มื้อเที่ยงมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าและซิ่นหนิงเยว่ที่ทานอาหาร โดยไร้ซึ่งบรรดาอี๋เหนียง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ต่างฝ่ายต่างคีบอาหารใส่ชามตนเอง โดยไม่มีการพูดคุยสนทนาเรื่องใดๆ จวบจนทั้งคู่ทานเสร็จผู้ที่เอ่ยปากขึ้นก่อนเป็นฮูหยินผู้เฒ่า
"งานเลี้ยงมีช่วงหัวค่ำ แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องตื่นเช้าเพื่อจัดการขัดผิว ทำผม แต่งหน้า จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ช่วงเช้าหยูเยี่ยนต้องเข้าวังก่อน แล้วจะกลับมาแต่งตัวช่วงบ่ายๆ" ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นและมองหน้าสะใภ้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
"เจ้ามิเคยเข้าวัง อีกทั้งในวันงานข้าก็มิอาจจะอยู่คอยเตือนเจ้าได้ คิดจะทำตัวก็ให้สมกับตำแหน่งฮูหยินของท่านแม่ทัพบูรพา อย่าเที่ยวเดินส่งเดช ผู้อื่นเห็นจะได้ไม่ครหานินทาได้ว่าเป็นสตรีที่ไม่ได้รับการอบรม"
"เจ้าค่ะท่านแม่" นางตอบรับ
"อืม! หากเจ้าว่างก็ดูแลบรรดาอนุของสามีเจ้าเสียบ้าง ให้รู้ถึงตำแหน่งของตัวเองเสียบ้าง ตัวข้าเองไม่อยากเข้าไปก้าวก่ายครอบครัวของเจ้านัก โตๆ กันแล้ว ในเมื่อแต่งเข้ามาก็หาใช่จะทำแต่เพียงหน้าที่ดูแลค่าใช้จ่ายในจวน หน้าที่และกฎของจวนก็อย่าทำให้ย่อหย่อน รู้ถึงหูคนนอกจวนจะทำให้อับอายขายหน้าผู้อื่นได้ หากจะลงโทษพวกนางก็ให้อยู่ในขอบเขต"
"เจ้าค่ะ"
"แม้ข้าจะไม่พอใจเหตุผลที่ต้องแต่งเจ้าเข้ามาในตระกูลสักเท่าไหร่ แต่ข้าจำต้องทำใจยอมรับเจ้าเป็นฮูหยินของหยูเยี่ยน หากไม่เพราะบิดาเจ้ามีตำแหน่งในวังอยู่บ้าง ผนวกกับเรื่องราววันนั้นเหล่าขุนนางและบรรดาฮูหยินทั้งหลายร่วมเห็นเหตุการณ์ ข้าคงให้แต่งเจ้าเป็นได้แค่ฮูหยินรองหรืออนุ"
“บุรุษที่ไร้ใจเจ้าก็ต้องฝืนใจยอมรับ อดทนให้จงหนักดังขุนเขา เมื่อพ้นบิดาต้องเชื่อฟังสามี อย่าคิดทำเรื่องโง่งมเช่นการปลิดชีพของตนเพื่อเรียกร้องให้บุรุษสนใจ แม้เจ้าจะรู้สึกไม่พอใจที่ข้าเตือน แต่นี่ก็ถือว่าเป็นความหวังดีของข้า อย่างไรก็เป็นลูกผู้หญิงเหมือนกัน จงจำไว้อย่าง บุคคลเปิดช่องให้โทสะเข้าครอบงำ มักนำความวิบัติมายังครอบครัว"
"เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะจำใส่ใจ ขอบคุณท่านแม่ที่สอนสั่ง" ฮูหยินผู้เฒ่ายืนขึ้นเพื่อลุกกลับเรือนของตน ทำให้ซิ่นหนิงเยว่จำต้องลุกขึ้นคารวะ
"อ๋อ! ข้าจะสั่งคนให้มาช่วยเจ้าแต่งหน้าแต่งตัวแล้ว ไม่ต้องกังวลไป อย่างไรวันงานข้ามิอาจทำให้ตระกูลขายหน้าได้" เมื่อกล่าวจบนางก็เดินจากไป ส่วนซิ่นหนิงเยว่เมื่อเห็นว่ามารดาของสามีเดินกลับเรือนไปแล้ว จึงตนก็เดินกลับไปบ้าง
หัวค่ำน้ำร้อนถูกเทลงอ่างเพื่อผสมให้เข้ากับน้ำเย็น อุณหภูมิของน้ำจะได้ทำให้เจ้านายของตนผ่อนคลาย ซิ่นหนิงเยว่เปลื้องผ้าออก แล้วก้าวลงอ่างน้ำที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้วยดีอย่างดีจากฝีมือของหยวนเพ่ย
"คุณหนูผิวลื่นมากเลยนะเจ้าคะ อีกทั้งขาวราวกับน้ำนม บ่าวล่ะอิจฉาเหลือเกิน"
"เจ้าก็ไม่ต่างจากข้าหรอกน่า ดูเจ้าสิ หน้าตางดงาม ขนตางอนยาว ผิวก็ขาว หากใครบอกว่าเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ย่อมมีคนเชื่อ"
"คุณหนูล้อข้าเล่นอยู่เรื่อยเลย ข้าน้อยมีปานแดงดวงใหญ่ ใครเห็นก็พานแต่จะรังเกียจ มีแต่คุณหนูกับซิ่นฮูหยินนั่นแหละที่มิรังเกียจข้าน้อย"
"ปานแดงที่ลำคอเพียงนิดนี่นะน่ารังเกียจ เชอะ!"
"เล็กที่ไหนเล่าเจ้าคะ เท่าฝ่ามือหรือใหญ่กว่าด้วยซ้ำ ไม่เอาแล้วอย่าพูดถึงเรื่องของบ่าวเลยเจ้าค่ะ บ่าวมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้คุณหนูฟังเจ้าค่ะ" หยวนเพ่ยช่วยขัดหลังและเอ่ยเรื่องที่ตนได้ยินมา
"ช่วงที่บ่าวไปนำน้ำร้อนมา บังเอิญได้ยินสาวใช้ของอี๋เหนียงใหญ่เล่ากันว่า วันนี้นางต่อว่าอี๋เหนียงลำดับสี่หลังจากที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าลงโทษเจ้าค่ะ"
"ต่อว่าเรื่องอะไร?"
"บ่าวแอบได้ยินมาเจ้าค่ะ ว่าที่อี๋เหนียงใหญ่พาคนมาที่เรือนรับรอง เพราะหรงอี๋เหนียงชวนไปดูชุดที่
ฮูหยินเลือกใส่ไปงานที่ราชวังเจ้าค่ะ แต่นางไม่กล้ามาคนเดียวจึงชวนอี๋เหนียงใหญ่ โดยอ้างว่าจะได้มีแบบมาตัดชุด เพราะได้ผ้าแพรพระราชทานค่อนข้างมาก"
"อืม"
"คุณหนูไม่โกรธหรือเจ้าคะ?"หยวนเพ่ยถามด้วยความสงสัย ขนาดตัวนางเองแอบฟังยังโกรธแทนนายของตนเอง
"โกรธสิ แต่เจ้าอย่าลืมว่านางเป็นถึงดวงใจของท่านแม่ทัพจางเชียวนะ หากนางอยากหาเรื่องใส่ตัวเองก็ปล่อยนางไป ข้าอยู่เฉยๆ ครองตำแหน่งฮูหยินไม่ดีกว่าหรือ?"
"จริงด้วยเจ้าค่ะ" หยวนเพ่ยเอ่ยหลังจากคิดพิจารณาแล้ว ส่วนซิ่นหนิงเยว่หลับตานึกถึงอี๋เหนี่ยงใหญ่ที่ตนได้ปะทะคารม นางแต่งเข้ามาหลังจากที่ตนแต่งเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพจางได้เพียงสามวัน และงานแต่งนี้ยิ่งใหญ่พอๆ กับแต่งนางเข้ามา จะไม่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรในเมื่อ
เฟิงหรูอวี้รักหน้าตาของตนยิ่ง ผนวกกับบิดาเป็นถึงใต้เท้าผู้ตรวจการณ์ บรรดาใต้เท้าหัวเมืองต่างๆ ย่อมให้เกียรติเขาอยู่เจ็ดส่วน เพราะทุกปีเขาต้องไปตรวจสอบการทำงานของบรรดาขุนนางตามหัวเมือง และเขียนรายงานให้แก่กับราชสำนัก ด้วยใต้เท้าเฟิงไม่มีบุตรชาย และเฟิงหรูอวี้เป็นบุตรีคนแรกของจวน จึงทำให้คนในจวนดูแลนางเป็นอย่างดี เสมือนนางเป็นคุณหนูใหญ่ที่เกิดจากเฟิงฮูหยิน หากแต่ไม่ใช่ ด้วยเพราะนางเกิดจากอนุ และอาจเป็นเหตุผลมีคนคอยตามอกตามใจ จึงทำให้เป็นสตรีเอาแต่ใจ มักเย้ยหยันผู้คนเสมอ และเหตุผลของลูกอนุนี้เองจึงที่ทำให้นางมิมีสิทธิ์แต่งเป็นฮูหยินรองได้ มิเช่นนั้นซิ่นหนิงเยว่คงเหนื่อยกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน
หรงเซียะเหม่ยด้วยมีจิตของอาจู คงยังไม่รู้ว่าเฟิงหรูอวี้เก่งเรื่องอาละวาดและมิยอมคน ถึงแม้จางหยูเยี่ยนจะมิได้รักนางมากเท่ากับ
หรงเซียะเหม่ย แต่ซิ่นหนิงเยว่มั่นใจว่าจางหยูเยี่ยนคงไม่คิดจะเข้าไปลงโทษนาง เพราะด้วยนิสัยของเฟิงหรูอวี้จะไม่ยอมโดนลงโทษฝ่ายเดียวแน่นอน
ส่วนทางด้านเฟิงหรูอวี้ที่กำลังนอนให้สาวใช้คอยบีบนวดตัวและเช็ดเนื้อตัวให้อยู่ และบรรดาสาวใช้ก็ปรนนิบัติพัดวีนางเป็นอย่างดี
"นายหญิง ไม่กลัวหรงอี๋เหนียงจะไปฟ้องท่านแม่ทัพหรอกหรือเจ้าคะ อีกเรื่องนั่งคุกเข่าที่นางถูกพวกบ่าวกีดกันอีก" สาวใช้นามเหอลิ่ว เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
"ไม่กลัวสักนิด ก็ลองให้นางฟ้องสิ ข้าก็อยากรู้นักว่านางจะรวบรวมความกล้าได้หรือไม่ เรื่องนี้พยานรู้เห็นก็มี นางไม่ใช่หรือที่บากหน้ามาหาข้าที่เรือน บรรดาอี๋เหนียงคนอื่นก็อยู่ร่วมด้วย ส่วนเรื่องนั้นเจ้าจะกลัวไปไย ที่นั่นมีแต่คนของเรา หากนางกล้าที่จะฟ้องท่านแม่ทัพ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านางจะอยู่อย่างสงบสุขในเรือนได้หรือ ท่านแม่ทัพคงจะมีเวลาปกป้องสตรีของตนเองได้ทุกชั่วยามหรือ?อย่าโง่ไปหน่อยเลย"
"แต่เดี๋ยวนี้นางเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนนะเจ้าคะ หากไม่ได้ฟ้องจริงก็อาจพูดบิดเบือน บ่าวรู้สึกกลัวใจหรงอี๋เหนียงเจ้าค่ะ คิดว่านางจะใช้ความเป็นคนโปรดจากท่านแม่ทัพเปลี่ยนดำให้เป็นขาว หากเรื่องถึงหูท่านแม่ทัพโดยที่เราไม่ได้โต้แย้งอะไรเลย บ่าวเกรงว่า... "
"นั่นก็เรื่องของนาง หากข้าเจ็บ นางก็ต้องเจ็บมากกว่าข้าแน่ นางยังเดินไม่มั่นคงก็ริอาจจะวิ่งแล้ว ไม่ล้มก็ให้รู้ไป" นางตอบด้วยรอยยิ้มแฝงความร้ายกาจ ทำให้บรรดาสาวใช้พลอยนางยิ้มตาม