“ไหนๆ ท่านก็มาแล้ว อยู่พักแรมที่นี่สักคืนสองคืนค่อยเดินทางกลับเถิด” เจ้าบ้านเอ่ยชักชวนอย่างเป็นมิตร
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็มีงานสำคัญที่ต้องไปทำต่อเช่นกัน” ตงฟางฉุนหยากล่าวจบก็ลุกขึ้นจากเบาะขนแกะทองคำ นัยน์ตาสีเข้มเบือนไปสบจิ้งอวิ๋นคล้ายมีบางสิ่งอยากพูด บุรุษเจ้าของเรือนผมสีเหล้าองุ่นแซมขาวเองก็ลุกขึ้นเช่นเดียวกัน
เจ้าสำนักพรตหันมาสบตาเจ้าของร่างอ้วนผู้ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กล่าวอำลาเสียงราบเรียบ “เช่นนั้นข้าขอลาก่อน”
ด้วยศักดิ์ที่เท่าเทียมกัน ครั้นตงฟางฉุนหยาค้อมศีรษะเพียงเล็กน้อย อี้โหลวก็ต้องรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับค้อมศีรษะให้เช่นเดียวกัน
“ท่านอี้โหลว ข้าเองก็คงต้องกลับแล้ว” จิ้งอวิ๋นกล่าวขึ้นมาบ้าง
“ช่างมาเร็วไปเร็วเสียจริง” อี้โหลวยกมือขึ้นมาจับท้องกลมที่กระเพื่อมไหวตามจังหวะการหัวเราะของตนเอง “งานวันเกิดของข้าปลายปีนี้ขอเชิญทุกท่านมาร่วมงานด้วย”
ตงฟางฮุนหยากับจิ้งอวิ๋นพยักหน้าพร้อมกัน “แน่นอน”
หลังจากออกมาจากตำหนักเมฆาแล้ว จิ้งอวิ๋นก็ค้อมศีรษะให้ผู้ที่อาวุโสกว่าเล็กน้อยก่อนจะเตรียมมุ่งหน้าลงจากเขา
“ท่านจิ้ง”ตงฟางฉุนหยาเอ่ยรั้งอีกฝ่าย ครั้นรอบกายพวกเขาไม่มีผู้อื่นจึงเอ่ยตรงเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม “หมู่นี้กลิ่นอายปีศาจรอบตัวท่านดูรุนแรงขึ้น”
จิ้งอวิ๋นหลุบตามองพื้นดินเบื้องล่าง แพขนตาขยับเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงแผ่ว “หมู่นี้หรงเสี่ยมาอยู่กับข้าบ่อย”
“หมายความว่าผู้ที่ท่านบอกให้คอยดูแลนางก็คือหรงเสี่ยผู้นั้น?”
ร่างในอาภรณ์สีเทาคลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าโปร่งพยักหน้าแผ่วเบา “ถูกต้อง”
ใบหน้าคมคายของตงฟางฉุนหยาเผยความไม่สบายใจออกมาอย่างที่นานๆ จะได้เห็นสักครั้ง “ข้ามิเคยได้พบหรงเสี่ยผู้นั้น ทว่าการให้ปีศาจคอยดูแลคนในคำทำนายมันอันตรายเกินไป”
จิ้งอวิ๋นนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปาก “ท่านอยากพบเขา?”
ดูท่า...เจ้าสำนักเมฆาเรืองคงไม่หยุดระแวงหรงเสี่ยจนกว่าจะได้เห็นกับตา และพิสูจน์ด้วยตนเองว่าสามารถไว้ใจในตัวอีกฝ่ายได้จริงๆ
ตงฟางฉุนหยาสบตาเขา “ได้หรือไม่”
“ย่อมได้” อีกฝ่ายตอบรับ “ทว่าน่าเสียดายนัก ยามนี้หรงเสี่ยมิได้อยู่ที่นี่”
ท่านเจ้าสำนักเมฆาเรืองเปิดญาณสัมผัสกลิ่นอายปีศาจ ครั้นพบว่าบริเวณใกล้เคียงไม่มีปีศาจจริงก็พยักหน้า “เช่นนั้นคงต้องรอโอกาสหน้ากระมัง”
“คงต้องเป็นเช่นนั้น”
“แล้วนางรู้ตัวหรือไม่?”
จิ้งอวิ๋นส่ายหน้า “หรงเสี่ยทำหน้าที่เพียงคอยจับตาดูนางอยู่ห่างๆ เท่านั้น”
กลุ่มก้อนเมฆาสีขาวเคลื่อนไหวคล้ายเกลียวคลื่น ท้องฟ้าที่เคยเงียบสงบพลันแปรปรวนขึ้นมาคล้ายจะมีพายุ จิ้งอวิ๋นกับตงฟางฉุนหยาหันมามองหน้ากัน เห็นทีคงได้เวลาต้องลาจากกันแล้ว
ตงฟางฉุนหยาละสายตาจากผืนฟ้าเบื้องบน กล่าวอำลาอย่างเรียบง่าย “ขอให้ท่านโชคดี”
จิ้งอวิ๋นประสานมือคำนับตามฐานะของอีกฝ่ายที่สูงส่งกว่า “ขอให้ท่านตงฟางเดินทางปลอดภัย” แม้สีหน้าจะเรียบเฉยทว่าสายตาแสดงออกถึงความเคารพต่อผู้ที่มีกลิ่นอายสูงส่งและบริสุทธิ์ ตบะที่ฝึกฝนมานั้นลึกล้ำและเข้มข้นมากกว่าเขาหลายร้อยปี
แน่นอนว่าระหว่างหมอกับนักพรตย่อมมีการฝึกฝนอันแตกต่าง แต่ถึงอย่างไรลำพังเพียงแค่ความเพียรพยายามก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่สมควรได้รับการยกย่อง
ศิษย์จากสำนักหัตถ์สวรรค์คิดพลางเหม่อมองเจ้าสำนักเมฆาเรืองที่ผิวปากเรียกกระบี่สีทองอร่ามที่พุ่งแหวกผ่านอากาศมาหาราวกับมีชีวิต ร่างในชุดนักพรตสีกรมท่าเหาะขึ้นไปยืนบนกระบี่อย่างสง่างาม ก่อนจะขี่กระบี่เล่มดังกล่าวหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
แคว้นเฉาเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ผลิ ทว่าแคว้นเล่อย่างเข้าฤดูร้อนแล้ว
สำนักเมฆาเรืองปกปักษ์แคว้นเล่อมายาวนานกว่าสามร้อยปี ผู้คนทุกชนชั้นนับตั้งแต่บ่าวรับใช้จนกระทั่งโอรสสวรรค์ล้วนให้ความเคารพยำเกรง ถึงขั้นที่ว่าหากมีเรื่องการบ้านการเมืองที่สำคัญ ยังต้องมีพระราชโองการเชิญผู้อาวุโสแห่งสำนักพรตแห่งนี้มาร่วมหารือด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่สำนักพรตอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพจะมีอะไรที่มากกว่าการเป็นแค่สำนักพรต ไม่ว่าจะเป็นราชนิกุล ลูกหลานขุนนางชั้นปกครอง ตระกูลพ่อค้าอันแสนมั่งคั่ง สายเลือดจอมยุทธ์และนักรบ หนอนหนังสือชั้นผู้เยาว์ ก็มีปะปนอยู่ในสำนักแห่งนี้เต็มไปหมด ผู้คนที่ถูกฝากฝังมาร่ำเรียนที่นี่ล้วนมีจุดประสงค์ที่หลากหลาย บ้างก็มุ่งมั่นทางเซียน บ้างก็มาเพื่อหาเครือข่ายที่สามารถใช้การได้ในอนาคต
กลุ่มศิษย์ชั้นผู้น้อยอายุสิบปีกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ตรงลานกว้าง อากาศบนยอดเขาเทียมสวรรค์ยามอู่[1] ค่อนข้างร้อนจัด ในมือของพวกเขาถือไม้กวาด การต้องมาทรมานกวาดลานเอาเวลานี้ย่อมหนีไม่พ้นการถูกลงโทษ
“อุ้ยเหมยถ้งถือว่าตนเองเป็นหนึ่งในศิษย์เอกจึงถืออำนาจบาตรใหญ่รังแกผู้อื่น” เด็กชายร่างผอมผู้หนึ่งเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาปาดเหงื่อที่พากันหลั่งไหลออกมาจากหน้าผากราวกับม่านน้ำตก ดวงตาของเขาแสบไปหมดจนหรี่เล็กลงเหลือให้เห็นเพียงขีดเล็กๆ บนใบหน้า
“นี่! เจ้าอย่าได้พูดเสียงดังไป” สหายอีกคนหนึ่งเอ่ยเตือนพลางหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง “ศิษย์เอกทั้งสามของท่านเจ้าสำนักธรรมดาเสียที่ไหน ขืนเจ้าพูดจาไม่ระวังมีหวังได้ถูกไล่ลงจากเขาไปพอดี”
เด็กหนุ่มพูดยังไม่ทันขาดคำก็พลันสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นแสงสีทองวาดผ่านท้องฟ้า นั่นย่อมต้องเป็นกระบี่ของผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
คนเห็นพากันทิ้งไม้กวาดในมือก่อนจะค้อมกายลงต่ำจนหน้าผากแทบชนกับพื้น “คารวะท่านเจ้าสำนัก”
สิ้นเสียงของพวกเขา แสงสีทองเรืองรองก็หายลับไปจากม่านฟ้า ตำแหน่งที่มุ่งไปคือตำหนักที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด ตำหนักตัดอาลัยตั้งอยู่ใจกลางสระเหลียนฮวา[2] ซึ่งมีรัศมีกว่าสามลี้ ยามฤดูร้อนบุปผางามเบ่งบานมีผึ้งแมลงมาดมดอม หนทางเข้าออกตำหนักของท่านเจ้าสำนึกมีสองทางคือใช้วิชาตัวเบาหรือขี่กระบี่เข้ามา
ผู้อาวุโสในร่างของชายหนุ่มก้าวลงจากกระบี่ อาวุธประจำกายเปล่งประกายคล้ายกำลังพูดคุยกับเขา ตงฟางฉุนหยาพยักหน้าน้อยๆ เพียงเท่านั้น กระบี่สีทองก็ลอยไปแขวนอยู่บนผนังอย่างสงบเสงี่ยม
การเดินทางอันยาวนานติดต่อกันส่งผลให้เขาเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ทว่าเจ้าตัวก็ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ขณะที่ครุ่นคิดบางสิ่งในใจอย่างมิอาจสลัดออกจากห้วงคิดไปได้
ปล่อยให้ปีศาจดูแล... ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจเบาใจ
ต่อให้ท่านจิ้งอวิ๋นจะรับประกันเรื่องความปลอดภัย และพลังของนางยังไม่เปิดเผยออกมาเต็มที่ แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยงให้ปีศาจมาคอยตามตอแยใกล้นางอยู่ดี
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเผยแววครุ่นคิดออกมาครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาราบเรียบดังเดิม เพียงไม่นานเสียงเคาะประตูหน้าเรือนของเขาก็ดังขึ้น
“ท่านอาจารย์เรียกศิษย์หรือขอรับ”
ตงฟางฉุนหยาเบือนสายตาไปยังผู้มาใหม่ บุรุษเบื้องหน้าเขาเป็นชายหนุ่มอายุสิบหกปี รูปหน้าทรงวงรีเข้ากับคิ้วโก่งราวกับก้านหลิว ผิวสีขาวเหลืองนวลเนียนราวกับอิสตรีตัดกับชุดนักพรตสีกรมท่า เรือนผมสีรัตติกาลเกล้าขึ้นเป็นมวยเสียบด้วยปิ่นไม้หอมสีดำสนิท ที่โดดเด่นที่สุดคือนัยน์ตาสีเทาหม่นสองข้างที่มืดบอดแต่ยังคงความอ่อนโยนบนสีหน้าไว้อย่างไร้ที่ติ
“เหวยเซียว” ผู้เป็นอาจารย์เรียกชื่อศิษย์เอกอันดับหนึ่งของตน “ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่”
เหวยเซียวประสานมือค้อมศีรษะพร้อมกับหลุบตาลง “เรียนท่านอาจารย์ ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ”
เขารู้ดีว่าการที่เหวยเซียวพิการตาบอดนั้นมิได้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตประจำวันแต่อย่างใด
“ดีแล้ว” ตงฟางฉุนหยาเบือนสายตาไปยังเหลียนฮวาในสระที่เบ่งบานอยู่ด้านนอก “เหวยเซียว มีเรื่องบางอย่างที่ข้าอยากให้เจ้าทำ”
เหวยเซียวผู้นี้แตกต่างจากผู้อื่น... เขาสามารถจับรูปร่างของทุกสิ่งรอบตัวได้ด้วยเสียง แม้มิอาจเห็นภาพทุกอย่างชัดเจน แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนปกติ จนผู้อื่นรอบตัวแทบลืมไปแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นตาบอด
เขารับเด็กคนนี้เป็นศิษย์เอกคนแรกตั้งแต่อีกฝ่ายอายุสี่ขวบ ตลอดเวลาสิบสองปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายตั้งใจร่ำเรียน ขยันและอดทน แม้จะอ่านหนังสือและเขียนอักษรไม่ได้ แต่ก็ได้รับพรสวรรค์ทางด้านอื่น เหวยเซียวคือนักพรตผู้มีวรยุทธ์และกำลังภายในที่ล้ำเลิศหาจับตัวได้ยากคนหนึ่ง
“เชิญท่านอาจารย์สั่งการ” เหวยเซียวกล่าวอย่างนอบน้อม
“ข้าอยากให้เจ้าเดินทางไปยังแคว้นเฉา คอยติดตามอารักเขาเด็กคนหนึ่ง...”
แสงตะวันสาดส่องสะท้อนลงบนผืนน้ำเกิดประกายแวววาว หยดน้ำบนใบบัวเกลือกกลิ้งไปมาคล้ายเต้นรำ โชคชะตาเกี่ยวรัดผู้คนดั่งเงื่อนตายไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจฝ่าฝืน
[1] ยามอู่ คือเวลาประมาณ 11.00 น. – 12.59 น.
[2] เหลียนฮวา (**) หมายถึง ดอกบัว