กน้อยถามอย่างมีความหวัง ปีศาจจิ้งจอกส่ายหน้า “พวกเขาเป็นพรต ไม่ใช่หมอ” “งั้นข้าไม่ไป” หยวนจื่ออี๋ปฏิเสธทันทีโดยไม่แม้แต่จะเว้นจังหวะเพื่อพิจารณา เดิมทีคิดว่าหรงเสี่ยจะวกพูดเรื่องบิดาของนางอีกรอบ ทว่าต้องคิดผิดเมื่อเขามิได้ทำเช่นนั้น นัยน์ตาสีเงินสบมองนัยน์ตาสีชา ไม่ว่าจะกี่ครั้งมันก็ทำให้รู้สึกเหมือนเขาสามารถอ่านความคิดของนางได้ “ในเมื่อเจ้าขอโทษข้า ข้าก็ไม่ควรพูดจายั่วโมโหเจ้าอีก” จิ้งจอกร่างยักษ์คลี่ยิ้มตาหยี เด็กน้อยได้ฟังเช่นนั้นก็เผลอยิ้มตาม ครั้นรู้ตัวก็รีบกระแอมไอพลางตีสีหน้าเขร่งขรึมจริงจัง “พาข้ากลับไปก่อนค่อยว่ากัน” หรงเสี่ยไม่ยี่ยวนกวนประสาทนางอีก เมื่อเด็กหญิงปีนป่ายขึ้นมาบนหลังก็มุ่งหน้ากลับสู่คฤหาสน์สกุลหยวนโดยมิใช้การเหาะเหินเดินอากาศตามความเคยชิน ก็ในเมื่อนางกลัวความสูง เขาก็ต้องตามใจนางอย่างเสียมิได้ ภาพของผืนป่าที่ทิ้งห่างไปเรื่อยๆ ส่งผลให้ผู้ที่หลงทางอยู่เป็นนานผ่อนคลายความกังวล ความนุ่มและอบอุ่นจากสัตว์ตัวขนร่างใหญ่มอบความรู้สึกปลอดภัยให้แก่นางอย่างนุ่มนวลดั่งแสงอาทิตย์ ทั้งที่เขาเป็นปีศาจแท้ๆ... หยวนจื่ออี๋สลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไปเมื่อเห็นว่านางเริ่มคิดฟุ้งซ่านไม่เข้าท่า ด้วยเหตุนี้จึงได้นำเวลาที่เหลือมาพิจารณาไตร่ตรองถึงสิ่งที่ต้องกลับไปเผชิญหน้าหลังจากนี้ นางเติบโตมากลางป่าเขา ผู้คนที่ห้อมล้อมล้วนใสซื่อและเป็นมิตร แล้วจะให้นางไปสู้งัดข้อกับคนเมืองซึ่งเติบโตมาท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีได้อย่างไร? ท่านพ่อพูดถูก... นางย่อมตามเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาไม่ทัน “ข้าควรจะทำเช่นไรดีนะ” เด็กหญิงพึมพำเสียงแผ่ว แต่ก็ดังพอที่หรงเสี่ยจะได้ยิน “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย” เด็กน้อยได้ฟังเช่นนั้นก็มิได้มองค้อนหรือถลึงตาดังเช่นทุกที ก็ต่อให้ทำ อีกฝ่ายที่นางกำลังซ้อนหลังอยู่ขณะนี้ก็คงไม่เห็นอยู่ดี “หรงเสี่ย...” เสียงเล็กๆ ที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากบางเหนื่อยล้าเต็มทน เหตุการณ์ที่เผชิญมาตลอดทั้งวันชวนให้รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ทุกอย่างที่นี่ช่างอยู่เหนือความควบคุมไปเสียหมด ไม่สิ...ทุกอย่างในโลกล้วนอยู่เหนือความควบคุมด้วยกันทั้งสิ้น ...และความหวังหนึ่งเดียวของนางคือความปลอดภัยของบิดาเท่านั้น หรงเสี่ยพาหยวนจื่ออี๋กลับมายังคฤหาสน์สกุลหยวนได้ทันเวลามื้อค่ำพอดี ทันทีที่แยกจากจิ้งจอกหนุ่ม นางก็รีบมุ่งหน้าไปยังเรือนกลางอย่างรีบร้อน นับว่าโชคดียิ่งนักที่ระหว่างทางนางพบกับบิดาเข้าพอดี หยวนเสียนทิ้งไม้เท้าในมือลงพื้นแล้วรีบรับตัวบุตรสาวเข้าสู่อ้อมกอด ไม่สนแม้แต่น้อยว่าบ่าวไพร่รอบข้างหรือผู้อื่นจะมองเช่นไร “อี้เอ๋อร์ เจ้าหายไปไหนมา” สีหน้าห่วงใยของผู้เป็นพ่อบาดลึกเข้าหัวใจคนมอง หยวนจื่ออี๋กอดตอบด้วยสีหน้าสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง “ท่านพ่อ...ข้าขอโทษที่ทำให้ต้องท่านเป็นห่วง” ระหว่างทางมาที่นี่นางครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หากนางบอกกับท่านปู่ว่าตนเองถูกลู่หลินตบก็คงมีการทำโทษเพียงแค่บ่าว ส่วนคนเป็นนายก็รอดพ้นไร้ความผิด หากนางฟ้องว่าหยวนถังกับหยวนซูวางแผนจะกำจัดนาง ก็คงกลายเป็นการปรักปรำโดยปราศจากหลักฐาน ไม่ว่าจะมองไปทางใดนางกับบิดาก็เสียเปรียบด้วยกันทั้งสิ้น! “ท่านพ่อ...” ร่างเล็กคลายมือออกจากแผ่นหลังของอีกฝ่ายพร้อมกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันเพียงสองคน “เรารีบไปจากที่นี่กันเถิด” นางยังไม่พร้อมที่จะเสี่ยง ไม่พร้อมที่จะพนันตราบใดที่อาการของบิดายังน่าเป็นห่วงอยู่เช่นนี้ ที่ผ่านมาเป็นเพราะความดื้อดึงและอวดฉลาดของนางเองที่ทำให้ครอบครัวเกือบต้องมาลำบาก ถ้านางอ้อนวอนให้ปีศาจจิ้งจอกหรงเสี่ยช่วยพานางกับบิดาหนีออกไปก็คงจะจบเรื่องไปแล้ว โง่งม...ช่างโง่งมเหลือเกิน! หยวนเสียนลูบไล้แผ่นหลังของนางแผ่วเบาคล้ายกำลังปลอบประโลม “อี้เอ๋อร์ เจ้าคิดดีแล้วหรือ” “ข้าคิดดีแล้ว” “แม้ต่อให้หลังจากนี้เจ้าต้องลำบาก นอนกลางดินกินกลางทราย?” หยวนเสียนถามย้ำอีกครั้ง ความจริงเขาพร้อมที่จะแต่งงานกับท่านหญิงเพื่อทำตัวให้มีประโยชน์กับตระกูลหยวน ตราบใดที่เขามีประโยชน์ ผู้คนก็จะละเว้นหยวนจื่ออี๋ และยิ่งถ้านางถูกบิดาซึ่งเป็นท่านราชครูรับเป็นบุตรบุญธรรม อย่างน้อยเขาก็เชื่อมันว่านางจะปลอดภัย ...ปลอดภัยจนกว่านางจะโตพอและไปจากเมืองหลวงแห่งนี้ได้ตามลำพัง ความคิดของอาจารย์หนุ่มหยุดลงเมื่อหยวนจื่ออี๋ชักสีหน้าใคร่ครวญขึ้นมาอีกครั้ง “หากข้าอยู่ที่นี่ ก็มีแต่คนที่จ้องจะสังหารข้า” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะเคลื่อนมือไปหยิบไม้เท้าขึ้นมาค้ำยืนด้วยตนเองอีกครั้ง “เช่นนั้นเราก็ไปกันเถิด” อาจารย์หนุ่มไม่ได้ทำเช่นนี้เพราะว่าอยากตามใจบุตรี แต่ถ้าวันนี้เขาไม่ปล่อยให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ นางก็จะไม่มีวันได้เรียนรู้และเติบโต และถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่กับนางแล้ว นางจะได้ดูแลตนเองได้ สองพ่อลูกตัดสินใจได้ดังนั้นก็เดินมุ่งหน้าออกจากบริเวณเรือนกลางด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกนางไม่จำเป็นต้องแวะกลับไปที่เรือนนอนเพราะไม่มีข้าวของสำคัญต้องพกติดตัว นึกไม่ถึงว่ามิทันก้าวพ้นอาณาเขตของเรือนกลาง ก็สวนเข้ากับหยวนซูที่เพิ่งมาถึงพอดี “ท่านอาหก จื่ออี๋ พวกเจ้าจะไปไหนกันหรือ” เด็กหญิงพยายามตีสีหน้าราบเรียบทั้งที่ความจริงตกใจจนแทบกัดลิ้นตนเอง “ท่านพ่อรู้สึกไม่ค่อยสบาย ข้าจึงพาออกมาเดินรับลมเล่น” หยวนซูบุคลิกภายนอกเป็นคนนิ่มนวลสุขุม เขารับฟังเสร็จก็สบตาหยวนเสียนกับนางสลับกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็เผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก “ช่างมาเดินรับลมกันไกลเสียเหลือเกิน” หยวนจื่ออี๋เริ่มเหงื่อแตกทั้งที่อุณหภูมิยามเย็นลดต่ำลงเรื่อยๆ หากชักช้ากว่านี้ผู้ที่รออยู่ในเรือนกลางอาจสงสัย ท้ายสุดคงหมดโอกาสได้หนีกันพอดี “อาซู” เสียงของหยวนเสียนทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นมาในที่สุด เด็กน้อยเบิกตากว้างเมื่อพบว่าบิดากำลังประสานมือพร้อมกับค้อมศีรษะให้แก่หลานชายซึ่งอายุน้อยกว่า “ได้โปรดเถิด” ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรืออ้อนวอนให้ยืดเยื้อมากความ หยวนซูเป็นเด็กฉลาด เขาย่อมดูออกแต่แรกแล้วว่าสองพ่อลูกคู่นี้วางแผนจะหนีไปจากคฤหาสน์สกุลหยวน ก่อนหน้านี้หยวนซูกับหยวนถังได้ความดีความชอบที่พาสองพ่อลูกคู่นี้กลับมา ถึงยามนี้พวกเขาจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของอำนาจในมือ แต่จะให้ปล่อยไปง่ายๆ ได้เช่นไร? แววตาของหยวนซูเกิดรอยกระเพื่อมไหวเบาบางก่อนที่เจ้าตัวจะเบือนหน้าไปยังหยวนจื่ออี๋ เมื่อเห็นเด็กน้อยกระชับมือที่จับกับบิดา ก็ทอดถอนหายใจพร้อมกับล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบถุงผ้าปักเลี่ยมเงินออกมาถุงหนึ่ง “ในนี้มีเงินอยู่ไม่มาก ถือเสียว่าเป็นของขวัญอำลา” ในสายตาของเขา หยวนจื่ออี๋ยังเด็กเกินกว่าที่จะเป็นภัย มันแค่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเสี้ยนหนามของเขาในอนาคตเพียงเท่านั้น หยวนจื่ออี๋เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น นี่หยวนซูกำลังเปิดทางให้พวกนางหนี? “ขอบใจ” อาจารย์หนุ่มรับเงินถุงนั้นไว้อย่างไม่อิดออด การเดินทางต้องมีเงินไว้ใช้จ่าย เรื่องนี้มิอาจปฏิเสธได้ ครั้นขอให้หยวนซูเปิดทางให้แล้ว หยวนเสียนก็หันหลังพร้อมกับใช้ไม้เท้าพยุงตัวเตรียมเดินเลี่ยงจาก นึกไม่ถึงว่าจะถูกคนหนุ่มเอ่ยรั้งเอาไว้เสียก่อน “ท่านอาหก” น้ำเสียงของผู้เรียกจริงจังมากยิ่งขึ้นเมื่อนึกถึงผลที่จะตามมาเมื่อท่านปู่รู้เข้า “ท่านรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร” “ข้ารู้” ผู้มีศักดิ์เป็นอาหกตอบโดยไม่หันหลังกลับ มือใหญ่กระชับมือเล็กของบุตรสาว ก่อนที่พวกเขาจะรีบมุ่งหน้าออกจากเรือนกลางโดยไม่แม้แต่จะร่ำลาผู้ที่ขึ้นชื่อว่า ‘ญาติ’ เป็นครั้งสุดท้าย หยวนซูมองหนึ่งแผ่นหลังเล็กหนึ่งแผ่นหลังใหญ่ที่หายลับไปในความมืด ผ่านไปพักหนึ่งจึงแหงนใบหน้ามองจันทรากลมโตที่ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะตนเอง เพราะอยากมีชีวิต... จึงจำเป็นต้องดิ้นรน [1] ยามเซิน คือช่วงเวลาตั้งแต่ 15.00 น. – 16.59 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD