ตอน2

1657 Words
ความร้อนระอุภายนอกอาคารสีขาว ทำให้ผู้สัญจรไปมาหาที่หลบตามร่มไม้ บ้างหยิบพัดมาปัดเป่าเพื่อระบายความร้อนภายในเรือนกาย บ้างดื่มน้ำดับกระหายและสนทนาตามประสาญาติผู้ป่วยที่รับการรักษาอยู่ภายในโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง ยามเมื่อลมพัดมาสร้างความชื่นใจเมื่อลมต้องกายและลมนั้นก็สามารถทำให้ใบไม้ที่เหี่ยวแห้งร่วงหล่นลงพื้นเกลื่อนบริเวณโดยรอบ มีใบไม้สีเขียวแกมน้ำตาลร่วงหล่นตามแรงลมยามเมื่อลมโชยอ่อนพัดมา หากแต่ก่อนหน้าลมแรงเพียงใดมันยังเหนี่ยวรั้งยื้อก้านกิ่งอย่างเหนียวแน่น แต่บัดนี้มันอ่อนแรงลง เรี่ยวแรงที่จะยื้อไว้ก็มิอาจต้านทานแรงลมเพียงน้อยนิดได้ น่าเสียดายยิ่งที่ครั้งหนึ่งยังคงความเขียวและงดงาม เมื่อผู้คนผ่านมาแวะชม ทอดสายตามองด้วยความพึงใจ แต่เวลานี้กลับถูกศัตรูพืชทำลายให้มีจุดวงสีน้ำตาลตามใบอยู่ประปราย ขอบใบแห้งแม้แต่ก้านยังไหม้ดำไม่เหลือเค้าความงามสมบูรณ์แบบที่ธรรมชาติเคยรังสรรค์ให้ นี่คงเป็นหนึ่งเหตุปัจจัยที่ทำให้ใบไม้ยังมิอาจเหนี่ยวรั้งก้านใบของมันให้หลุดร่วงหล่นจากลำต้นเมื่อต้องลมแรง ชีวิตของคนก็คงเหมือนกับใบไม้ที่มิถูกหักโค่นให้ร่วงหล่นจากกิ่งก้านเพราะฝีมือมนุษย์ด้วยกันฉันใด ก็คงเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บฉันนั้น ยากนักกับการรอให้อายุขัยพรากจิตวิญญาณของคนอันเป็นที่รักไป เสียงแผ่วเบากระซิบอย่างสั่นเครือปานจะขาดใจ ส่งให้ร่างที่ไร้วิญญาณเพื่อให้ร่างน้อยที่กล่าวได้ว่ามีเพียงหนังหุ้มกระดูก หนังศีรษะโล้น สีผิวมิได้ขาวนวลเปล่งปลั่ง กลับซีดเหลืองและมีกระดูกโปกปูนขึ้นให้เห็นชัดเจนตามโหนกแก้ม ไหปลาร้าและข้อมือข้อแขน หวังเพื่อให้วิญญาณของสตรีอ่อนเยาว์ที่นอนแน่นิ่งรับรู้ความรู้สึกลึกๆ ของเจ้าของเสียง สองปีกับการได้ดูแลวิญญาณพลัดถิ่นที่สิงสถิตยังร่างบุตรีของตนให้สู่สังสารวัฏอันแสนงดงาม ‘ขอบคุณ…ขอบคุณที่มาเป็นลูกให้ฉัน...ขอให้พบเจอแต่คนที่ดี แม่คนนี้จะสวดมนต์ให้เจ้า...หนิงเยว่’ เสียงสั่นเครือกระซิบบอก ย่อมทำให้ดวงจิตนั้นรับรู้ก่อนที่จะสละร่างไปอย่างไม่มีวันกลับ หางตามีหยาดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงข้างแก้ม เพื่ออำลาผู้เป็นมารดาเพียงชั่วระยะสั้นๆ ก่อนที่จะมีบางสิ่งกระชากดวงจิตอย่างแรง จนทำให้เจ้าของดวงวิญญาณนั้นยังไม่ทันได้ตื่นตระหนก ทุกอย่างก็มืดมิด ความรู้สึกเคว้งคว้าง โหวงเหวงสลับเบาโล่งที่ทรวงอกอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้นกับดวงวิญญาณของสตรีที่เพิ่งจะสละออกจากร่างหนึ่งมา เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น เหมือนดวงวิญญาณเร่ร่อนจะได้รับแรงกระแทกอย่างหนักราวกับมีมือหนาผลักให้ล่วงหล่นลงเหวลึกและกระแทกซ้ำลงบนพื้นปถพีที่หนาแน่นด้วยมลดินจนวิญญาณแทบแหลกสลาย...เพียงไม่นานความรู้สึกอื่นก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย ดวงวิญญาณหลังจากรับรู้บางสิ่งที่มหัศจรรย์เมื่อครู่ ทำให้ความรู้สึกที่ควรจะเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กับการถูกกระแทกกลับแทรกความเหนื่อยล้าแทน ความรู้สึกถึงลมหายใจของตนเอง ความร้อนในเรือนกาย กลิ่น เสียง รวมถึงการสัมผัสรับรู้จากประสาททั้งห้า เพียงไม่นานร่างผอมบางไร้เรี่ยวแรง ริมฝีปากแห้งผากค่อยกระดิกที่ปลายนิ้ว และเริ่มกลืนน้ำลายของตนเอง พร้อมกับรับรู้ว่าสิ่งที่ร่างกายนี้ต้องการมากที่สุดคือ ‘น้ำ’ นางเรียกร้องขอน้ำ แต่หามีสิ่งที่ต้องการหยิบยื่นให้ไม่ แพขนตาค่อยๆ ขยับ นิ้วชี้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ดวงตาดังเนื้อทรายเริ่มเปิดรับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า นางกลับมา...ซิ่นหนิงเยว่กลับมา นางฟื้นคืนสติอีกครั้งและกำลังมองไปรอบๆ โดยใช้สายตาทำหน้าที่ของมัน เคร้ง! เสียงวัตถุล่วงหล่นกระทบพื้น เจ้าของร่างผอมบางที่เมื่อครู่ใช้สายตาปรับภาพเบื้องหน้า จำต้องชำเลืองหางตาไปทางเสียงเมื่อครู่นี้ ภาพที่เห็นคือสตรีร่างเล็กผู้หนึ่งยืนแข็งทื่อ เบ้าตามีน้ำตาคลอ "คุณหนู...คุณหนูของบ่าว ฟื้นแล้ว" หยวนเพ่ยวิ่งรี่เข้ามาเมื่อเห็นผู้เป็นนายของตนลืมตาขึ้นหลังจากนอนไม่ได้สติมานาน จนสาวใช้ผู้ภักดีคิดว่าผู้เป็นนายคงไม่ฟื้นขึ้นมาเสียแล้ว นางไม่อาจหักห้ามน้ำตาของตนไม่ให้หลั่งรินลงข้างสองแก้ม นางมองไปยังผู้เป็นนายด้วยความดีใจปนช้ำใจกับความน่าอดสูของผู้เป็นนายสาว แววตาเหม่อลอยของหญิงสาวซึ่งเวลานี้มีร่างกายผ่ายผอม แต่ก็พยายามเอ่ยคำที่ยากยิ่งด้วยริมฝีปากอันแห้งผากนั้น "น้ำ ข้าขอน้ำ" สาวใช้กระวีกระวาดทำให้อย่างไม่รั้งรอ "น้ำ? เจ้าค่ะ น้ำ! รอบ่าวสักครู่นะเจ้าคะ" หยวนเพ่ยรินน้ำชาและประคองผู้เป็นนายของตนลุกขึ้นดื่มน้ำ นางดื่มอึกใหญ่ด้วยการความกระหาย "หยวนเพ่ยข้าหลับไปนานเท่าไหร่" นางเอ่ยถามสาวใช้ด้วยเสียงที่แสนจะยากยิ่งยามเปล่งออกมา "สองเดือนเจ้าค่ะ คุณหนูหมดสติไปสองเดือน" "อืม!" ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยตอบรับสั้นๆ เท่านั้น และหลับตาลงสักพัก ก่อนที่จะลืมตามามองบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง "ท่านแม่ทัพ?" "เอ่อ...คือ" "ช่างเถอะ เจ้าพยุงข้านั่งเถิด" นางไม่ต้องการคำตอบใดๆ เพียงแค่ถามไปอย่างนั้นเท่านั้น "เจ้าค่ะ" หยวนเพ่ยรับคำ แล้วพยุงซิ่นหนิงเยว่ให้นั่งได้ไม่ยากนัก เพราะร่างของนายตนไม่ได้มีเนื้อหนังมากเหมือนแต่ก่อน "ระหว่างที่ข้าหมดสติเจ้าคงลำบากมากสินะ" นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ไม่! ไม่เจ้าค่ะ บ่าวไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ เมื่อเทียบกับสิ่งที่บ่าวทำ แค่นี้ยังน้อยเกินไปเจ้าค่ะ" สาวใช้อดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ขอแค่นายของตนตื่นขึ้นมานางยอมแลกกับความลำบากได้...นางแลกได้! "เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แก้ไขสิ่งใดได้เล่า พวกมันหลอกเจ้า ข้าเองก็โง่งม สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือฟื้นร่างกายของข้าเสียก่อน" "เจ้าค่ะ บ่าวจะไปต้มข้าวต้มให้นะเจ้าคะ คุณหนูรอบ่าวก่อนนะเจ้าคะ" หยวนเพ่ยรีบออกจากเรือนมุ่งไปยังโรงครัว เพื่อนำอาหารมาบำรุงผู้เป็นนายของตน ในที่สุดเจ้านายของตนนางก็กลับมา เจ้าของใบหน้าที่ยิ้มแก้มปริสาละวนอยู่กับอาหารของนายด้วยความตั้งอกตั้งใจ หนึ่งเดือนหลังจากที่ซิ่นหนิงเยว่ฟื้นคืนสติขึ้นมา นางบำรุงร่างกายตามที่หยวนเพ่ยผู้เป็นสาวใช้สรรหามาให้ ทำให้เวลานี้นางเดินเหินได้เป็นปกติ ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแรงบ้าง แต่ก็ดีกว่าช่วงแรกๆ ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียว เนื้อหนังมิได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่หาได้ทำให้ความงามของนางลดน้อยลงแต่อย่างใด "หยวนเพ่ย เจ้ามาใกล้ๆ ข้าซิ" หยวนเพ่ยเดินเข้ามาใกล้ตามคำสั่งอย่างว่าง่าย "ระหว่างที่ข้าหมดสติ เจ้าออกไปนอกจวนเห็นใครมีท่าทีแปลกไปหรือไม่? " "บ่าวก็ออกไปตามปกติ แต่ไม่เห็นมีใครผิดแผกไปเจ้าค่ะ" "แล้วในจวนนี้เล่า เช่นอี๋เหนียงคนใดของท่านแม่ทัพที่นิสัยเปลี่ยนแปลงไปบ้าง" "ไม่มีนี่เจ้าคะ แต่ละนางก็อยู่ในเรือนของตน ถ้าจะมี เอ่อ...ก็คงเป็นหรงเซียะเหม่ย อี๋เหนียงลำดับสี่นะเจ้าคะ" "นางแปลกอย่างไร?" "เอ่อ นางมักจะออกจากจวนบ่อยๆ จนท่านแม่ทัพบ่นและเรียกนางไปอบรมว่านางมักออกไปเที่ยวเล่นตามที่ต่างๆ และยังแตกตื่นเมื่อเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ นางทำราวกับไม่เคยเห็นมาก่อนเจ้าค่ะ" "นอกจากความอยากรู้อยากเห็นแล้ว นางมีกิริยาท่าทางของนางเล่าเป็นอย่างไร" "ปกติดีเจ้าค่ะ นางก็ยิ้มระรื่นดีกับทุกคน ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้มากนัก เดิมทีนางจะเป็นสตรีที่สงบเสงี่ยม และบีบน้ำตาเสมอยามถูกต่อว่าต่อขาน และที่ผิดสังเกตมากหน่อย น่าจะเป็นนิสัยที่ดูเหมือนเด็ก อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด อ๋อ! ยังมีอีกเจ้าค่ะ นางทั้งเอาอกเอาใจท่านแม่ทัพต่อหน้าสตรีนางอื่นมากเกินงามเจ้าค่ะ" "นางเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด?" "เอ่อ...เปลี่ยนไปตอน...เอ่อ” สาวใช้ทำท่าครุ่นคิด "เอ๋..ถ้าบ่าวจำไม่ผิดก็น่าจะราวๆ ก่อนที่คุณหนูจะเกิดเรื่องประมาณปักษ์ [1] หนึ่งเจ้าค่ะ" "อืม" ข้าเองสินะที่โง่งมจนไม่ทันสังเกตนาง คอยสังเกตนางแล้วกลับมาเล่าให้ข้าฟัง" "สังเกตหรงอี๋เหนียงหรือเจ้าคะ คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ" หยวนเพ่ยสงสัย เพราะแทนที่นางจะคิดหาหนทางแก้ไขเรื่องระหว่างตนเองกับท่านแม่ทัพ เหตุใดนายของตนต้องสนใจเรื่องของหรงอี๋เหนียงด้วย "ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่อยากรู้ว่านางจะคิดทำร้ายอะไรข้าอีก" "ได้เจ้าค่ะคุณหนู" หยวนเพ่ยรับคำ "ข้าจะพักผ่อน เจ้าออกไปได้แล้ว" หยวนเพ่ยรับคำและรีบออกจากเรือน ปล่อยให้ผู้เป็นนายอยู่ตามลำพัง "นางเปลี่ยนไปประมาณปักษ์หนึ่งหรือ ก็คงช่วงหลังจากที่ หรงอี๋เหนียงจมน้ำสินะ ฟื้นมาก็มีนิสัยเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน" "ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคือใคร...หรงเซียะเหม่ย!" [1] ปักษ์ หมายถึง สิบห้า ในที่นี้หมายถึงสิบห้าวัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD