ตอนที่ 9 เริ่มใช้ชีวิตของการเป็นว่าที่นางเอก

3125 Words
ตอนนี้ตัวข้า สามเถา และนายท่านถงเมากำลังกินอาหารอยู่ที่เหลาเซียงซานของครอบครัวข้าเอง หลังจากพวกเราออกมาจากค่ายกลทดสอบแล้ว ได้เอาธงและป้ายชื่อไปยื่นให้อาจารย์ที่รออยู่ตรงทางออก พวกข้าก็ได้รับแจ้งว่าผ่านการทดสอบแล้ว พร้อมได้รับเอกสารชี้แจ้งเรื่องการเข้าเรียน หอพัก และสิ่งของที่ควรนำติดตัวมา ซึ่งการเรียนการสอนจะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า "มี่เอ๋อร์เจ้ามาพักห้องเดียวกับข้าและอาลั่วไหม หนึ่งเรือนให้พักได้สี่คน เราสามคนลงชื่ออยู่ห้องเดียวกันเถอะ ประเดี๋ยวข้าให้คนไปลงชื่อให้เอง" อาชิงถามขณะที่นั่งกินอาหารอยู่ด้วยกัน "อืม ก็ดีเหมือนกัน" ข้าตอบรับทันที "เออ ปีนี้ข้าได้ข่าวว่าศิษย์พี่ปีสามปีนี้มีแต่คนเด่นๆ ทั้งนั้นเลยนะ เหมือนรวมสุดยอดชายหนุ่มมารวมกันเลย ทั้งองค์ชายจากแคว้นทั้งสี่แล้วยังคุณชายตระกูลหลงอีกเห็นว่าแต่ละคนพลังปราณขั้นสูงๆ กันแล้วด้วยนะ ข้าละตื่นเต้นอยากเจอเหลือเกินไม่รู้จะรูปงามขนาดไหน" อาลั่วเล่าไปบิดตัวอายไปด้วยเห็นแล้วช่างน่ารักนัก "ที่จริงเมื่อวานข้าเจอสี่องค์ชายนั้นแล้วล่ะ รูปงามจริงแถมดูท่าทั้งสี่คนจะสนใจคุณหนูชงที่มีธาตุทองคนนั้นนะ ข้าเห็นพวกเขาเข้าไปทักทายนางด้วย" แล้วข้าก็เล่าเหตุการณ์การพบกันของนางเอกและตัวเอกทั้งสี่ให้ทุกคนฟัง "โห องค์ชายทั้งสี่นะเป็นสุดยอดปรารถนาของหญิงสาวในแผ่นดินซื่อหลิงเลยนะ ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนหวงหลงเท่านั้น ในแคว้นตนเองข้าก็ได้ข่าวมาว่ามีหญิงสาวมากมายเลยแหละที่พยายามจะหาโอกาสเข้าหาพวกองค์ชายพวกนั้นด้วย" อาลั่วเจ้ากรมข่าวรายงานให้พวกข้าได้รับรู้เพิ่ม ข้าได้ฟังที่อาลั่วพูดแล้วข้าตัดตัวเอกทั้งสี่ออกทันที คู่แข่งเป็นนางเอกของเรื่องราวที่เห็นก็ว่ายากแล้วนี่ยังมีหญิงสาวอีกทั่วแผ่นดินตั้งเป้าหมายเอาไว้ ข้าไม่อยากลงไปแย่งด้วยหรอก คงคล้ายๆ เวลาให้อาหารปลาตามวัดแล้วปลาแย่งกันขึ้นมากินนั่นแหละช่างน่ากลัว "อาลั่วเมื่อครู่เจ้าบอกว่าคุณชายตระกูลหลง ไม่ใช่ว่าตอนนี้คุณชายหลงต้องเรียนปีอยู่ปีสุดท้ายแล้วไม่ใช่รึ อายุน่าจะ 20 ปีแล้วนี่ถ้าข้าจำไม่ผิด" ข้าหันไปถามอาลั่วเพราะข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาได้ยินเรื่องคุณชายตระกูลหลงว่ากำลังจะเข้าเรียนที่หวงหลงแล้ว "ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร เมื่อตอนที่คุณชายหลงจินหยางอายุสิบห้าปี มีพลังธาตุถึงขั้นสิบแล้ว แต่อยู่ ๆ ตอนที่ทำการวัดพลังปราณก็เกิดอุบัติเหตุเหมือนกับเจ้าเลยมี่เอ๋อร์ พลังปราณสะท้อนกลับจนบาดเจ็บทำให้คุณชายหลงต้องพักรักษาตัวไปสองปี จนพึ่งได้เข้าเรียนตอนนี้ถึงได้อยู่ปีสามอย่างไรล่ะ" อาลั่วเล่าเสียงเบา ข้าพยักหน้ารับรู้มีคนโดนพลังสะท้อนเหมือนข้าด้วย ตกลงการวัดพลังปราณไหนใครๆ ก็บอกว่าปลอดภัย แต่ทำไมข้ากับคุณชายหลงถึงเกิดพลังสะท้อนใส่จนนอนเป็นผักไปถึงสองปีล่ะ ดีนะข้าไม่ต้องวัดพลังปราณอีกแล้ว ไม่งั้นเกิดมันอยากสะท้อนใส่ข้าอีกข้าจะทำยังไงล่ะ ตอนนี้ข้านั่งอยู่ในเรือนของตน พร้อมกับมองสี่มู่เดินวนไปวนมาไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ประเดี๋ยวไปยกหีบใบนู้นมา ประเดี๋ยวก็ไปเอาหีบอีกใบมา จนตอนนี้ห้องของข้าเต็มไปด้วยหีบมากมายวางจนไม่มีทางจะเดินแล้ว ถึงแม้ข้าจะต้องไปอยู่หอพักแต่ก็ยังได้กลับมาทุก 3 เดือน ไม่รู้พวกนางจะตื่นเต้นอะไรกัน และในที่สุดข้าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป "หยุด!! มู่อิง มู่ชิง มู่จิน มู่ปิง พวกเจ้าหยุดเดินไปเดินมาเดี๋ยวนี้ ข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว" ข้าเอ่ยบอกพร้อมกับยกมือกุมหัวตนเอง เพราะเริ่มรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาบ้างแล้ว "แต่คุณหนูเจ้าคะ พวกบ่าวกลัวท่านจะเอาของไปไม่ครบนี่เจ้าคะ" หนึ่งในสี่มู่กล่าว "พวกเจ้าฟังข้าเสื้อผ้าข้าต้องใส่ชุดเครื่องแบบเอาชุดข้างในไปมากหน่อย และชุดนอนกับชุดเรียบๆ อีกสักสองสามชุด เครื่องประดับก็เอาแบบเรียบๆ สักสองสามชิ้น เน้นพวกผ้ารัดผมไปมากหน่อย เครื่องแต่งหน้าเอาแค่แป้งกับชาดทาปาก แต่พวกของบำรุงผิวเตรียมไปเยอะหน่อย พวกขัดผิวไม่ต้องสามเดือนข้าค่อยกลับมาให้พวกเจ้าขัดให้ เอาละยกหีบพวกนี้ไปเก็บให้หมด เริ่ม แปะ แปะ!!" ข้าพูดพร้อมปรบมือให้พวกนางจัดการเก็บของเข้าที่ขนออกมาก็ต้องเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อครั้งที่ข้าจะไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝน ตอนนั้นพวกนางก็ตื่นเต้นแบบนี้แหละ ข้าก็ต้องมาจัดการเช่นนี้เหมือนกัน สี่มู่อะไรก็ดีแต่พอข้าจะต้องออกไปอยู่ที่อื่นเป็นเวลานานทีไรพวกนางจะเป็นแบบนี้ทุกทีพวกนางช่างน่ารักดี ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงวันที่ข้าจะได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหวงหลง จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของชงเหมยฮวานางเอกของเรื่องราวทั้งหมดที่ข้าฝันเห็น ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมถึงรู้สึกไม่ชอบนาง ทั้งๆ ที่ข้ากับนางก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย และทำไมข้าถึงได้เห็นเรื่องราวเหล่านั้นด้วย และมันเหมือนมีอะไรสักอย่างสะกิดใจข้าว่าเรื่องราวทั้งหมดมันไม่ใช่อย่างที่ข้าเห็น มันมีอะไรบางอย่างขาดหายไปเรื่องราวที่ข้าเห็นนั้นมันไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด และที่เห็นมันอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงอีกด้วย ข้าพยายามนึกทบทวนเรื่องราวที่ข้าเห็นอีกครั้งแต่ไม่ว่านึกถึงกี่ครั้งเรื่องราวก็ยังเป็นแบบเดิม แต่ข้าก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป และอะไรบางอย่างในเนื้อเรื่องนั้นมันไม่ถูกต้องแต่คิดมากไป ข้าก็ไม่รู้อยู่ดี ตอนนี้ไปรับอาหารกับอ้อนทุกคนดีกว่า จะไม่ได้เจอตั้งสามเดือน ข้าคงคิดถึงทุกคนในบ้านแย่เลย กว่าข้าจะขึ้นรถม้าเพื่อมาที่หวงหลงได้ ช่างยากเย็น ทั้งท่านแม่ ท่านย่า ท่านพ่อ เตือนข้าสารพัดทั้งการวางตัว การเรียน และอื่นๆ อีกมากมาย จนข้าเกือบจะมาสายแล้ว แต่ข้าก็เข้าใจทุกคนนะทุกครั้งที่เข้าไปฝึกฝนยังมีคนในครอบครัวไปด้วย แต่นี่ข้าต้องไปเรียนอยู่ตัวคนเดียวถึงห้าปี ถึงจะมีพี่รองด้วยแต่พี่รองตอนนี้อยู่ปีสุดท้ายแล้ว คงไม่ค่อยมีเวลามาดูแลข้ามากนักเพราะต้องมีการออกไปปฏิบัติงานตามพื้นที่ต่าง ๆ อยู่ตลอด การเรียนที่หวงหลงปีหนึ่งกับปีสอง จะเรียนเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องพลังปราณ การคำนวณและค้าขาย การปรุงยา การรักษา การปลูกสมุนไพร การเขียนอักขระ การวางค่ายกล การเลี้ยงดูสัตว์อสูร มีกระทั่งการเรียนทำอาหาร ซึ่งที่เหลืออีกสามปีก็จะเป็นการเรียนวิชาที่กล่าวมาแบบเฉพาะทาง ตามที่แต่ละคนเลือกเรียนหรือสนใจ ซึ่งถือว่าครอบคลุมทุกอย่างเลยนะ ข้ากำลังคิดว่าเหมือนตัวเองกำลังเรียนอยู่ฮอกวอตส์แต่เป็นภาคจีนโบราณก็ดูน่าสนุกดีนะ ฮ่าๆๆ ตอนนี้ข้ายืนอยู่ในห้องโถงพร้อมกับเถาอี้ชิง เถาลั่ว และเพื่อนใหม่ร่วมหอพักอีกคน หลิวรุ่ยหลินซึ่งเป็นหลานสาวของเสนาบดีใหญ่ของแคว้นชิง หลิวรุ่ยหลินจากที่เห็นตอนแรกดูเป็นคนนิ่งๆ แต่พอได้พูดคุยกันก็รู้สึกว่าพูดคุยกันได้ถูกคอ ไม่วางท่าทางหยิ่งเชิดคอตั้งบ่าใส่พวกข้าแบบคุณหนูคนอื่น แต่จากที่ข้าเห็นถ้ามีคนมาทักหลินหลินก็จะทำเพียงพยักหน้ารับแค่นั้น นางบอกเห็นพวกข้าแล้วอยากรู้จัก นี่ซินะที่เขาว่าคนถูกชะตาแค่มองก็ถูกชะตา นางให้พวกข้าเรียกว่าหลินหลินล่ะ หลังจากยืนฟังกฎระเบียบต่าง ๆ ของสำนักแล้วตอนนี้พวกข้าก็เดินแถวมาที่หอพักเพื่อเก็บของ เปลี่ยนเป็นชุดประจำสำนักศึกษา ซึ่งเป็นชุดสีขาวมีขลิบสีแดงที่บริเวณบ่าหนึ่งเส้นแสดงถึงชั้นปี ปักอักษรหวงหลงที่อกด้านซ้ายด้วยสีแดงเดินเส้นรอบด้วยด้ายสีทอง มีป้ายเงินสลักชื่อห้อยไว้ที่เอวมีพู่สีแดงปีหนึ่งกับปีสองจะเป็นสีเดียวกัน ส่วนพวกปีสามขึ้นไปก็แยกตามแต่ละวิชาเฉพาะของตนเอง เมื่อจัดการเก็บของและเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ข้าที่อยู่ในชุดของสำนักศึกษาหวงหลงปีหนึ่ง ส่วนผมก็จับรวบเป็นหางม้ามัดด้วยผ้าที่มีให้มาพร้อมกับชุด เป็นผ้าผูกผมสีขาวปักด้วยด้ายสีแดงคำว่าหวงที่ปลายข้างหนึ่งคำว่าหลงที่ปลายอีกข้างหนึ่ง ตอนนี้ข้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ เมื่อทุกคนเปลี่ยนชุดเรียบร้อยก็พากันเดินออกจากห้อง ส่วนห้องนอนก็เป็นห้องขนาดใหญ่มีเตียงสี่เตียงหันหัวเตียงชิดกำแพงวางไว้ฝั่งละสองเตียง และที่มุมทั้งสี่ของห้องจะมีฉากกั้นสำหรับใช้แต่งตัว มีโต๊ะหนังสืออีกคนละตัว และมีโต๊ะน้ำชาวางอยู่กลางห้อง มีหน้าต่างบานใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง มองไปเห็นสวนดอกไม้ ห้องน้ำและห้องปลดทุกข์เป็นแบบใช้ร่วมกัน ตั้งแยกแต่ละชั้นอยู่ริมสองฝั่งซ้ายขวาของอาคาร ส่วนหอพักเป็นอาคารหินสามชั้นทาสีขาวมีชั้นละ 10 ห้อง โดยทุกคนจะอยู่ห้องนั้นตลอดการเรียนห้าปี โดยปีไหนจบออกไปปีที่เข้ามาใหม่ก็จะเข้าไปอยู่แทน มีบันไดขึ้นลงตั้งอยู่ตรงกลาง ปีนี้ห้องพักของข้าอยู่ที่ชั้น 3 กำลังดีให้ได้เดินพอเหนื่อย ส่วนหอที่นี่แยกชายหญิง หอหญิงอยู่ทิศใต้ หอชายอยู่ทิศเหนือ มีนัยอะไรไหมนะหรือข้าคิดมากไปเอง ตอนนี้พวกข้าเดินกลับมาถึงห้องโถงที่เคยใช้ทำข้อสอบแล้วตอนนี้มีคนอยู่เต็มห้องเลย ดูแล้วคงเป็นศิษย์พี่ปีอื่นๆ มาถึงอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็ให้พวกข้ายืนเข้าแถวตามลำดับที่สอบผ่าน ข้าอยู่อันดับ 12 และก็เป็นอาชิง อาลั่ว อาหลี่ เรียงกันไป ข้าจึงมองสำรวจไปเรื่อยๆ ก็มองเห็นน่าจะเป็นรุ่นพี่ปี 3 ยืนอยู่บนเวทีจำนวน 8 คน ซึ่ง 4 ใน 8 ที่ข้าเห็นคือ 4 องค์ชายนั้นเอง แต่ที่ข้าสะดุดตากลับเป็นผู้ชายคนที่ 5 ที่ยืนข้าง 4 คนนั้น หน้าตาของเขาช่างเหมือนสวรรค์บรรจงปั้นใบหน้าเรียวยาว ดวงตาได้รูปดูมีเสน่ห์ จมูกโด่ง เรียวคิ้วเข้ม ริมฝีปากบางถือว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย ข้าคงมองจ้องศิษย์พี่คนนั้นนานเกินไป เหมือนเขาจะรู้ตัวเลยมองกลับมาจนสบตาของข้าเข้า ข้าบอกไม่ถูกเลยว่าเมื่อได้สบตาคู่นั้นแล้ว ทำไมข้ารู้สึกเหมือนกับถูกสะกด หัวใจเต้นเร็วจนข้าได้ยินเสียงมันชัดเจน แต่อยู่ๆ กลับรู้สึกเหมือนเสียใจเหลือเกินที่ได้เห็นดวงตาคู่นั้น เสียใจจนอยากจะร้องไห้แต่ก็ดีใจเหลือเกินที่ได้พบอีกครั้ง ไม่รู้ว่าข้ายืนเหม่อจ้องตาศิษย์พี่คนนั้นนานแค่ไหน แต่ศิษย์พี่คนนั้นก็ไม่ได้หลบสายตาไปจากข้าเลย ยังคงมองตอบกลับมาแต่เพราะอาจจะอยู่ไกลกันเกินไป ข้ามองไม่ออกว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นรู้สึกอย่างไร อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิดด้านหลัง ข้าจึงรู้สึกตัวหันไปเห็นอาชิงมองข้าด้วยสายตาสงสัย "มี่เอ๋อร์เจ้าเป็นอะไร ข้าเห็นเจ้ายืนเหม่ออยู่ตั้งนาน" อาชิงกระซิบถามข้าเสียงเบา "ไม่มีอะไรข้าแค่มองพวกศิษย์พี่ที่ด้านบนเวทีเพลินไปหน่อย" ข้าตอบกลับกลบเกลื่อนอาการทำเป็นเขินอายแทน อาชิงยิ้มทะเล้นให้ข้าหนึ่งทีแล้วหันกลับไปตั้งใจฟังบนเวทีอีกครั้ง ข้ากลับมาสนใจรอบข้างอีกครั้ง ตอนนี้เป็นหนึ่งในสี่องค์ชาย น่าจะเป็นชิงเยี่ยหัวที่เป็นตัวแทนศิษย์พี่กล่าวต้อนรับศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าไม่ได้มองไปที่ศิษย์พี่คนนั้นอีก เพราะข้ารู้สึกเหมือนใจมันเบาโหวงแปลก ๆ ข้าเลยตัดปัญหาไม่หันไปมองอีก หันไปตั้งใจฟังที่ศิษย์พี่พูดอยู่บนเวทีแทน ซึ่งจากที่ข้าฟังแล้วสรุปได้ก็คือทั้ง 8 คนเป็นเหมือนหัวหน้านักเรียน จะมีการแต่งตั้งทุกปีตอนที่อยู่ปี 3 ให้มาคอยดูแลและช่วยเหลือศิษย์น้องที่เข้าใหม่ ซึ่งปีนี้ก็คือ 8 คนนี้นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะศิษย์หญิงทุกชั้นปี ย้ำทุกชั้นปี ต่างพากันส่งยิ้มเอียงอายพร้อมช้อนตามองศิษย์พี่บนเวทีกันตาหวานฉ่ำทีเดียว ข้าก็ไม่ปฏิเสธหรอกชายหนุ่มที่ยืนบนเวทีทั้ง 5 คนนั้นหน้าตาดีกันทุกคนแถมเรียกได้ว่าดีมาก ๆ อีกด้วย ส่วนอีก 3 คนเป็นศิษย์พี่หญิงซึ่งก็เรียกได้ว่างดงามล่มเมืองได้เช่นกัน ที่สำนักศึกษาหวงหลงแต่ละชั้นปีมีนักเรียนแค่ 50 คน รวมทั้งโรงเรียนก็มีแค่ 250 คน ถือว่าไม่เยอะเลยถ้าเทียบกับจำนวนคนของทุกแคว้น แต่ก็จะมีพวกที่สอบไม่ผ่านรอบ 3 สามารถเข้าเรียนเป็นศิษย์นอกได้ โดยศิษย์นอกจะได้เรียน 2 ปีซึ่งรับแค่ปีละ 100 คนเท่านั้น โดยศิษย์นอกจะมีหน้าที่รับผิดชอบทำงานต่างๆ ภายในโรงเรียนไปด้วย ตามแต่สิ่งที่เลือกเรียน เช่นทำครัว เลี้ยงสัตว์อสูร ปลูกพืชผัก และอาจจะมีงานจิปาถะอื่นๆ พวกนี้ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน แต่จะได้เรียนแค่ช่วงเช้าเท่านั้น ส่วนช่วงบ่ายจะต้องทำงานภายในสำนักศึกษา ชุดสำนักจะเป็นสีดำมีแถบสีแดงที่บริเวณบ่า ถึงแม้จะต้องทำงานแลกแต่ก็มีคนไม่น้อยสนใจอยากจะเข้ามาเรียน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกหลานชาวบ้านที่ถึงแม้จะได้เล่าเรียนแต่ก็ต้องทำงานไปด้วยก็ตาม คงคล้ายๆ พวกเรียนวิชาชีพในยุคสองพัน ที่ลงเรียนอะไรก็รับผิดชอบงานนั้นไปด้วย พอเรียนจบก็มีใบรับรองไปหางานหรือต่อยอดก็มีภาษีดีขึ้น "หิวจัง" อยู่ข้าก็ได้ยินเสียงอาชิงบ่นขึ้นมา ตอนนี้ก็ยังคงเป็นการแนะนำเกี่ยวกับสำนักศึกษาหวงหลงอยู่ โดยอาจารย์ใหญ่เหมือนกำลังเข้าแถวปฐมนิเทศเลยแฮะ ในที่สุดการแนะนำสำนักศึกษาหวงหลงก็เสร็จสิ้น ตอนนี้ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร โดยโรงอาหารที่นี่จะเป็นโต๊ะยาวต่อกันแยกเป็นชั้นปี แหมถ้าแยกตามบ้านนี้มันฮอกวอตส์เลยนะ โรงอาหารที่นี่จะจัดวางให้บนโต๊ะเป็นสำรับอาหารละสี่คน โดยแบ่งกลุ่มนั่งกินตามห้องพักของตัวเอง พวกข้าสี่คนเลยหาสำรับอาหารที่ว่างอยู่แล้วนั่งลงรอจนคนอื่น ๆ นั่งกันครบหมด ด้านหน้าจะมีโต๊ะของอาจารย์ตั้งอยู่ที่นี่เวลาอาหารทั้งอาจารย์และนักเรียน จะต้องมาทานพร้อมกันเพื่อความสะดวกของคนงานที่เตรียมอาหาร เพราะฉะนั้นใครไม่มากินก็อดไป แต่จริงๆ ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรขนาดนั้น เพื่อนร่วมห้องสามารถแบ่งเก็บไว้ให้ได้ หรือสามารถมาแจ้งไว้ได้ว่าให้เก็บอาหารให้ หรือเตรียมให้ก่อนจะออกไปทำภารกิจก็ได้ อันนี้อาลั่วเจ้ากรมข่าวเป็นคนเล่าให้ทุกคนฟัง เมื่ออาจารย์แจ้งให้เริ่มกินได้ เสียงที่เคยเงียบก็กลายเป็นนกกระจอกแตกรังทันที แต่หลักๆ ที่ข้าพอจะจับใจความได้ก็คือตัวแทนศิษย์พี่ปี 3 ที่ไปยืนพูดบนเวทีนั้นเอง ซึ่งกลุ่มของข้าก็ไม่พลาดที่จะคุยเรื่องนี้ "นี่ ข้าเห็นองค์ชายทั้งสี่คนแล้วล่ะ เข้าใจแล้วว่าทำไมสาวๆ ทั้งหลายถึงอยากจะใกล้ชิดนัก ก็ดูซิช่างหล่อเหลาสง่างามกันขนาดนั้น" อาลั่วเป็นคนกล่าวพร้อมทำตาเพ้อฝันมองไปทางโต๊ะปี 3 อีกด้วย และพอทุกคนเห็นแบบนั้นก็พร้อมใจกันหัวเราะขำความช่างเพ้อของอาลั่ว "เอ่อ ข้าเห็นมีศิษย์พี่ผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่บนเวทีเป็นใครรึ" ข้าเอ่ยปากถาม "มี่เอ๋อร์หรือเจ้าสนใจศิษย์พี่หลง ข้าเห็นเจ้ามองจนตาค้างไปเลยเมื่อกี้นี้ตอนอยู่ในห้องโถง" คราวนี้อาชิงเป็นคนแฉ "ไม่ใช่ข้าเห็นว่าก็รูปงามไม่แพ้ศิษย์พี่อีกสี่คนแต่เห็นไม่ค่อยมีคนสนใจกันน่ะ" ข้าเอ่ยตอบ "อ่อ นั้นคุณชายหลงจินหยางไง คุณชายตระกูลหลง รูปงามนะแต่ว่าพอใช้คำว่าคุณชายคนก็เลยไปสนใจพวกองค์ชายมากกว่าจริงๆ พลังปราณ หน้าตา หรือแม้แต่อำนาจของตระกูลก็สูงส่งกว่าองค์ชายทั้งสี่นั่นเสียอีก แต่อย่างว่าคนที่รู้ก็มีแค่คนในแคว้นกลางเท่านั้นแหละ แถมรู้กันเฉพาะในตระกูลใหญ่เท่านั้นอีกด้วย" อาลั่วป้องปากกระซิบเสียงเบา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD