เมื่อกลับมายังเรือนของตนก็พบว่าที่นี่ปราศจากเงาร่างของหรงเสี่ย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะนางอยากพักผ่อนเต็มทน
เด็กน้อยทิ้งตัวฟุบลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า ครุ่นคิดจนเริ่มปวดหัวจนมิอาจข่มตาหลับอย่างสงบ กระทั่งได้กลิ่นหอมประหลาดลอยเข้ามาแตะจมูกพร้อมกับความนุ่มนิ่มที่เกลี่ยอยู่บนแผ่นหลัง นางจึงได้ผ่อนคลายลงพร้อมกับเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเป็นสุข
จิ้งจอกหิมะจ้องมองร่างบนเตียงด้วยแววตาลึกล้ำ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความขับข้องใจอยู่ในที
‘มิเห็นจำเป็นต้องดิ้นรนถึงเพียงนั้น’
เจ้าของกลิ่นกายหอมกรุ่นหรี่ตาลง ผ่านมาครู่หนึ่งจึงเบือนหน้าไปนอกหน้าต่าง แลเห็นดวงตะวันสีแดงสดเคลื่อนแผดแสงรัศมีบนผืนฟ้าอยู่ไกลลิบ มิทันไรก็จากไปอย่างเงียบงันก่อนที่บานประตูห้องนอนจะถูกเปิดออกในเวลาถัดมา
หยวนเสียนอ่อนเพลียจากโรคที่รุมเร้าจึงใช้ไม้เท้าคอยช่วยประคองเวลาเดิน คนหนุ่มทว่าเดินสามขาสาวเท้าเข้าไปหาบุตรสาว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาพริ้มก็คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน วางไม้เท้าผิงไว้กับผนังแล้วทิ้งตัวลงที่ปลายเตียง มือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังของคนหลับอย่างแผ่วเบาขณะที่ฮัมเพลงกล่อมนอนดั่งที่เคยทำมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา
ท่วงทำนองอันคุ้นเคยปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมาจากนิทราอันแสนสั้น นางกะพริบตาอย่างมึนงงเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อ
“ท่านพ่อ ท่านลุกออกจากเตียงได้แล้วหรือเจ้าคะ” เสียงเล็กแหบแห้งเปล่งถามขณะที่คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เมื่อวันก่อนชายหนุ่มไข้ขึ้นจนต้องหลับนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะลุกขึ้นมาเดินเหินได้
“เป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง ยามนี้ดีขึ้นแล้ว” หยวนเสียนยกยิ้มอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนหน้านี้เขาจะล้มหมอนนอนเสื่อปีละสามสี่ครั้ง ทว่าช่วงหลังมานี้เริ่มเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ
เขารู้อาการของตนเองดี แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้บุตรสาวเป็นกังวล
“อี้เอ๋อร์”
เด็กหญิงเงยหน้าสบตาคนพูด เมื่ออีกฝ่ายมีสีหน้าคล้ายมีบางสิ่งอยู่ในใจจึงเรียกร้องให้เขาพูดก่อน “เชิญท่านพ่อพูดมาเถิด”
“เย็นนี้เราต้องไปกินมื้อค่ำร่วมกับพวกเขาที่เรือนใหญ่”
หยวนจื่ออี๋ชะงักงัน คราวนี้ตื่นขึ้นมาอย่างเต็มตา
ปกติแล้วพวกนางไม่เคยมีโอกาสได้ไปกินข้าวร่วมกับครอบครัวที่เรือนใหญ่ หรือว่า...ท่านปู่เฒ่าผู้นั้นเริ่มคิดจะทำอะไรบางอย่างตามที่หยวนซูกับหยวนถังพูดคุยกันจริงๆ?
เช่นนี้ไม่ได้การ นางจะต้องพูดคุยกับท่านพ่อเพื่อหาวิถีทางรับมือล่วงหน้า!
“ท่านพ่อ” เสียงของเด็กน้อยแผ่วเบาลงราวกับเสียงกระซิบ “เมื่อคืนนี้ข้านอนไม่หลับจึงออกไปเดินเล่น ได้ยินหยวนซูกับหยวนถังพูดคุยบางอย่าง...”
นางเล่ารายละเอียดให้ชายหนุ่มฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างพูดหยวนเสียนมิได้ซักถามหรือตอบโต้สักประโยค ทว่าแววตาที่เปลี่ยนไปเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเขาฟังทุกสิ่งที่นางเล่าอย่างตั้งใจมากเพียงใด
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว” ชายหนุ่มพึมพำออกมาหลังจากบุตรสาวเล่าจบ
“ท่านพ่อ เราไปตอนนี้ไม่ได้” เด็กหญิงเอ่ยขัด “ถ้าเราหนีไป พวกเขาอาจจะหาวิธีจับเรากลับมาที่นี่อีก”
“อี้เอ๋อร์” พอสัมผัสได้ถึงความตั้งใจบางอย่างที่เจือมากับเสียงเล็ก คนเป็นพ่อก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาทันควัน “พ่อไม่อยากให้เจ้าต้องไปเสี่ยงอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น”
“แต่ท่านพ่อ...” ดวงหน้าเล็กจริงจังเป็นอย่างยิ่ง “ข้าจะไปพบลู่หลิน”
ผู้ฟังทอดมองนางด้วยความกังวล “อี้เอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำอันใด”
“ข้าต้องการรู้ว่าใครอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหยวนถังและหยวนซู”
หยวนเสียนส่ายหน้า “มันอันตรายเกินไป หากเจ้าทำไม่สำเร็จ...”
“ข้าทำคนเดียวอาจไม่สำเร็จ” นางหลุบตาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาบิดาอีกครั้งด้วยแววตาที่เจิดจรัสจนผู้มองมิอาจต้านทาน “แต่ถ้าท่านพ่อกับข้าร่วมมือกัน ข้าคิดว่าเราต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน”
ล่วงเข้าบ่ายคล้อย เมฆครึ้มก่อตัวพร้อมกับสายลมหวีดหวิว มิช้านานหยาดน้ำฟ้าก็โปรยปรายพรมลงเบื้องล่าง ดีดสะท้อนจากหลังคาลงสู่ผืนดิน ท่วงทำนองเอื่อยเฉื่อยดำเนินต่อไป ประสานกับเสียงฝีเท้าวิ่งเข้านอกออกในเรือนเล็กอย่างกระตือรือร้น
จิ้งจอกหิมะที่ย่อส่วนจนมีขนาดเท่าหนึ่งกำปั้นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนต้นแปะก๊วย พวงหางเล็กกระดิกหมุนวน นัยน์ตาสีเงินจ้องมองร่างอันคุ้นตาในชุดเด็กชายของร่างเล็กในสภาพเหงื่อไหลอาบเต็มตัว
เขามีสัมผัสที่เฉียบคมกว่ามนุษย์จึงได้ยินในสิ่งที่นางพูดคุยกับหยวนเสียน แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ เพระเหตุใดจึงต้องพยายามทำให้มันยุ่งยากต่างหาก
เพียงแค่เอ่ยปากให้เขาช่วยเพียงคำเดียว... เขาก็สามารถพานางกับบิดาไปยังสำนักพรตได้ทันที
ลักษณะนิสัยของนางหวนให้เขานึกถึงใครคนหนึ่ง นางผู้มีแววตาดื้อรั้นและความตั้งใจอย่างแรงกล้า...
นัยน์ตาของปีศาจหนุ่มเผยประกายโศกเศร้าเจือจาง ก่อนที่มันจะจางหายเมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายสังหารวูบหนึ่งที่แผ่ออกมาจากเรือนหลังใหญ่ซึ่งเด็กหญิงเพิ่งหายเข้าไปได้ไม่นาน
ร่างปุยนุ่นสีขาวกระโดดลงจากต้นไม้ใหญ่แล้วพุ่งตัวคล้ายลำแสงสีเงินเข้าไปในเรือนดังกล่าว เห็นหยวนจื่ออี๋ยืนประจันหน้ากับชายวัยกลางคนและหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง ใบหน้าของพวกเขาดำคล้ำเต็มไปด้วยความเคืองโกรธ แผ่กลิ่นอายดุดันสังหารออกมาอย่างเห็นได้ชัด
และแล้วสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ก็เป็นความจริง เมื่อใบหน้าเล็กๆ ถูกแรงตบทำให้หน้าหันไปอีกทางหนึ่ง เรี่ยวแรงของอีกฝ่ายที่มากกว่าทำเอาแทบล้มลงไปกองที่พื้น
“สามหาว!” ลู่หลินผู้ลงมือแทนนายตวาดกร้าว โทสะโหมกระพือทำให้นัยน์ตาวาววับประดุจเปลวเพลิงแผดเผา “กล้าพูดจาเยี่ยงนี้ต่อหน้าคุณชาย... นี่เจ้าไม่คิดอยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”
เพี้ยะ!
จิ้งจอกตัวจิ๋วเห็นท่าไม่ดี สะบัดมือเรียกสายลมวูบใหญ่พัดผ่านให้บานหน้าต่างทุกบานเปิดออก ฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจ เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์แล้วเข้าโอบกอดร่างเล็ก พริบตาเดียวก็พุ่งทะลวงออกมาด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด
หากปล่อยให้เด็กหญิงหลั่งโลหิตอีกครั้ง... เกรงว่าเหล่ามารปีศาจที่ซุกซ่อนอยู่ในเมืองหลวงจะคลุ้มคลั่ง แม้เขาสามารถจัดการได้ ทว่าจิ้งอวิ๋นกำชับไม่ให้สร้างเรื่อง ยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งเบื่อหน่าย สู้เอาเด็กน้อยผู้นี้ไปโยนให้จิ้งอวิ๋นจัดการเองเลยดีหรือไม่?
หรงเสี่ยบ่นในใจพลางกระชับอ้อมกอดพานางรุดหน้าผ่านกลีบเมฆ เปลวเพลิงสีฟ้ารองฝ่าเท้าพาพวกเขาลอยสูงเทียมฟ้า เลยกลุ่มเมฆฝนขึ้นไปจึงเลิกเปียกปอน
เด็กหญิงมึนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองเป็นอย่างมาก เมื่อได้สติก็ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมแขนที่ช้อนรองแผ่นหลังและข้อพับของตน
“ปล่อยข้าลงนะ!”
“ดิ้นรนไปก็เท่านั้น” อีกฝ่ายทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตามนิสัย
“ไม่ใช่...” เสียงเล็กสั่นเครือคล้ายกำลังหวาดผวา ใบหน้าเล็กซีดขาวซึ่งมีรอยฝ่ามือแดงๆ ที่ข้างขวากวาดมองไปรอบๆ คราหนึ่งก่อนจะหลับปี๋
หรงเสี่ยมึนงงกับการตอบสนองที่แปลกใหม่จึงอดถามมิได้ “เจ้าเป็นอะไร”
หยวนจื่ออี๋เม้มริมฝีปากแน่น แม้จะอับอายขายหน้าแต่ก็มิอาจทนอยู่ในสภาพนี้ได้อีกแม้แต่อึดใจเดียว
“ขะ...ข้ากลัวความสูง!”
นัยน์ตาสีเงินของปีศาจหนุ่มกะพริบถี่ขณะที่เจ้าตัวหยุดเคลื่อนไหว เมื่อก้มลงมองร่างเล็กในอ้อมแขนที่กำลังสั่นเทาก็บังเกิดความรู้สึกบางอย่าง
คล้ายจะเอ็นดูแต่ก็ยังไม่ใช่...
แน่นอนว่าเจ้าปีศาจย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสที่จะเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจหลุดลอยไป
“ข้าเห็นเจ้าพยายามมาตั้งแต่เช้า เมื่อครู่ถูกตบ ประเดี๋ยวต่อไปคงถูกเฉือนเนื้อ พรุ่งนี้คงถูกตัดแขนขา”
น้ำเสียงยั่วเย้าที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไรทำเอาเด็กหญิงหลงลืมความกลัวไปครู่หนึ่ง นางลืมตาถลึงมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเขียวปั๊ด
“ปากพล่อย!”
“เจ้าคงรู้ดีว่าบิดาของเจ้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน แล้วเจ้าจะกระเสือกกระสนให้ตนเองลำบากไปไย สู้ยอมรับ...” หรงเสี่ยพยายามจะอธิบายให้นางเข้าใจข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่ดูเหมือนว่าคำพูดที่เขาเลือกใช้จะผิดมหันต์...
“หยุด!” เด็กน้อยกำมือแน่นขณะที่จดจ้องเขาอย่างเกรี้ยวกราด
หมายความว่าอย่างไรที่ท่านพ่ออยู่ได้อีกไม่นาน!
“เจ้าต้องยอมรับความจริง” เจ้าปีศาจกล่าวเสียงนิ่ง ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนของหยวนจื่ออี๋ การรู้ก่อนก็เหมือนกับมีเวลาให้เตรียมใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เมื่อสูญเสียจะได้ทำใจและสามารถปล่อยวางได้
“ข้าบอกให้หยุด!” นางยกกำปั้นเล็กๆ ทุบอกอีกฝ่ายอย่างสุดแรงโดยไม่เกรงว่าจะเสียหลักตกลงไป หากถึงกระนั้นมันก็มิอาจทำให้ร่างหอมกรุ่นสะทกสะท้านแม้เพียงขน
ดวงตาของนางแดงก่ำก่อนจะหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจ ตั้งแต่เกิดมานางมีบิดาเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว หากไม่พยายามอย่างที่สุดแล้ว... นางยังจะมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีกเล่า!
“ต่อให้ช่วยท่านพ่อได้หรือไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ได้พยายาม... การพยายามอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยข้าก็ไม่มีวันมาเสียใจภายหลัง ดังนั้น...” หยวนจื่ออี๋เว้นจังหวะขณะที่หอบหายใจเมื่อเริ่มหายใจไม่ทัน หัวใจดวงน้อยถูกเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทุบตีกระหนำ หากนางไม่เข้มแข็งเกรงว่ามันอาจจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ “หากเจ้าไม่คิดจะช่วย ก็ไม่อย่ามาขัดขวางข้า!”
นัยน์ตาสีเงินก้มมองร่างที่สะอื้นไห้ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ก่อนที่มันจะกลับมาเปล่งประกายซุกซนไม่จริงจังดังเดิม ดูเหมือนเขาจะเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดไปเสียแล้ว
เด็กน้อยที่ยังคงร้องไห้ช้อนมองคนพูด พอเห็นสีหน้าไร้ความสำนึกผิดของเขาก็อารมณ์เดือดพล่านอย่างห้ามไม่อยู่
ต่อให้เขาช่วยชีวิตนางก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถมองข้ามความรู้สึกของนางอย่างไร้มารยาทเยี่ยงนี้!
“ข้าไม่...”
หรงเสี่ยยังไม่ทันพูดจบประโยคก็ถูกอีกฝ่ายเอ่ยแทรกขึ้นมากลางคัน
“เจ้าไม่เคยมีครอบครัว ไม่เคยมีคนที่รัก เจ้าไม่รู้หรอกว่า... ข้ากำลังทุกข์ใจแค่ไหน”
ใบหน้างดงามปานล่มเมืองแปรเปลี่ยนทันทีเมื่อได้ฟังประโยคนี้จากปากเล็ก หยวนจื่ออี๋เองก็ตกใจจนเสียวสันหลังวาบ เมื่อรู้ตัวว่ากล่าววาจาร้ายกาจทำร้ายความรู้สึกของเขาก็รู้สึกแย่ตามไปด้วย
วาจาที่เปล่งออกไปแล้วมิอาจเรียกกลับคืน เช่นเดียวกับเวลาที่ผ่านไปมิอาจหวนคืน
“ขะ...ข้าขอโทษ” นางพูดอย่างตะกุกตะกัก “ข้าพูดไปเพราะอารมณ์ มิได้ตั้งใจที่จะ...”
“เป็นเช่นนี้เอง” น้ำเสียงของเขาราบเรียบแตกต่างจากที่เคย ทำเอาหยวนจื่ออี๋หัวใจกวัดแกว่งไปด้วยความหวาดกลัว หากเขาโกรธเกรี้ยวถึงขั้นปล่อยมือ ด้วยความสูงขนาดนี้... คาดว่านางคงตกลงไปคอหัก ศพไม่สวยเป็นแน่แท้
หยวนจื่ออี๋ลอบกลืนน้ำลาย พยายามจะเอ่ยขอโทษอีกครั้ง “หรง...”
“ข้าเองก็ไม่มีอารมณ์มาเล่นสนุกกับเจ้าแล้วเช่นกัน” หรงเสี่ยเมินหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนจะลดระดับความสูงลงสู่พื้นดินด้วยความเร็วอันน่าหวาดเสียว หยวนจื่ออี๋ถูกวางลงบนพื้นในสถานที่ซึ่งไม่คุ้นชิน นางรู้สึกถึงคำพูดมากมายที่จุกอยู่ในลำคอ กลับพูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจิ้งจอกตนนี้คืออะไรกันแน่?
เขาเห็นนางเป็นเพียงอาหาร ภาระที่ต้องช่วยเหลือ หรือสหายคนหนึ่ง?
ในระหว่างที่เด็กหญิงกำลังสับสนอยู่นั้นเอง ลำแสงสีเงินก็สว่างจ้าแล้วโพยพุ่งหายลับไปจากสายตา สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านร่างเล็กจนบาดผิวบาง กลิ่นหอมประหลาดประจำตัวของอีกฝ่ายยังหลงเหลือติดอยู่ตามเสื้อผ้าของนาง
ดูท่าคราวนี้หรงเสี่ยคงจะโกรธนางเข้าแล้วจริงๆ