เสียงล้อรถบดขยี้ดีดก้อนกรวดเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง กลิ่นเหงื่อไคลของอาชาและคนคลุ้งอยู่ในป่าโปร่งท่ามกลางความมืดสลัวยามราตรี
หยวนจื่ออี๋กับบิดาหนีออกจากคฤหาสน์สกุลหยวน ยังมิทันก้าวพ้นจากเขตเมืองหลวงก็ถูกสารถีเชิดเงินหนีไป
เท่านั้นยังไม่พอ หรงเสี่ยยังหายตัวไปในขณะที่พวกนางยังถูกคนของคุณปู่ตามล่าอีกต่างหาก!
“ตามพวกเขาไป!”
“จับตัวมาให้ได้!”
เสียงตะโกนกึกก้องประกอบกับแสงจากคบเพลิงที่โบกไปมาอยู่ไกลลิบส่งผลให้จิตใจของคนมองสั่นระรัว นางกำสายบังเ**ยนในมือแน่นจนเห็นข้อนิ้วขาว แต่ถึงจะเจ็บมากเพียงไรก็ออกแรงดึงอย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดจะหยุดแม้แต่เสี้ยวลมหายใจเดียว สองขาที่เดินอยู่เพิ่มความเร็วมากขึ้นและมากขึ้น เสียงหอบหายใจดังแข่งกับเสียงหัวใจของตนเองจนแทบแยกไม่ออก
เปลวเพลิงที่ไล่ต้อนเข้ามาเรื่อยๆ ก็เปรียบเสมือนแรงขับเคลื่อนให้นางไปต่อ แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใดก็พักไม่ได้
ห้ามหยุดเป็นอันขาด หากถูกจับกลับไปยามนี้ ก็เท่ากับว่าความพยายามที่แล้วมาทั้งหมดล้วนสูญเปล่า
“อี้เอ๋อร์!”
เสียงคุ้นเคยของบิดาร้องเรียกจากด้านหลัง หากเจ้าตัวก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ อย่างสุดกำลัง
“อี้เอ๋อร์! พอเถิด!” หยวนเสียนเกาะขอบหน้าต่างรถม้าอย่างอ่อนแรง ใบหน้าซีดขาวตัดกับความมืดมิดของรัตติกาลเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดวงตาอิดโรยจ้องมองแผ่นหลังของบุตรสาวซึ่งกำลังลากจูงอาชาให้ออกตัวเดินทั้งที่ตัวเล็กกระจ้อยร่อย หัวใจแทบแหลกสลายเมื่อค้นพบว่าตนเองตกเป็นภาระของแก้วตาดวงใจ
ชายหนุ่มไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนทรงตัวได้ดี เรื่องเดินเหินหรือออกตัววิ่งหนีนั้นลืมไปได้เลย
“อี้เอ๋อร์! ทิ้งพ่อไว้ที่นี่แล้วรีบหนีไปเถิด”
“ไม่เอา!” หยวนจื่ออี๋ตะโกนตอบพร้อมกับกระชากบังเ**ยนที่แทบไม่ขยับอย่างดื้อรั้น
นางไม่มีทางทิ้งบิดาเป็นอันขาด!
แมกไม้พฤกษาเบื้องหน้าเริ่มทวีความหนาทึบและเบียดเสียดกันมากขึ้นเรื่อยๆ คับแคบเสียจนการนำรถม้าแทรกผ่านเข้าไปเป็นไปด้วยความทรหด เด็กหญิงฝืนออกแรงจูงจนเส้นเลือดปูนโปน กล้ามเนื้อที่อ่อนแรงสั่นเทา
ฮี้!
จู่ๆ อาชาที่ลากจูงอยู่กลับขืนเอาไว้สุดแรงพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง หยวนจื่ออี๋เสียหลักล้มกระแทกพื้นอย่างแรง
“เร็วเข้า ทางนั้น!”
ทหารจากคฤหาสน์สกุลหยวนพากันส่งเสียงเรียกพร้อมกับมุ่งหน้ามายังทิศทางที่พวกนางอยู่เมื่อได้ยินเสียงร้องของม้า
เด็กน้อยพยายามกลั้นเสียงร้องจากบาดแผลที่ได้รับ แต่ก็มิอาจหักห้ามหยาดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเจ็บปวด ร่างกายของนางเปื้อนโลหิตและโคลน นัยน์ตาสีชาเงยขึ้นมองอาชาสองตัวที่แตกตื่นไม่สงบอย่างเจ็บแค้น
นางอยากกรีดร้องให้แก่สภาพอันน่าอดสู และกรีดร้องให้แก่ชะตากรรมอันน่าบัดซบของตนเอง!
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเอง ผืนนภาที่เคยเปิดโล่งกลับมีก้อนเมฆาใหญ่เคลื่อนมาบดบังอย่างแปลกประหลาด เมฆฝนอันหนักอึ้งปล่อยสายน้ำฉ่ำเย็นลงมายังผืนดินเบื้องล่างอย่างบ้าคลั่ง หยวนจื่ออี๋ตกใจรีบยกมือขึ้นปิดใบหู ม้าใหญ่สองตัวแตกตื่นคุ้มคลั่งจนเอาตัวกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ คานรถม้าซึ่งเชื่อมต่อระหว่างม้ากับตัวรถม้าหักออกเป็นสองท่อน รถม้าถูกเหวี่ยงชนเข้ากับต้นไม้ไปอีกทางขณะที่อาชาแตกตื่นวิ่งหนีหายลับเข้าไปในป่าลึก
ความเป็นห่วงที่มีต่อบิดาส่งผลให้หยวนจื่ออี๋หลงลืมความเจ็บปวดไปครู่หนึ่ง รีบส่งเสียงร้องเรียกด้วยความร้อนใจ
“ท่านพ่อ!”
นางพยายามฝืนแรงลุกขึ้น ทว่าความบอบช้ำมันมากเกินกว่าที่ร่างกายจะต้านไหว ร่างที่เปื้อนโคลนล้มตึงลงไปอีกระลอกในสภาพที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่ฝีเท้ามากมายวิ่งกรูเข้ามาล้อมกรอบพวกนางเอาไว้
สุดท้าย...พวกนางก็หนีไม่พ้น
ผู้ที่ตัดพ้อต่อโชตชะตาก้มหน้านิ่งปล่อยให้พิรุณสาดประโคมเข้าใส่ราวกับกำลังตอกย้ำและเยาะเย้ย ทหารร่างใหญ่ตรงเข้ามาช้อนร่างนางขึ้น ในจังหวะเดียวกับที่คนอื่นพยายามถีบประตูรถม้าให้เปิดออกอย่างป่าเถื่อน
ชีพจรของหยวนจื่ออี๋เต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่งเมื่อนึกถึงความปลอดภัยของหยวนเสียน นางออกแรงผลักอกผู้ที่อุ้มตนพร้อมกับพยายามตะเกียกตะกายไปยังหยวนเสียน
“ท่านพ่อ!”
เด็กน้อยทั้งสิ้นหวัง ท้อแท้ และหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง
หรงเสี่ยหายไปไหน เหตุใดเวลานี้จึงไม่มาช่วยพวกนาง!
และแล้วเหตุการณ์อันไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง
เด็กหญิงกะพริบตาถี่เมื่อเห็นเงาสีเทาขนาดใหญ่มุ่งหน้าฝ่าสายฝนเข้ามาล้อมกรอบทหารจากคฤหาสน์สกุลหยวนเอาไว้อีกทีหนึ่ง
ทหารหลายสิบนายพากันชะงักกึกเพราะมิอาจรับรู้ได้ถึงการมาถึงล่วงหน้า เสียงสายลมหวีดหวิวผสมผสานกับสายฝนส่งผลให้บรรยากาศดูลึกลับน่ากลัว หยวนจื่ออี๋ปาดความเปียกชุ่มออกจากใบหน้า ครั้นเพ่งสายตาเข้าไปในความมืดก็เห็นกลุ่มคนเหล่านั้นซึ่งมีทั้งสตรีและบุรุษ พวกเขาสวมใส่เป็นอาภรณ์สีเทาหม่นคลุมทับด้วยผ้าคลุมโปร่งใส มีทั้งสีเหลืองจาง เขียวอ่อน และฟ้าอ่อน แต่ละคนล้วนถือร่มคันใหญ่ มิอาจคาดเดาไว้ว่าเจตนามาที่นี่หรือเพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น
นางไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเป็นใคร ทว่าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสะอาดบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากกลุ่มผู้มาใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงรีบส่งเสียงร้องให้ช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย! ช่วยพวกเราด้วย!”
ทหารที่อุ้มร่างเล็กรีบยกมือขึ้นมาอุดปากเด็กห้าขวบช่างฟ้องอย่างหงุดหงิด พวกเขาเสียเวลากับสองพ่อลูกคู่นี้มามากพอแล้ว สมควรที่จะกลับไปที่คฤหาสน์เสียที คิดได้ดังนั้นก็หันไปถลึงตามองผู้ที่บังอาจมาขัดจังหวะการทำงานของเขา “พวกเจ้าถอยไป!”
หญิงสาวคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีฟ้าก้าวออกมายืนหน้าสุด นัยน์ตาของนางสงบนิ่งแม้ร่างกายจะบอบบางมากกว่าทหารหาญอยู่พอสมควร
“ปล่อยคน” น้ำเสียงของผู้กล่าวอ่อนโยนดั่งสายน้ำ
สีหน้าของผู้ฟังดำคล้ำ ไม่มีหัวนอนปลายเท้าไม่ว่ายังกล้ามาออกคำสั่งกับพวกเขา “เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในคฤหาสน์สกุลหยวน คนนอกไม่เกี่ยว!”
หยวนจื่ออี๋ได้ฟังเช่นนั้นก็ท้อแท้ยิ่งกว่าเดิม ปู่ของนางเป็นถึงท่านราชครู ในเมืองหลวงแห่งนี้ผู้ที่กล้าต่อกรด้วยมีไม่กี่คน ไม่ว่าอย่างไรนางกับบิดาคงต้องถูกจับกลับไปยังคฤหาสน์แห่งนั้นเป็นแน่แท้
เด็กน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ
เสียใจที่นางไม่ยินยอม แต่กลับทำอะไรไม่ได้
ในยุคที่ผู้มีอำนาจข่มเหงผู้ที่อ่อนด้อยกว่า นางซึ่งเป็นเพียงเด็กวัยห้าขวบไม่มีทั้งกำลังหรือความสามารถใดๆ ที่จะต่อสู้กับโชคชะตาอันอยุติธรรมนี้ได้
“คฤหาสน์สกุลหยวนคงไม่คิดอยากมีเรื่องกับสำนักหัตถ์สวรรค์กระมัง”
สำนักหัตถ์สวรรค์...
ร่างเล็กดึงตนเองออกจากห้วงคิด รีบเงยหน้าสบตาหญิงสาวซึ่งอ้างตัวว่ามาจากสำนักแพทย์อันดับหนึ่งในยุทธภพผู้นั้น ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้พลันเกิดแสงสว่างวาบแห่งความหวัง ต่างจากทหารทั้งหลายที่ท่าทีแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อสามปีก่อนเกิดโรคระบาดขึ้นในเมืองหลวง และผู้ที่พาพวกเขาผ่านพ้นวิกฤตนั้นมาได้คือสำนักแพทย์หัตถ์สวรรค์
แม้แต่องค์จักรพรรดิยังตรัสว่าพระองค์ทรงติดค้างสำนักแพทย์ดังกล่าว แล้วพวกเขาจะมีสิทธิ์ล่วงเกินได้อย่างไร?
ในขณะที่พวกเขากำลังอ้ำอึ้งอยู่นั่นเอง หญิงสาวจากสำนักแพทย์คนเดิมก็สาวเท้าเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง สายฝนที่โปรยปรายตกกระทบบนร่มคันใหญ่เกิดเสียงดีดสะท้อนก้องกังวานเข้าสู่โสตประสาทของหยวนจื่ออี๋ ทหารร่างกำยำสบตาอีกฝ่าย แม้ร่างกายจะใหญ่โตกว่า ทว่าสตรีผู้นั้นคล้ายคลึงกับมีกำแพงบางๆ อันทรงพลังขวางกั้นอยู่ แท้จริงแล้วพลังอำนาจของสำนักหัตถ์สวรรค์ก็มีอยู่ หาใช่แพทย์อ่านตำราเด็ดสมุนไพรไปเพียงวันๆ
บัดนี้ทหารหนุ่มรู้ดีว่าการตัดสินใจของเขาในฐานะผู้นำหน่วยตัดสินทุกอย่าง และเขาต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ซึ่งไม่ว่าจะเลือกทางใดก็คงหนีไม่พ้นโทษทัณฑ์ด้วยกันทั้งสิ้น
หยวนจื่ออี๋ละความสนใจจากหมอสาวผู้นั้นมายังทหารหนุ่ม ในเมื่อเขากำลังไม่สนใจนางก็หมายความว่าอาจมีโอกาสที่นางจะดิ้นหลุดออกจากพันธนาการของเขาไปได้
หากยังไม่ทันที่นางจะตัดสินจำอันใด เสียงแหบห้าวของบิดาก็แทรกความสงัดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
“รบกวนท่านหมอแล้วที่มารับพวกเราสองพ่อลูกด้วยตนเอง”
เด็กน้อยและผู้คนที่เหลือต่างหันขวับไปมองชายหนุ่มร่างผอมซูบโดยพร้อมเพรียงกัน หยวนเสียนถูกทหารดึงตัวออกมาจากรถม้า หยวนจื่ออี๋ฉวยโอกาสนั้นออกแรงดิ้นมากขึ้นจนหลุดออกจากการรัดตรึงของทหารร่างใหญ่ นางไม่วิ่งตรงไปหาคนจากสำนักหัตถ์สวรรค์ แต่เป็นบิดา
“ท่านพ่อ...”
“อี้เอ๋อร์” หยวนเสียนซึ่งถูกทหารปล่อยมือพยุงกายไว้แล้วสบตากับแก้วตาดวงใจ “พ่อรู้แล้วว่า...ลูกเป็นเด็กที่พิเศษ”
บุตรสาวได้ฟังเช่นนั้นก็นิ่งไปหนึ่งอึดใจ ใบหน้าน่ารักซีดขาวในขณะที่อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงเรื่อยๆ
หมายความว่าอย่างไรที่ท่านพ่อรู้เรื่อง?
...แล้วรู้มากแค่ไหน ใครเป็นคนบอก
“ข้า...” นางไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ทุกอย่างมันกะทันหันและรวดเร็วจนเจ้าตัวสับสนไปหมด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงวางมือลงบนศีรษะเล็กอันเปียกชุ่มพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น
“ก่อนหน้านี้ในขณะที่ยังรักษาตัวอยู่ในคฤหาสน์สกุลหยวน ผู้อาวุโสจิ้งมาพบพ่อ”
ดวงตาสีชาเบิกกว้าง นางมองหยวนเสียนกับกลุ่มแพทย์เหล่านั้นสลับกันไปมาก่อนจะได้คำตอบในที่สุด
ที่แท้...ท่านพ่อก็ทราบเรื่องทุกอย่างและได้ติดต่อกับแพทย์จากสำนักหัตถ์สวรรค์ไว้แล้ว
ท่านพ่อสมกับที่เป็นท่านพ่อ ความคิดและการวางแผนของเขามักจะนำนางไปอย่างก้าวกระโดดเสมอ
นางยังเด็กนักจึงสามารถกอดได้สูงสุดเพียงแค่เอวของบิดา เดิมทีคิดว่าสถานการณ์ทุกอย่างคงคลี่คลายลงด้วยดี จนกระทั่งดวงตาสีชาแลเห็นบิดาหยิบบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อ
“ข้ากับบุตรต้องไปกับแพทย์จากสำนักหัตถ์สวรรค์” หยวนเสียนจ้องมองทหารจากคฤหาสน์สกุลหยวนนิ่งโดยไร้รอยกระเพื่อมไหว แขนผอมบางขยับยกมีดเล่มสั้นขึ้นมาแนบเข้ากับลำคอของตนเองโดยไม่เกรงกลัว สีหน้าของอาจารย์หนุ่มจริงจังยิ่งจนผู้เป็นบุตรียังอดหวั่นใจไม่ได้ “มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะได้เพียงแค่ศพ”
หยวนจื่ออี๋มองประกายเด็ดเดี่ยวของผู้ให้กำเนิดแล้วอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ
เหตุใดทุกอย่างจึงได้กลายเป็นเช่นนี้...
ก่อนหน้านี้หยวนเสียนมักจะไม่แสดงท่าทีขัดขืนหรือดื้อดึงออกมาให้ผู้อื่นเห็น ทหารทุกนายในคฤหาสน์สกุลหยวนเข้าใจมาโดยตลอดว่าชายหนุ่มอ่อนแอผู้นี้เป็นคนหัวอ่อน
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบสตรีผู้นั้นและให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไข
ที่บัณฑิตหนุ่มหนอนหนังสือเด็ดเดี่ยวได้เยี่ยงนี้ก็เพื่อต้องการปกป้องครอบครัวหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็เท่านั้น
เมื่อทหารทั้งหลายมิอาจแบกรับความเสี่ยงที่หยวนเสียนจะปลิดชีพตนเองพร้อมกับบุตร พวกเขาจึงต้องปล่อยให้เหล่าศิษย์จากสำนักแพทย์อันดับหนึ่งในยุทธภพพาตัวสองพ่อลูกจากไปต่อหน้าต่อตา
หยวนจื่ออี๋กับหยวนเสียนก้าวเดินอย่างเชื่องช้าใต้ร่มคันใหญ่ ผ้าผืนหนาถูกยื่นคลุมให้อย่างอ่อนโยน ท้ายที่สุดพวกนางกับศิษย์สำนักหัตถ์สวรรค์ก็มุ่งหน้าออกจากผืนป่าภายใต้ราตรีอันเงียบสงบ
ร่างเล็กละสายตาจากสายฝนแล้วหลับตาซบอกบิดา สูดกลิ่นชื้นของดินที่เจือด้วยกลิ่นหอมประหลาดอันคุ้นเคยของใครบางคน
เป็นกลิ่นของหรงเสี่ย...
เขามิได้ทอดทิ้งพวกนาง แต่อาจมีเหตุผลอะไรบางอย่างจึงทำให้เขาไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้
เด็กหญิงครุ่นคิดพลางยกมือขึ้นมาปาดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่บนแก้มนวล หูแนบฟังเสียงชีพจรอันมั่นคงของบิดาพร้อมให้สัญญากับตนเองว่า หลังจากนี้นางจะต้องเข้มแข็งและแข็งแกร่งมากขึ้น... มากจนไม่มีผู้ใดสามารถรังแกนางหรือคนที่นางรักได้