หิมะปริศนา [ปลาย]

1875 Words
หยวนจื่ออี๋ลุกยืนขณะที่ดวงตาสีชายังคงจับจ้องสัตว์ตัวนั้นอย่างระวังภัย เดิมทีหมู่บ้านนี้ไม่เคยมีจิ้งจอก โดยเฉพาะจิ้งจอกสีขาวสะอาดดุจหิมะที่ขนาดใหญ่เท่าหมาป่ายิ่งไม่น่ามาอยู่ในแคว้นเฉา แล้วมันมาได้อย่างไร? ไวเท่าความคิด สัตว์ร่างใหญ่ดังกล่าวก็เงยหน้าขึ้นมาจากธารน้ำแล้วสบตากับนางเข้าอย่างจัง เด็กหญิงสะดุ้งตัวรีบเอื้อมมือไปคว้าอาเฉาซึ่งอยู่ใกล้มือที่สุด ร่างของเด็กหญิงตัวผอมแห้งโยกไหวไปมา ทว่าเสี่ยวจูกับต้าหงช่วยประคองเอาไว้ได้ทัน ผิดกับหยวนจื่ออี๋ที่ซวนเซเสียหลัก ร่างเล็กป้อมโน้มเอนลงไปยังธารน้ำเบื้องล่าง หยวนจื่ออี๋ลอบกลืนน้ำลาย หวนคิดถึงคำเตือนของจิ้งอวิ๋นที่เตือนมิให้นางหลั่งเลือดก่อนที่จะมีระดู แย่ละสิ...ธารน้ำนี้ความลึกไม่มากนัก แต่ถ้าหากล้มลงไปครูดโดนก้อนกรวดหรือกระแทกโดนหิน มีหวังได้เรียกเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย “อาอี๋!” สหายทั้งสามส่งเสียงร้องกันอย่างแตกตื่นตกใจ หยวนจื่ออี๋หลับตาปี๋เตรียมรองรับกับความเจ็บและความเย็นของสายน้ำ ทว่าทันทีที่ร่างกายสัมผัสเข้ากับความยะเยือกอันแปลกประหลาดขุมหนึ่ง ดวงตาสีชาก็ลืมโพล่งขึ้นมา “หิมะ?” เด็กหญิงอ้าปากค้างมองกองหิมะที่รองรับอยู่ใต้ร่างด้วยความพิศวงงงงวย บริเวณที่ควรจะเป็นธารน้ำกลับถูกคาดด้วยความนุ่มเย็นสีขาวบริสุทธิ์ นี่มัน...ชักจะประหลาดเกินไปแล้ว! หยวนจื่ออี๋ดึงสติที่แทบเตลิดของตนเองกลับมาพร้อมกับหันขวับไปยังทิศทางที่สัตว์ร่างขนสีขาวตัวนั้นยืนอยู่ตามสัญชาตญาณ หากก็ถึงกับขมวดคิ้วยุ่งเมื่อค้นพบว่ามันหายไปจากบริเวณริมธารอย่างไร้ร่องรอย “อาอี๋...” ต้าหงอ้าปากค้าง ความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันส่งผลให้เด็กน้อยทั้งสี่ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าน้อยชิ้นร่างสั่นสะท้าน แม้จะมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็คำนึงถึงความปลอดภัยของนางเป็นอันดับแรก อาเฉากับเสี่ยวจูยื่นมือให้นางคนละข้าง หยวนจื่ออี๋ส่งมือให้พวกเขาพร้อมกับลุกขึ้นมาจากก้อนปุยนุ่ม รับรู้ถึงก้นที่เปียกแฉะของตนเอง พอพวกเขาช่วยดึงเด็กหญิงขึ้นมาเสร็จก็พากันหันไปมองก้อนหิมะ สายตาเป็นประกายตื่นเต้นและไร้เดียงสา “อาอี๋ นี่มันเรียกว่าอะไร” จริงสิ...นอกจากบนยอดเขาพ้นโลกาซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดบนแคว้นเฉาแล้ว ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่อาศัยอยู่ที่อื่นก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นหิมะมาก่อน ความเคร่งเครียดในทีแรกเริ่มจางหายไป ช่วยไขข้อข้างใจของพวกเขาให้กระจ่าง “มันคือหิมะ” หยวนจื่ออี๋ไม่คิดจะห้ามมิให้พวกเขาไปบอกต่อ เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจเยี่ยงนี้คงถูกมองว่าเป็นเพียงคำพูดเพ้อเจ้อของเด็กกลุ่มหนึ่งเท่านั้น “หิมะ...หิมะ...” เด็กน้อยทั้งสามพึมพำขณะที่กะพริบตาอย่างฉงนสงสัย “แล้วหิมะมาได้อย่างไร” ผู้ใหญ่ในเปลือกของเด็กหญิงได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นั่นสินะ... หิมะกำเนิดมาจากสิ่งใดเล่า? หยวนจื่ออี๋พยายามครุ่นคิดสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาในชั้นประถมและมัธยม ทว่าทุกสิ่งกลับว่างเปล่า ...ราวกับว่านางไม่เคยได้ร่ำเรียน หรือไม่อาจจะแค่นึกไม่ออกเท่านั้น “อาอี๋ๆ” เสียงเรียกจากต้าหงดึงสติของผู้ที่เหม่อลอยให้กลับมายังแถบหิมะสีขาวที่พาดอยู่บนธารน้ำอีกครั้ง “เราไปถามบิดาของเจ้าดีหรือไม่ บิดาของเจ้าเป็นอาจารย์ น่าจะรู้ว่าหิมะมาได้อย่างไร” “ท่านพ่อไปสอนหนังสืออยู่ที่โรงทานอีกหมู่บ้านหนึ่ง” หยวนจื่ออี๋ตอบ ในใจคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่สามารถอธิบายในแง่วิทยาศาสตร์ได้เหมือนกับโลกปัจจุบันที่นางจากมาอยู่ดี “แล้วเราจะทำเช่นไรกันต่อดี” อาเฉาพ่นลมหายใจผ่านทางฟันซีกหน้าที่เป็นรูโบ๋ เสี่ยวจูเกาศีรษะแกรกๆ หยวนจื่ออี๋ยักไหล่ “เราก็ไปเล่นว่าวกัน” “จริงด้วย! เรามาเพื่อเล่นว่าวกัน” ต้าหงโพล่งขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เป็นเพราะมัวแต่สนใจเรื่องหิมะจึงเผลอลืมไปชั่วขณะ หิมะนี่นอกจากความแปลกประหลาดและเย็นเฉียดแล้วมิเห็นจะมีสิ่งใดน่าสนใจ สู้การเล่นว่าวก็ไม่ได้... สนุกกว่ากันตั้งเยอะ! “ใครวิ่งไปถึงเนินเขาทางทิศเหนือก่อนเป็นฝ่ายชนะ!” ต้าหงยกมือเท้าสะเอวประกาศกร้าว เด็กน้อยทั้งสามกระโดดโลดเต้นก่อนจะคว้าว่าวที่วางทิ้งไว้ข้างตัวแล้ววิ่งมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ปล่อยให้หยวนจื่ออี๋ใช้ความคิดอยู่ตามลำพังเบื้องหน้ากองหิมะปริศนานี้อีกครั้ง หมาป่าหิมะกับหิมะสีขาวที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาอย่างไร้ที่มา สายลมเอื่อยเฉื่อยของฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านปอยผมที่หลุดออกมาจากมวยผมทรงซาลาเปาสองลูกคลอเคลียใบหน้าเล็ก ดวงตะวันสีเหลืองนวลส่องสว่างเหนือภูผา สรรพสิ่งรอบข้างดูเย็นสบายและสดชื่น ทว่าจิตใจของนางกลับกระวนกระวาย ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็มิอาจสงบลงได้ นางก็ได้แต่หวังว่า...ภายในวันนี้คงไม่มีเรื่องประหลาดอันใดเกินขึ้นอีก ...ว่ากันว่ามนุษย์เราจะสงสัยกับสิ่งที่ไม่รู้ และหวาดกลัวกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ หลังจากวันที่พบเหตุการณ์กองหิมะประหลาดในวันนั้นก็ล่วงเลยมายาวนานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว ผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ตรงเชิงเขายังคงดำเนินชีวิตกันอย่างสงบสุขดังเช่นที่ผ่านมา จะมีก็แต่เด็กหญิงร่างเล็กที่รู้สึกถึงความผิดปกติที่มิอาจเปิดปากบอกกล่าวกับผู้ใดได้ หยวนจื่ออี๋รู้สึกราวกับถูกสายตาคู่หนึ่งจับจ้องความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา... ตุบ! เสียงแปลกประหลาดที่ดังออกมาจากห้องรับแขกส่งผลให้อาจารย์วัยสามสิบต้นๆ ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดชั้นหนังสือในห้องนอนสะดุ้งสุดตัว อี้เอ๋อร์! ด้วยความกังวลตามจิตใต้สำนึก หยวนเสียนก็ทิ้งผืนผ้าสีเทาขุ่นในมือก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขกอย่างรีบร้อน ครั้นเห็นบุตรสาวนั่งลูบศีรษะป้อยๆ อยู่หน้าโต๊ะที่มีพู่กันและปล้องไม้ไผ่ผ่าครึ่งวางอยู่เรียงรายก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านพ่อ...” เด็กน้อยหันไปสบตาผู้สูงวัยกว่าด้วยสีหน้าสำนึกผิด “เป็นเพราะข้าเผลองีบหลับ หัวจึงโขกลงโต๊ะ” บิดาของนางช่างสมกับที่เป็นอาจารย์ เขาไม่ทำโทษโดยการตี แต่สั่งให้นางคัดอักษรว่าด้วยปรัชญาทางสังคมของขงจื๊อ[1] เนื่องจากเมื่อวานเที่ยวเล่นกับพวกต้าหงเสียดึกดื่นจนลืมกลับบ้านก่อนดวงตะวันลับจากขอบฟ้า หยวนเสียนเดินมาเชยคางเล็กขึ้นเพื่อสำรวจบาดแผลบนหน้าผากมน ไม่ปูดหรือบวม มีเพียงแค่รอยแดงจากแรงกระแทกเท่านั้น “เจ็บมากหรือไม่” ผู้เป็นบุตรีส่ายหน้าน้อยๆ ขณะที่เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ความจริงมันไม่ได้เจ็บมาก แต่นางแค่ตกใจเท่านั้น ชายหนุ่มลูบศีรษะเล็กก่อนจะชะโงกหน้ามองปล้องไม้ไผ่อันล่าสุดที่มีตัวอักษรเขียนไว้เพียงสามตัว “คัดถึงไหนแล้ว” ดวงตาสีชากลมโตหันกลับมายังผลงานของตนเอง “ถึงเรื่องหน้าที่ของบุตรและบุตรีที่พึงกระทำต่อบิดามารดา ข้อสาม สืบทอดวงศ์ตระกูลต่อจากท่าน” มือเล็กของเจ้าตัวเอื้อมไปหยิบพู่กันขึ้นมาถือใหม่ก่อนที่สีหน้าจะหม่นหมองลงในเวลาต่อมา “ท่านพ่อ ท่านเคยเสียใจไหมที่ข้าเกิดเป็นสตรี” ผู้ฟังชะงัก “เหตุใดจึงถามเช่นนี้” “ข้าไม่สามารถสืบเชื้อสายตระกูลหยวนได้” ในยุคสมัยนี้การสืบทอดแซ่และวงศ์ตระกูลถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะกับตระกูลใหญ่และผู้ที่มีฐานะทางสังคม ดังนั้นผู้คนจึงนิยมมีบุตรชาย ให้ความสำคัญแก่บุตรชายมากกว่าบุตรสาว “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก” ดวงตาของหยวนจื่ออี๋เบิกกว้างจนแทบถลนออกมาจากเบ้า “ระ...หรือว่าท่านพ่อจะ...จะมีพี่ชายน้องชายให้ข้า...” “ข้าจะมีพี่ชายน้องชายให้เจ้าได้อย่างไรเล่า” หยวนเสียนหัวเราะดังเสียจนเห็นรอยเหี่ยวย่นที่ขอบตา “ข้ามีญาติอยู่ที่เมืองหลวง ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องทายาทของสกุลหยวน” เขาเว้นจังหวะขณะที่โน้นกายลงมาจับบ่าเล็กอย่างเบามือ “อีกอย่าง ไม่ว่าอี้เอ๋อร์จะเป็นหญิงหรือชาย ข้าก็ย่อมรักเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข” “ญาติ?” หยวนจื่ออี๋ถามอย่างสงสัย ที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เช่นนั้นก็หมายความว่าสกุลหยวนมิได้มีเพียงนางกับบิดา พวกนางมิได้โดดเดี่ยวดังที่เข้าใจมาโดยตลอด ฝ่ายผู้เป็นบิดากะพริบตาเล็กน้อยคล้ายกับเพิ่งรู้สึกตัว เขากระแอมไอพร้อมเบนสายตาหนีคล้ายไม่อยากเอื้อนเอ่ยถึงมันเท่าไรนัก บางที...แค่บางทีเท่านั้น ก่อนที่บิดาของนางจะจากเมืองหลวงมา ไม่แน่ว่าอาจมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเขากับครอบครัวก็เป็นได้ เด็กน้อยครุ่นคิดอยู่ในใจ ก่อนจะรู้สึกถึงหนังตาที่เริ่มหนักอึ้งของตนเอง สติสัมปชัญญะทุกอย่างเริ่มรางเลือนก่อนที่เจ้าตัวจะจมเข้าสู่นิทราไปอีกครั้ง หยวนเสียนเบือนสายตากลับมายังแก้วตาดวงใจ เมื่อเห็นนางร่างระทวยทิ้งตัวฟุบลงบนโต๊ะหนังสือ รอยยิ้มเอ็นดูประดับขึ้นที่มุมปาก เจ้าของใบหน้าสะอาดสะอ้านเปล่งประกายอ่อนโยนชวนมองขณะที่ทอดมองลูกน้อยด้วยความรักใคร่ ‘อี้เอ๋อร์ ข้าอยากให้เจ้าเติบโตเป็นบุปผางามที่บริสุทธิ์ไร้มลทิน เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและการแก่งแย่งชิงดีแห่งนั้น...ไม่คู่ควรกับเจ้า’ เขาบอกกับนางในใจก่อนจะตรงมาช้อนร่างเล็กอุ้มขึ้นแนบอกพร้อมกับเดินไปยังห้องนอน ครั้นวางอีกฝ่ายลงบนเตียงแคบก็ร้องเพลงกล่อมนอน เสียงนุ่มทุ้มชวนฟังปลอบประโลมให้เด็กน้อยที่นอนไม่หลับมาหลายวันให้จมในห้วงความฝันอย่างเป็นสุข [1] ขงจื๊อ (**) เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมซึ่งมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีนในช่วง 551 – 479 ปีก่อนคริสต์ศักราช คำสอนของขงจื๊อหยั่งรากฝังลึกในวัฒนธรรมจีนและเอเชียตะวันออกมาอย่างยาวนานหลายศตวรรษ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD