“เอาน่าทำหน้าน้อยใจไปได้ ยังไงเจ้าก็ไม่ตายเพราะพิษอยู่แล้วนี่ ลู่เฟยเตรียมตัว”
เยว่ฉิงเอ๋อตอบกลับพร้อมหันไปบอกสหาย ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับก่อนจะมีกระบี่นับสิบเล่มบินร่อนรอบตัว ดวงตาคมมองจิวชงหยวนที่อ้าปากค้างมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจและไม่ต้องให้มีใครเอ่ยเตือน เขาก็วิ่งหลบด้วยความเร็ว ทว่ากระบี่เหล่านั้นกลับวิ่งตามเขาด้วยความเร็วเหมือนมันมีชีวิต
“แต่เจ้าเป็นมนุษย์สุดพิเศษ และมันก็ไม่ต่างจากพวกเซียนเท่าไร แค่มีกายหยาบเท่านั้นเอง” เสียงหวานที่ตอบโต้กลับมาทำให้จิวชงหยวนกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ
“เกิดข้าพลาดท่าตายขึ้นมาจะทำอย่างไร อย่าบอกนะว่าจะไปฉุดข้าจากยมโลกให้กลับมาทำหน้าที่ตัวเองอีก”
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ตูม ตูม ตูม...
กระบี่บินโจมตีจิวชงหยวนด้วยความเร็ว รุนแรง ดุเดือด กระบี่ในมือตวัดต่อต้านโจมตีกลับด้วยความเร็ว ก่อนจะร้องออกมาเมื่อเข็มพิษนับพันเล่มพุ่งเข้าหาอย่างไม่เอ่ยเตือน
ว๊ากกกก!
เปรี๊ยะๆ
ตูม ตูม ตูม...
อึก!
จิวชงหยวนกระอักโลหิตออกมาคำโตแต่คงไม่มีเวลามากินยาแก้ช้ำพลังภายใน เพราะกระบี่ตรงหน้าไม่ปล่อยโอกาสให้ตั้งตัว เจ้าตัวพยายามทำจิตใจให้แน่วแน่ รวมตัวรวมจิตเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ตวัดฟาดฟันทั้งกระบี่บินและเข็มพิษพร้อมระเบิดพลังลมปราณทำลายกระบี่ที่เหลือด้วยความเร็ว
ตูม!
จิวชงหยวนกลับมาเป็นคนอีกครั้ง ดวงตาเรียวมองภาพตรงหน้าอย่างสะใจ เพราะเทพสองคนนั้นถอยหลังไปถึงสามก้าว ตั้งสามก้าวเชียวนะ สุดยอดเลย เพราะตั้งแต่ฝึกมาไม่เคยมีครั้งไหนเลยจะทำให้อาจารย์ถอยหลังได้อย่างวันนี้
“เจ้าเก่งขึ้นมาก คงถึงเวลาที่จะลงไปยังโลกมนุษย์แล้วล่ะ” ลู่เฟยเดินเข้ามาหาคนที่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะสลบกลางอากาศอย่างกะทันหันเพราะใช้พลังไปจนหมดเกลี้ยงเดือดร้อนถึงลู่เฟยรีบคว้าตัวร่างบางไว้ ก่อนจะพาทะยานกลับไปยังกระท่อม เยว่ฉิงเอ๋อเองก็ติดตามมาติดๆ
“อ้าววันนี้สลบมาเลยหรือ” เทพโอสถเอ่ยถามลู่เฟยที่แบกจิวชงหยวนกลับมา
“การทดสอบถือว่าผ่านแล้ว ท่านจะส่งตัวลงโลกมนุษย์เลยหรือไม่หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา” เยว่ฉิงเอ๋อเอ่ยถามเทพโอสถขณะเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างกายและรับจอกน้ำชามาดื่มช้าๆ
“แล้วเจ้าคิดว่าชงหยวนจะพลาดท่าตายง่ายๆ หรือไม่” เทพโอสถเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“สำหรับข้า หากคิดจะสังหารชงหยวนจริงๆ ต้องมีฝีมือในยุทธภพอันดับสิบลงมาไม่ต่ำกว่าสิบคน ทั้งระดับปรมาจารย์ก็คงสู้ชงหยวนไม่ได้ แต่หากใช้เล่ห์เหลี่ยมชงหยวนนับว่าอ่อนหัดยิ่งนัก” คำตอบของเยว่ฉิงเอ๋อทำให้เทพโอสถพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะจิวชงหยวนมาจากภพภูมิที่แตกต่างจากที่แห่งนี้มาก เรียนรู้ได้มากขนาดนี้ภายในแปดเดือนก็ถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก
“ฉิงเอ๋อเจ้ากล่าวแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะจากที่ข้ารู้จักชงหยวนมาแปดเดือน ข้ารู้ว่าเจ้าตัวยังเก็บงำความเจ้าเล่ห์ไว้มากนัก แต่ชงหยวนเห็นว่าพวกเราเป็นเทพจึงไม่อยากต่อกรเพราะรู้ว่าสุดท้ายก็ต้องแพ้อยู่ดี”
ลู่เฟยที่พาจิวชงหยวนไปนอนเอ่ยออกมาเบาๆ ผ่านผ้าม่านสีขาวที่เป็นฉากกั้น ดวงตาเรียวมองใบหน้าแสนหวานของมนุษย์คนแรกที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะทำใบหน้าของเขาให้นิ่งเฉยได้ถึงเพียงนี้ เพราะปกติแม้จะดีร้ายแค่ไหนเขาจะมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าเสมอแม้กระทั่งตอนสังหารใครสักคน
“อืม ก็คงจริงอย่างที่เจ้าว่า ให้เขาพักอีกสักอาทิตย์ค่อยพาลงไปก็แล้วกัน” เทพโอสถออกความเห็นและทุกคนก็พยักหน้ายอมรับ เพราะมันถึงเวลาแล้วที่โชคชะตาจะต้องเดินต่อไป หลังจากกงล้อหยุดหมุนมานาน
หลังจากที่จิวชงหยวนฟื้น เขาก็เอาแต่เลือกสมุนไพรที่จำเป็นใส่ย่ามใบใหญ่ เพื่อเตรียมตัวเดินทางลงไปยังโลกมนุษย์และมันทำให้เขาอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะต้องลงไป เพราะมันเป็นโลกยุคจีนโบราณแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชวงค์ใดเหมือนกับว่าเป็นอีกมิติหนึ่ง แม้จะเป็นโลกแฟนตาซีเขาก็คงไม่แปลกใจแล้ว หลังจากเจอเหตุการณ์ต่างๆ มานานถึงแปดเดือน
“นี่ข้าให้เจ้า” จิวชงหยวนละสายตาจากสมุนไพรตากแห้งแล้วเงยมองคนตรงหน้าแทนที่ยื่นกำไลหยกลวดลายมังกรขดให้ คิ้วเข้มขมวดมุ่น หากจำไม่ผิดพวกเครื่องประดับหยกๆ นี่เขามีไว้มอบให้กับคู่หมั้นคู่หมายไม่ใช่หรือไง
“ข้าไม่ใช่หญิงเอามาให้ข้าทำไม” จิวชงหยวนเอ่ยถามแล้วก้มลงหยิบคักฮก ซึ่งเป็นยาบำรุงไต โรคหัวใจ บำรุงปอด ยัดเก็บไว้ในย่ามอย่างไม่สนใจคนที่ยืนค้ำหัว
“ชงหยวนนี่เป็นอาวุธต่างหาก เจ้าไม่อยากได้จริงๆ หรือ” ลู่เฟยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมเหวี่ยงกำไลหมุนบนนิ้วชี้เบาๆ จิวชงหยวนเงยหน้ามองอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อกำไลเปลี่ยนเป็นกระบี่ที่ดูคมกริบตัวด้ามเป็นลายมังกรงดงามเรืองแสงสีเขียวอ่อน แต่สายตายังมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
“แน่ใจนะว่าจะไม่มาขี้ตู่ว่าเป็นของหมั้นหมาย” คำถามของคนขี้ระแวงทำให้ลู่เฟยหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่หรอก นี่เป็นกระบี่โชคชะตามันเป็นอาวุธของเจ้า แต่หน้าที่เจ้าเป็นเพียงหมอเทวดาจะเดินพกกระบี่เหมือนชาวบ้านเดี๋ยวผู้อื่นจะเข้าใจผิด เทพศาตราจึงสร้างอาวุธชิ้นนี้ให้เจ้า” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนรู้สึกโล่งอกแต่รอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจของคนตรงหน้าก็ทำให้ไม่กล้าจะยื่นมือไปรับเช่นกัน
“แต่หากเจ้าต้องการของหมั้นหมายคงจะเป็นของสิ่งนี้” ขลุ่ยหยกสีเขียวสดที่ห้อยพู่สีเดียวกันตัวขลุ่ยเป็นหยกแท้ประดับด้วยข้อทองฉลุลวดลายหงส์มังกรพร้อมจารึกชื่อเขาลงไปเป็นภาษาจีนโบราณดูงดงามล้ำค่า แต่กลับทำให้จิวชงหยวนขนลุกชัน