การฝึกฝนที่เลือดตาแทบกระเด็น (3)

1066 Words
                        “เจ้าบ้า ข้าเป็นผู้ชายโว้ย” เจ้าตัวโวยวายก่อนจะหันหลังเดินหนีอย่างหงุดหงิด ขนในกายลุกชันหลังจากที่ห่างหายไปนาน ตั้งแต่เป็นอาจารย์หมอเต็มตัวด้วยความน่ายำเกรงจึงทำให้ไม่มีใครกล้ามาจีบ            “แหม ข้าก็รู้หรอกว่าเจ้าเป็นชาย แต่ว่าเจ้ามันน่ารักจริงๆ นี่ ฮ่าๆๆ” ลู่เฟยตอบกลับและเดินตามหลังอย่างไม่รีบร้อน            “เจ้าใช้ตาไหนมองกันว่าข้าน่ารัก ข้าจะได้ช่วยรักษาให้หายตาฝ้าฟาง” จิวชงหยวนหันกลับมาตะคอกใส่อย่างหงุดหงิด ดวงตาเรียวคมมองคนหน้ายิ้มอย่างดุๆ            “ยิ่งเจ้าดุยิ่งดูมีเสน่ห์” ลู่เฟยยังตอบโต้ด้วยรอยยิ้มที่ดูจะเป็นยิ้มที่จริงใจที่สุด แววตามองคนหน้าแดงอย่างแพรวพราว แต่ใครจะรู้ดีกว่าจิวชงหยวนที่หน้าแดงเพราะกำลังโมโห            “ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว หายบ้าเมื่อไรค่อยมาคุย”            จิวชงหยวนตอบกลับพร้อมกระโจนหายไปในหุบเขา หลีกหนีคนบ้าที่ทำให้โมโห ร่างบางเดินหาสมุนไพรสดที่หายากหลายชนิดใส่กระเป๋าย่าม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลู่เฟยเดินตามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นทุกครั้ง จนเขาอยากจะเห็นสีหน้าที่แท้จริงของคนตรงหน้าเสียจริง            มือเรียวขาวผ่องของลู่เฟยยื่นกำไลให้ นี่เป็นของแถมในภารกิจเพราะฉะนั้นเขาต้องรับมันไว้ กำไลหยกสีเขียวงดงามอยู่ข้อมือซ้าย ดวงตาเรียวมองคนที่จ้องเขาไม่วางตาแล้วทำหน้าเบื่อหน่ายเมื่อขลุ่ยหยกยื่นมาตรงหน้า            “ข้าเป็นผู้ชาย” ตอบกลับแล้วเดินหนี ทว่าข้อมือถูกยึดไว้โดยลู่เฟยที่ยื่นขลุ่ยหยกมาให้ด้วยรอยยิ้ม            “ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากข้าก่อนจาก เพราะข้าเองก็ใช่ว่าจะลงไปยังโลกมนุษย์ได้ง่ายๆ และเจ้าเองใช่ว่าจะได้กลับมาที่นี่ง่ายๆ เช่นกัน” คำกล่าวที่ย่ำเตือนความจริงทำให้จิวชงหยวนยืนนิ่ง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วสะบัดมือหนีทันทีเพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ทำใจยอมรับว่าเป็นของหมั้นหมายไม่ได้อยู่ดี            “ชงหยวน” เสียงเรียกชื่อทำให้เท้าหยุดชะงักน้ำเสียงที่ดูคล้ายเสียใจทำให้จิวชงหยวนไม่คุ้นชิน ในที่สุดก็ยอมหันกลับมามองคนเรียกอย่างอ่อนใจ            “ข้าจะรับไว้ในฐานะลูกศิษย์เท่านั้น”            “เอาตามความสบายใจของเจ้าเถอะ แต่สำหรับข้ามันก็คือของหมั้นหมาย” คำตอบและรอยยิ้มทำให้จิวชงหยวนอยากจะชักกระบี่ผ่าตัดสมองลู่เฟยมาดูว่าคิดอะไรอยู่กันแน่            “หากข้าไม่รับเจ้าก็จะเดินตามอยู่แบบนี้ใช่ไหม” เอ่ยถามอย่างเหนื่อยใจ รอยยิ้มที่ตอบกลับมาทำให้รู้สึกหงุดหงิด เพราะไม่ว่าอย่างไรคนตรงหน้าก็ยิ้มตลอดเวลาจนไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่            “หากอยากให้ข้ารับไว้จริงๆ ก็ช่วยแสดงสีหน้าที่แท้จริงให้ข้าดูก่อนสิ” น้ำเสียงต่อรองและแววตาเรียวที่มองมาทำให้ลู่เฟยชะงักไปนิดแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบาง            “เจ้าพูดอะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจ” คำตอบที่ได้รับไม่ต่างอะไรจากที่คิดไว้ จิวชงหยวนจึงหันหลังหนีอีกครั้งเพราะเขาเองก็ไม่อยากรับของจากคนที่เสแสร้งเหมือนกัน อยู่ด้วยกันมาแปดเดือนเขายังดูไม่เคยออกว่าลู่เฟยคิดอะไร และจะทำอะไรกันแน่            “ข้าจริงจังกับเจ้าชงหยวน ข้าไม่อาจลงไปดูแลเจ้าได้และข้าเองก็ไม่ได้หวังสิ่งใดจากเจ้า มันคือความห่วงใยจากข้าจริงๆ” น้ำเสียงแลดูเฉื่อยชาทำให้จิวชงหยวนหันมามองอย่างแปลกใจ ทว่าใบหน้าที่ดูนิ่งเฉยและแววตาที่ดูว่างเปล่ากลับทำให้เขารู้สึกใจหาย            “เจ้าอาจไม่รู้ว่าคนที่เป็นเทพล้วนแล้วไม่เคยมีความรู้สึก หากแต่สิ่งที่เห็นมันเป็นสิ่งที่ต้องแสดง นานมากแล้วที่ข้าไม่เคยมีความรู้สึก จนกระทั้งมาเจอเจ้า” น้ำเสียงเรียบเฉยบวกใบหน้านิ่งเฉยและแววตาที่มิได้แตกต่างไปจากความว่างเปล่า แต่มันสะท้อนให้เห็นร่างของเขาในดวงตาคู่นั่น            จิวชงหยวนรู้สึกว่าตัวเองเดินหมากผิดพลาดที่ไปบังคับให้เขาแสดงสีหน้าที่แท้จริง เพราะมันดูน่ากลัวมากเกินไปและร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเป็นความกลัวที่อยู่ลึกสุดหัวใจ ลู่เฟยเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แต่เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน            “เจ้ากำลังกลัวข้า” ลู่เฟยเอ่ยเสียงที่ดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย สองแขนโอบร่างบางเข้ามาในอกอย่างปลอบโยนคล้ายจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องกลัวเขา            “คนอื่นเป็นอย่างเจ้าหรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามแต่ร่างกายยังแข็งทื่อ ลู่เฟยผละออกเล็กน้อยและก้มมองคนที่พยายามทำใจกล้าเงยหน้ามองตน            “เฉพาะคนที่อยู่นานแล้ว” ริมฝีปากเผยรอยยิ้มออกมานิดๆ ที่มุมปากแม้จะเป็นการเสแสร้งแต่มันก็ทำให้จิวชงหยวนรู้สึกดีกว่าเดิม มือเรียวขาวยื่นไปรับขลุ่ยหยกอย่างยอมแพ้            “เฮ้อ ข้านี่แย่จังที่ทำให้เจ้ากลัวข้าก่อนจากกันแบบนี้” ลู่เฟยกลับมายิ้มอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง แต่มันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวภายในใจของจิวชงหยวนเลือนหายไป            “เจ้าจะกลับมามีอารมณ์เหมือนคนปกติได้หรือไม่”            “ไม่รู้สิ แต่หากได้จูบเจ้าสักครั้งข้าอาจกลับมามีอารมณ์ก็ได้นะ” คำตอบและรอยยิ้มแพรวพราวทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงด้วยความอาย ก่อนจะผลักร่างสูงกว่าตนออกอย่างลืมตัว            “ไว้ให้ข้ารักผู้ชายก่อนแล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้”            จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงโมโหนิดๆ ก่อนจะเดินหนีไปปล่อยให้ลู่เฟยหัวเราะอยู่คนเดียว สายตาคมกริบมองตามร่างโปร่งบางของจิวชงหยวนแล้วยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เห็นทีงานนี้คงต้องไปขอให้เฒ่าจันทราช่วยบ้างแล้วสินะ...    
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD