สาม
เกี่ยงกัน (?)
ยอดเขาพ้นโลกาสูงตระหง่านเทียมฟ้า เงียบสงบและสูงส่งดุจแดนเทพเซียน
บนยอดเขาแห่งนี้คือที่ตั้งของสำนักแพทย์อันดับหนึ่งในแคว้นเฉา... สำนักหัตถ์สวรรค์
บรรยากาศยามเช้ามืดค่อนข้างเย็นชื้น เมฆหมอกปกคลุมแลเห็นสรรพสิ่งเป็นสีขาวโพลน เสียงวิหคขับร้องประสานเสียงเพียงเล็กน้อยกลับสะท้อนก้องกังวานดั่งเสียงระฆังแก้ว ร้องปลุกให้ศิษย์สำนักแพทย์ทั้งหลายตื่นมาร่ำเรียนและทำภารกิจของตน
ชื่อเสียงของสำนักหัตถ์สวรรค์โด่งดังไปทั่วยุทธภพ เป็นที่ยอมรับของใต้หล้าเรื่องฝีมือและคุณธรรม กฎระเบียบที่เข้มงวดทำให้เป็นที่น่าเชื่อถือ มิหนำซ้ำยังชนะการแข่งขันกับสำนักแพทย์อื่นๆ ติดต่อกันมาอย่างยาวนานจนเป็นที่เลื่องลือ เป็นเช่นนี้ติดต่อกันมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน
ใจกลางสำนักคือตำหนักเมฆาซึ่งเป็นที่พำนักของท่านเจ้าสำนักและศิษย์ระดับสูง วันนี้มีแขกพิเศษมาเยี่ยมเยียนถึงสองคน ทว่าเป็นการมาอย่างไม่เป็นทางการ งานจัดเลี้ยงต้อนรับจึงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
การให้เกียรติผู้อื่นที่มีฐานะทัดเทียมกันเป็นเรื่องสำคัญ เบาะขนแกะทองคำสามผืนวางเรียงกันอยู่บนพื้นยกสูงโดยมีชายชราร่างอ้วนในชุดสีเงินอยู่กึ่งกลาง ศีรษะปราศจากเส้นผมมาตั้งแต่ย่างเข้าวัยกลางจนกระทั่งบัดนี้
“คนจากตำหนักหัตถ์ปราณทิพย์นี่ช่างน่าอิจฉาเสียจริง แม้วัยร่วงโรยแต่สังขารกลับอ่อนเยาว์นัก จิวอิงเองก็อายุน้อยกว่าข้าไม่กี่ปี ทว่าหน้าตาราวกับคนอายุหกสิบ” อี้โหลว ท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบันเอ่ยพลางลูบเคราสีขาวที่ยาวจนถึงท้องกลมใหญ่ของตนเองขณะที่สบตากับผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งซ้าย “จิ้งอวิ๋น ไม่พบกันหลายปี เจ้าคงสบายดีใช่หรือไม่”
เจ้าของเรือนผมสีเหล้าองุ่นแซมขาวพยักหน้าน้อยๆ “ข้าสบายดี”
สำนักหัตถ์สวรรค์แบ่งออกเป็นสามตำหนักหลักคือ ตำหนักหัตถ์โอสถ ตำหนักหัตถ์ปราณทิพย์ และตำหนักหัตถ์พิสุทธิ์ จิ้งอวิ๋นนั้นเคยเป็นศิษย์สำนักหัตถ์สวรรค์แห่งตำหนักหัตถ์ปราณทิพย์เมื่อนานมาแล้ว แม้มีเรื่องทำให้ต้องลงจากเขา แต่สุดท้ายเขาก็ยังแวะมาเยี่ยมเยือนหุบเขาพ้นโลกาบ่อยๆ ตั้งแต่สมัยที่ท่านเจ้าสำนักคนเก่าซึ่งเป็นอาจารย์อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่
อี้โหลวครุ่นคิดขณะที่ริมฝีปากกับนัยน์ตาที่ยิ้มแย้มบ่งบอกว่าเป็นผู้ที่มีอารมณ์เบิกบานอยู่เสมอ จิ้งอวิ๋นในชุดประจำตัวของศิษย์ตำหนักหัตถ์ปราณทิพย์ยังคงเป็นคนพูดน้อยอยู่เช่นเคย
ผู้อาวุโสทักทายฝ่ายหนึ่งแล้วก็ย่อมต้องหันไปให้ความสำคัญกับแขกอีกคนหนึ่ง นัยน์ตาสีเข้มเป็นมิตรเบือนไปยังชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ข้างกาย “แต่ไม่ว่าจิ้งอวิ๋นจะดูอ่อนกว่าวัยเพียงใด ก็คงสู้นักพรตผู้บำเพ็ญตนจนใกล้จะกลายเป็นเซียนเช่นท่านได้กระมัง”
“รูปลักษณ์ภายนอกล้วนไร้ความหมาย ใจที่บริสุทธิ์เปี่ยมคุณธรรมต่างหากจึงเรียกได้ว่าน่าเลื่อมใส” เสียงนุ่มทุ้มของร่างสูงโปร่งในชุดสีกรมท่าตอบกลับมา ใบหน้าคมคายราบเรียบไร้อารมณ์ เรือนผมสีเทาเกล้าขึ้นเป็นมวยประดับด้วยปิ่นหยกสีขาวบริสุทธิ์ ผิวสีเข้มของรับเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโต พื้นเพคล้ายกับคนแคว้นเป่ยซึ่งมีพื้นที่เป็นทะเลทรายมากกว่าที่ตั้งของสำนักเมฆาเรือง สำนักพรตอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพ
เรียกได้ว่าหากแคว้นเฉาเฟื่องฟูเรื่องการรักษา แคว้นเล่อคือถิ่นกำเนิดและฟูมฟักเหล่านักพรตผู้ผดุงความสมดุลของสามภพ
แคว้นเล่อคือแคว้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลทิศตะวันออก การเดินทางค่อนข้างลำบากและยาวนาน หากจะให้เดินทางไปจากแคว้นเล่อจากแคว้นเฉาคือต้องเดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ผ่านแคว้นเยว่แล้วนั่งสำเภาข้ามไปจึงจะถึง รวมทั้งสิ้นแล้วใช้ระยะเวลาประมาณสองเดือนเลยทีเดียว
ทว่าสำหรับตงฟางฉุนหยา...มันไม่จำเป็นต้องนานถึงเพียงนั้น
ผู้ใดเล่าจะนึกว่าภายใต้รูปลักษณ์ของบุรุษหน้าหยกวัยสามสิบต้นๆ นี้จะอายุแปดสิบปีเข้าไปแล้ว ว่ากันว่าทุกครั้งที่ตงฟางฉุนหยาลงจากเขามาประกอบพิธีสำคัญในเมืองหลวง สตรีที่ออกมาร่วมงานจะมีมากกว่าเดิมประมาณสามเท่า ความวุ่นวายขนาดย่อมมักจะเกิดขึ้นเสมอ
ด้วยเหตุนี้ตงฟางฉุนหยาจึงไม่ชื่นชอบการลงจากสำนัก ปกติมักจะกักตัวบำเพ็ญตน แต่ในเมื่อผู้ที่มีโชคชะตาตามคำทำนายถือกำเนิดที่แคว้นเฉาแห่งนี้ ดังนั้นตลอดห้าปีที่ผ่านมาเขาจึงต้องแวะเวียนมาเป็นแขกที่สำนักหัตถ์สวรรค์อยู่บ่อยครั้ง
“เอาละ” อี้โหลวยกมือตบเข่าตนเองเบาๆ แม้อายุจะมากแล้วทว่าท่าทียังกระฉับกระเฉงและแข็งแรงดีอยู่ “เรื่องนี้หารือกันยืดเยื้อมานานห้าปีแล้ว ข้าหวังว่าวันนี้เราจะได้ข้อสรุป”
“ตราบใดที่โลหิตของนางยังไม่หลั่งรินก็ยังพอมีเวลา” เจ้าของเรือนผมสีเหล้าองุ่นแซมขาวกล่าว
“มนุษย์ทุกคนร่างกายเปราะบาง กายหยาบบาดเจ็บเพียงนิดก็หลั่งโลหิตได้ เราไม่ควรประมาท” สีหน้าของตงฟางฉุนหยายังคงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงดูจริงจังขึ้นอีกหลายส่วน
“พวกเราทั้งสามคนต่างก็มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สามารถดูแล ‘นาง’ ได้อย่างเท่าเทียม” เจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์เว้นจังหวะก่อนจะเบนสายตามองซ้ายและขวา เมื่อพบว่าทั้งจิ้งอวิ๋นและตงฟางฉุนหยายังคงวางท่าทีนิ่งเฉยจึงกล่าวต่อ “แต่มันติดปัญหาตรงที่ว่าพวกเราต่างก็มีหน้าที่สำคัญอื่นๆ ที่ต้องทำด้วยเช่นกัน”
คนที่เหลือพยักหน้ารับช้าๆ สิ่งที่อี้โหลวกล่าวมานั้นถูกต้อง เจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์มีภารกิจมากมายที่ต้องทำล้นมือ ลูกศิษย์นั้นมีเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องดูแล จิ้งอวิ๋นชอบเดินทางไปตรวจตรารักษาคนไม่ค่อยได้อยู่ติดเรือน ฝ่ายตงฟางฉุนหยาก็เป็นถึงเจ้าสำนักพรตอันดับหนึ่งในยุทธภพ ทั้งยังมุ่งมั่นบำเพ็ญตนเพื่อเป็นเซียน
ทว่า...หนึ่งในพวกเขาทั้งสามจะต้องรับหน้าที่ดูแลสตรีในคำทำนายผู้ถือครองสองชะตากรรม
สายลมวูบใหญ่พัดผ่านบานหน้าต่างจนปอยผมคนทั้งสามต่างเคลื่อนไหว คนหนึ่งยิ้มกว้าง อีกสองคนสีหน้าไร้อารมณ์
“ข้างานยุ่งทั้งยังอายุมากแล้ว” อี้โหลวกล่าวเป็นคนแรก
จิ้งอวิ๋นพยักหน้าช้าๆ เอ่ยเสียงเนิบนาบ “ข้าเดินทางบ่อย”
“ข้า...” ตงฟางฉุนหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ทั้งอี้โหลวและจิ้งอวิ๋นต่างก็ใช้ข้ออ้างกันไปหมดแล้ว หากเขาใช้ซ้ำกันเกรงว่าคงดูเหมือนกับลอก สุดท้ายจึงเลือกใช้คำตอบที่ต่างออกไป “ข้าไม่คุ้นชินกับเด็กและสตรี”
ครานี้ผู้อาวุโสทั้งสองแห่งยอดเขาพ้นโลกาต่างหันมามองหน้ากัน สื่อสารบางอย่างผ่านทางแววตา
ดูท่า...พวกเขาควรจะร่วมมือกันเสียแล้ว
“ท่านตงฟาง หากท่านได้ใกล้ชิดกับเด็กและสตรีก็จะช่วยให้คุ้นชินได้เอง” อี้โหลวเอ่ยพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ความจริงถ้าพูดถึงเรื่องความปลอดภัย สำนักเมฆาเรืองน่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว”
“ท่านคิดเช่นนั้นหรือ” ท่านเจ้าสำนักพรตเก็บตัวมานาน ครั้นอยู่บนเขาก็มักจะมีแต่ผู้คนเคารพยกย่องและนอบน้อม ไฉนเลยจะตามเล่ห์กลของอี้โหลวได้ทัน
จิ้งอวิ๋นยกมือขึ้นเกลี่ยไรผมซึ่งปัดผ่านใบหน้าของตนเองให้เข้าที่ น้ำเสียงเรียบเย็นดุจสายน้ำ “แววตาของนางเฉียบคมเกินวัย อุปนิสัยไม่เหมือนเด็ก คาดว่าคงมิทำให้ผู้ใดต้องเป็นกังวลมากนัก”
ตงฟางฉุนหยาคล้ายกำลังจะคล้อยตาม ทว่าจุดประสงค์เดิมก็ดึงสติของเขากลับมาอีกครั้ง “ข้าคิดว่าเราควรจะรอถามความเห็นของนางน่าจะดีที่สุด”
อี้โหลวกับจิ้งอวิ๋นหันมาสบตากัน เมื่อครู่พวกเขาเกือบจะกล่อมสำเร็จอยู่แล้วเชียว...
“ถ้าเราจะถาม ก็มีแต่ต้องพานางมาที่นี่” ท่านเจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์เอ่ยพลางเบือนสายตาไปยังศิษย์ร่วมสำนัก “จิ้งอวิ๋น แล้วในระหว่างที่เจ้ามาที่นี่ ผู้ใดกันเล่าที่คอยดูแล ‘นาง’?”
“เป็นคนที่ไว้ใจได้” จิ้งอวิ๋นตอบเลี่ยงๆ
อี้โหลวกระแอมไอ “เช่นนั้น...ท่านคิดว่าควรจะถามนางเมื่อไร”
“ข้าเพิ่งได้พบนางเมื่อไม่นานมานี้” แววตาของจิ้วอวิ๋นเผยความอ่อนโยนระคนเอ็นดูยามเมื่อเอ่ยถึงเด็กน้อย “ครอบครัวของนางมีเพียงนางกับบิดาเพียงสองคน”
หยวนจื่ออี๋กับหยวนเสียนสนิทสนมกันมาก เกรงว่าหากพวกเขาพรากบุตรีกับบิดา คงจะสร้างบาดแผลทางใจให้แก่ทั้งสองอยู่ไม่น้อย
หากเลือกได้... เขาก็อยากจะให้นางอยู่กับบิดาให้นานที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงเตือนอีกฝ่ายว่าห้ามหลั่งเลือดจนกว่าระดูจะมา
จิ้งอวิ๋นครุ่นคิดในใจขณะที่เบือนสายตาไปยังท่านเจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์
“หมายความว่าเรายังเหลือเวลาอีกประมาณสิบปีกว่านางจะมีระดูครั้งแรก?”
“นานเกินไป” ตงฟางฉุนหยาส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “นางควรเริ่มฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก อย่างน้อยก็เพื่อให้ปกป้องตนเองได้”
“เราไม่จำเป็นต้องรอนานถึงเพียงนั้น” จิ้งอวิ๋นแทรกขึ้นมาก่อนที่ผู้อาวุโสอีกสองคนจะเริ่มโต้เถียง “บิดาของนาง...เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
อี้โหลวหันหน้ากลับมายังผู้พูด “หมายความว่า?”
“หยวนเสียน...บิดาของนางป่วย” ผู้อาวุโสแห่งตำหนักหัตถ์ปราณทิพย์เผยสีหน้าสงสารออกมาเล็กน้อย “คาดว่าคงอยู่ได้อีกไม่เกินสามปี”
“รักษาไม่ได้?”
“ทำได้เพียงระงับมิให้อาการกำเริบ”
อี้โหลวพยักหน้ารับรู้ หากจิ้งอวิ๋นกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมเป็นไปตามนั้น จังหวะต่อมาจึงเคลื่อนสายตาไปยังท่านนักพรต กล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะเกรงใจอยู่ในที “ดูท่าการพบกันในปีนี้ก็คงไม่มีสิ่งใดคืบหน้ามากนัก”
“ท่านไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” ตงฟางฉุนหยาพยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องของนางเกี่ยวข้องโดยตรงกับใต้หล้า ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ พวกเราล้วนต้องใส่ใจด้วยกันทั้งสิ้น”