ตอนที่ 10 วิถีชีวิตของการเป็นว่าที่นางเอก

2823 Words
ข้าเรียนที่หวงหลงมาจะครบสามเดือนแล้ว ชีวิตช่วงนี้ก็สนุกสนานดี เหมือนย้อนกลับไปช่วงเรียนมัธยมต้น เพียงแต่วิชาที่เรียนไม่เหมือนกันแค่นั้นเอง การเรียนก็จะเป็นแบบเรียนหกวันหยุดหนึ่งวัน ซึ่งวันที่หยุดส่วนใหญ่นักเรียนก็จะเข้าหอตำรา หรือฝึกฝนในห้องมิติหรือตามแต่ตนเองจะสนใจ บางคนก็นอนพักผ่อนอยู่ในห้องพักของตน ส่วนพวกข้าก็มีช่วยกันฝึกฝนบ้าง หรือทำงานที่อาจารย์แต่ละวิชาสั่งบ้าง ซึ่งก็มีความสุขดี ตอนนี้ข้าให้ถงเมาปรับพลังเป็นขั้นสี่ระดับกลางแล้ว เหล่าอาจารย์ชมข้าว่ามีความก้าวหน้าที่ดี ยังไม่ถึงสามเดือนก็สามารถเลื่อนจากระดับต่ำมาเป็นระดับกลางได้แล้ว ส่วนถงเมาเองก็มีออกมาฝึกฝนพร้อมกับข้าด้วย ข้าจึงให้เลื่อนพลังเป็นสัตว์อสูรขั้นหกระดับต่ำแล้ว อย่างไรสัตว์อสูรเข้าไปบ่มเพาะในตราพันธะได้จะเลื่อนขั้นเร็วกว่าก็ไม่แปลก ส่วนเหตุการณ์ต่างๆ ก็ถือว่าสงบสุขดีสำหรับกลุ่มของพวกข้า แต่นางเอกเจ้าของเรื่องอย่างชงเหมยฮวาคงเรียกได้ว่าครึกครื้นเลยทีเดียว มันก็คงไม่น่าแปลกใจเพราะเหล่าองค์ชายทั้งสี่ช่างสรรหาเวลามาทักทายพูดคุยกับแม่นางคนงามได้ตลอดเวลา ไม่คนใดก็คนหนึ่งต้องแวะมา คนหนึ่งไปก็มีอีกคนมา บางทีก็มาพร้อมกันสองคน หรือบางทีก็มาพร้อมกันทั้งสี่คนเลย ซึ่งข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจทั้งสี่คนนั้นเลย ว่าทำไมต้องแสดงให้ใครๆ ได้ดู ยิ่งแสดงมากแม่นางเอกชงเหมยฮวาก็ยิ่งโดนกลั่นแกล้งมากขึ้นเท่านั้น หรือเป็นเพราะสกิลนางเอกมันเรียกร้อง ให้ดูช่างอ่อนแอบอบบาง น่าทะนุถนอมอย่างงั้นหรือ วันนี้พวกข้ามีเรียนการดูแลสัตว์อสูร ซึ่งวิชานี้อาจารย์ที่สอนก็จะให้เอาสัตว์อสูรออกมาลองใช้พลังปราณร่วมกันต่อสู้กับคู่พันธะของตน ซึ่งกลุ่มของข้าได้ต่อสู้ครบทุกคนแล้วจึงพากันมานั่งพักใต้ต้นไม้แถวบริเวณข้างสนาม "ศิษย์น้องหลิว เจ้าไม่ตามไปดูแลศิษย์พี่ชิงหรือ เมื่อสักครู่ข้าเดินผ่านมาจากศาลาบัวทางทิศใต้ เห็นศิษย์พี่ชิงนั่งอยู่กับศิษย์น้องหญิงชง ดูท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดคล้ายกับเป็นคู่รักกันทีเดียว" อยู่ๆ ก็มีเสียงหญิงสาวกล่าวประโยคนี้ขึ้นมาทางด้านหลัง ข้าหันไปมองเห็นเป็นศิษย์พี่ปีสามจำนวนสามคน ยืนอยู่ด้านหลัง คงเป็นหนึ่งในนั้นกล่าวขึ้น "ขอบคุณศิษย์พี่หนิงที่ห่วงใยข้าทราบแล้ว" หลินหลิน กล่าวจบก็หันกลับไปทางสนามอีกครั้ง "ข้าอุตส่าห์หวังดีมาบอกเห็นว่าคู่หมั้นของเจ้ากำลังใกล้ชิดหญิงอื่น ยังมาทำเป็นนั่งนิ่งไม่สนใจถูกแย่งไปอย่ามาร้องไห้ทีหลังก็แล้วกัน หึ" ศิษย์พี่กลุ่มนั้นพูดจบก็สะบัดหน้าพากันเดินจากไป พวกข้าที่เหลือจึงหันไปมองหลินหลินด้วยความสงสัย และแสดงท่าทางกดดันให้นางเล่าออกมา "เฮ้อ พวกเจ้าจำได้ใช่ไหมว่าข้าเป็นหลานสาวของเสนาบดีแคว้นชิง และข้ายังเป็นหลานสาวของไทเฮาอีกด้วย ท่านตาของข้าเป็นผู้สนับสนุนองค์ชายชิงเยี่ยหัวขึ้นเป็นรัชทายาท เพราะฉะนั้นข้าที่เป็นหลานสาวคนเดียวของตระกูล จะรอดพ้นการวางตัวในตำแหน่งนี้ได้อย่างไรล่ะ" หลินหลินกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยพร้อมกับถอนหายใจ "เจ้าไม่ได้รู้สึกชอบพอศิษย์พี่ชิงเลยหรือ" อาลั่วเอ่ยถาม "ข้าทำใจยอมรับองค์รัชทายาทในฐานะคู่หมั้น แต่ข้าไม่เคยคิดที่จะวางหัวใจตนเองไว้ที่พระองค์เลยสักนิด ถ้าข้าสามารถอยู่ในตำแหน่งนี้จนได้เป็นพระชายาหรือได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ตอนนั้นข้าต้องยอมรับหญิงอื่นอีกมากมายที่จะเข้ามา ข้าไม่เคยคาดหวังความรักใดจากพระองค์มาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นข้าถึงไม่เคยคิดจะใส่ใจอย่างไรล่ะ" หลินหลินกล่าวออกมาด้วยความแน่วแน่และมั่นคง ข้าจึงเอื้อมมือดึงหลินหลินมากอด พร้อมกับลูบหลังนางไปด้วย คนอื่นๆ ก็ยื่นมือมาลูบหลังปลอบใจ "แต่ถ้าเจ้าแต่งกับผู้ชายแคว้นหวงหลง เจ้าจะได้เป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวนะ" อยู่ๆ อาหลี่ก็พูดขึ้นมากลางวง พวกข้าจึงปล่อยตัวหลินหลิน แล้วหันไปมองอาหลี่ สงสัยอาหลี่จะพูดออกมาโดยไม่ได้คิด เพราะตอนนี้ข้าเห็นหูกับคอของอาหลี่แดงแจ๋เลย แถมยังทำท่าลุกลี้ลุกลนอีก อาการชัดเจนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เมื่อพวกข้าหันมาสบตากัน ก็พร้อมใจกันหัวเราะออกมา "อาหลี่เจ้าแน่มาก ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ข้าพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง "ขอบใจนะอาหลี่ ข้าจะเก็บไปคิดดู" หลินหลินตอบพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ยิ่งทำให้อาหลี่คราวนี้หน้าก็ยังแดงไปด้วยเลยทีเดียว หลังจากเหตุการณ์ที่มีศิษย์พี่หญิงที่หวังดีมาเตือนหลินหลินครั้งนั้นแล้ว ก็มีเหตุการณ์หวังดีจากศิษย์พี่หญิงคนอื่นๆ ตามมาอีกหลายครั้ง ทุกครั้งหลินหลินก็จะตอบไปแบบเดิมแล้วพวกศิษย์พี่หญิงที่หวังดีเหล่านั้นก็จะสะบัดหน้าจากไป จนตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องตลกประจำกลุ่มพวกข้าไปแล้ว แรกๆ หลินหลินก็มีกังวลบ้าง เพราะกลัวว่าพวกข้าจะรำคาญ แต่พอเห็นพวกข้าพากันหัวเราะสนุกสนานแถมบอกว่าสนุกดีหลินหลินก็เลยเลิกใส่ใจ และบางครั้งก็ให้พวกข้าเป็นคนตอบโต้กลับไปก็มี แต่คนที่ดูจะใส่ใจที่สุดคงไม่พ้นเถาหลี่นั้นเอง ทุกครั้งที่มีคนมาบอกเรื่องนี้ อาหลี่จะจดใส่สมุดเล่มเล็กเอาไว้ พอพวกข้าถามก็บอกว่าจดไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งข้าก็พอเดาได้ว่าหลักฐานในเรื่องอะไร อาหลี่ช่างมีความมุ่งมั่นเสียจริงๆ วันนี้เป็นวันหยุดกลับบ้านครั้งแรกของข้า ทุกสามเดือนจะได้วันหยุดยาวสามวัน ใครอยากกลับบ้านกลับแคว้นก็สามารถไปลงชื่อได้ เพราะการเดินทางด้วยค่ายกลเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นหนึ่งไปอีกแคว้นหนึ่งใช้เวลาแค่หนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว แต่ถ้าใครบ้านอยู่ไกลจากเมืองหลวงต้องใช้เวลาเดินทางก็จะไม่กลับกัน เพราะพอเรียนครบปีก็จะมีวันหยุดยาวให้ได้กลับบ้านอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่กลับบ้านในวันหยุดทุกสามเดือนก็สามารถอยู่ที่หอพักได้เช่นเดิม หากอยากจะออกไปเที่ยวเล่นที่ในเมืองก็ได้เพียงแค่ลงชื่อแจ้งเอาไว้ วันหยุดนี้กลุ่มข้าทุกคนลงชื่อเพื่อกลับบ้าน หลินหลินก็จะกลับเช่นกันเพราะบ้านนางอยู่ในเมืองหลวงไม่ต้องเดินทางไกล ข้ากับสามเถาเลยนัดหมายกันว่าจะไปกินอาหารที่เหลาเซียงซานของบ้านข้ากันในวันสุดท้ายก่อนกลับเข้าโรงเรียน ตอนนี้ข้านอนแช่น้ำให้สองมู่ขัดตัวอย่างสบายใจ ข้าเลิกอายไปแล้วอีกอย่างมันสบายมากๆ เลยนะที่มีคนขัดคนนวดตัวให้ กลับบ้านมาคราวนี้ข้ามีเรื่องมาเล่าให้คนในบ้านฟังมากมายเลย แถมข้ายังอ้อนขอให้ท่านแม่มานอนกับข้าอีกด้วย ซึ่งท่านแม่ก็รับปากทันทีส่วนท่านพ่อน่ะเหรอก็หน้าบึ้งนั่งกอดอกงอนท่านแม่ไป วันนี้เป็นวันที่ข้านัดสามเถามากินอาหารที่เหลา ข้าจึงออกมาก่อนเวลาเพราะอยากจะเดินดูของในตลาดสักหน่อย "ศิษย์น้องหญิงซาน" ขณะที่ข้าเดินชมของในร้านค้าข้างทางอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเรียกจึงหันไปมอง และข้าก็ต้องตกตะลึงเพราะคนที่เรียกข้าคือ "ศิษย์พี่หลง" ข้าตอบรับเสียงเบา เมื่อข้ามองสบตาคู่นั้น ความรู้สึกวูบ ๆ โหวง ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง "ศิษย์น้องหญิงซานพอจะมีเวลาว่างหรือไม่ ข้าอยากเชิญไปดื่มน้ำชาด้วยกันสักครั้ง" เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง "ข้ามีนัดกับสหายกลางยามอู่ (11.00-12.59) ไม่ทราบว่าถ้าเป็นตอนนี้สะดวกศิษย์พี่หรือไม่" ข้าตอบกลับเสียงเบาไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย "ได้ ถ้าเช่นนั้นเชิญทางนี้" ศิษย์พี่หลงกล่าวพร้อมเดินนำเข้าโรงน้ำชาของโรงประมูล เมื่อเดินเข้ามาในโรงน้ำชาของโรงประมูล ศิษย์พี่หลงพาข้าเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง โดยข้าให้องครักษ์ที่มาด้วยนั่งรอที่ชั้นล่าง และให้สองมู่เดินตามขึ้นมา เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสองซึ่งเป็นห้องส่วนตัว ศิษย์พี่หลงเปิดประตูห้องหนึ่งออกและเชิญข้าเข้าไป โดยให้คนติดตามของตนเองรอด้านนอก ข้าเห็นเช่นนั้นจึงให้สองมู่ยืนรอที่ด้านนอกด้วย เมื่อเข้ามาในห้องแล้วศิษย์พี่หลงจึงเชิญให้ข้านั่งลง สักครู่ก็มีคนงานนำน้ำชาและของว่างมาให้แล้วรีบออกไปทันที ศิษย์พี่หลงยกกาน้ำขึ้นรินน้ำชาใส่ถ้วยสองใบแล้วเลื่อนมาให้ข้าและยกของตนเองดื่ม ข้าจึงยกขึ้นดื่มบ้าง น้ำชามีกลิ่นหอมที่รู้สึกคุ้นมากและรสชาติก็ช่างคุ้นเคย แต่ข้าจำได้ว่าไม่เคยดื่มชาชนิดนี้มาก่อน "ศิษย์น้องซานไม่ชอบดื่มชาชนิดนี้รึ" คงเห็นข้าขมวดคิ้วสงสัย ศิษย์พี่หลงเลยถามขึ้น "ไม่ใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ชานี้ทั้งกลิ่นและรสชาติดีมาก ทั้งๆ ที่ข้าไม่รู้จักและคิดว่าไม่เคยดื่มมาก่อน แต่ข้ากลับรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยดื่มมันอยู่เป็นประจำ" ข้าตอบกลับไปแต่ก็ยังไม่ยอมเงยหน้ามองอีกฝ่าย "เป็นเช่นนั้น แล้วมีอะไรอีกไหมที่เจ้าไม่เคยเห็นหรือรู้จักแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย" ศิษย์พี่หลงเอ่ยถามอีกครั้ง "ข้า..ข้าไม่แน่ใจ มันเป็นความรู้สึกเพียงชั่ววูบ ยังไม่ทันจับสัมผัสอะไรได้มันก็หายไป จะเป็นแบบนี้มากกว่าเจ้าค่ะ" ใช่ข้ารู้สึกแบบนี้บ่อยมากตั้งแต่ไปเรียนที่หวงหลง เหมือนเคยเห็น เหมือนเคยสัมผัสมาก่อน ทั้งๆ ที่สิ่งที่ข้าเห็นหรือสถานที่เหล่านั้นข้าพึ่งเคยเจอเคยเห็นครั้งแรก แต่พอจะลองจับสังเกตมันก็เหมือนจางหายไปจับสัมผัสอะไรไม่ได้อีกเลย "ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยเกิดอุบัติเหตุจนต้องนอนหลับไปถึงสองปีเพื่อรักษาตัว" ศิษย์พี่หลงถามขึ้นมา "ใช่เจ้าค่ะ แต่พอตื่นขึ้นมาข้ากลับจำอะไรในอดีตไม่ได้เลย" ข้าตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้น จึงได้สบตากับดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่ทำให้ข้ารู้สึกทั้งคิดถึง ทั้งเสียใจเหลือเกิน "เจ้าร้องไห้" ศิษย์พี่หลงพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ พร้อมกับเอื้อมมือจะมาเช็ดน้ำตาให้ ข้าจึงรู้สึกตัวว่าน้ำตาข้ากำลังไหล จึงก้มหน้าลงและรีบเอามือเช็ดน้ำตาทิ้ง แล้วรีบลุกขึ้นกล่าวลาและเดินออกไปทันที ตอนนี้ข้ามานั่งรออยู่ที่เหลาอาหารแล้ว ที่จริงอีกครึ่งชั่วยามจะถึงเวลานัด แต่ข้าอยากมานั่งสงบสติอารมณ์ตัวเอง ตอนที่ข้าเปิดประตูออกมาจากห้อง สองมู่เห็นข้าตาแดง ๆ แถมมีน้ำตาคลอตา ก็จะรีบกลับไปแจ้งที่จวน ดีว่าข้าห้ามทันและบอกว่าข้าเคืองตา จึงขยี้จนน้ำตาไหล เลยขอตัวออกมาให้สองมู่รีบพาข้ามาที่เหลา ดีที่สองมู่เชื่อข้าจึงรีบหาผ้ากับน้ำมาให้ข้าล้างหน้าล้างตา ตอนนี้ข้าเลยมานั่งคิดมันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ระหว่างข้ากับคุณชายหลงคนนี้ แต่มันคืออะไรแล้วใครจะตอบคำถามข้าได้ ก็คงต้องเป็นคุณชายหลงแล้วล่ะ แต่ถ้าทุกครั้งที่เจอหรือคุยกันข้าต้องเป็นแบบนี้ ข้าขอทำใจให้เข้มแข็งกว่านี้ก่อน เฮ้อ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ 'เจ้าจะรีบร้อนไปทำไม เมื่อถึงเวลาเจ้าก็จะค่อยๆ รู้เองนั่นแหละ คิดมากไปไม่ช่วยอะไร ตั้งใจฝึกฝนพลังเข้าเถอะจะได้ถึงขั้นนิรันดร์สักที ข้าขี้เกียจคอยปกปิดพลังให้เจ้าแล้วนะ' เสียงนายท่านถงเมาดังขึ้น ฟังแล้วดูเหมือนนายท่านจะรู้อะไร แต่คงไม่คิดบอก นายท่านปากหนักจะตาย นอกจากบ่นเรื่องที่ข้าไม่ยอมฝึกฝน กับเรื่องของกินแล้วก็แทบไม่เอ่ยปากอะไรอีกเลย ตอนนี้ผ่านมาเดือนกว่าแล้วตั้งแต่ข้ากลับเข้าสำนักศึกษามา ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมเข้าเรียนฝึกฝนพลังปราณ คุยเล่นกับกลุ่มสหาย ตอนนี้ข้ามุ่งมั่นในการฝึกฝนพลังปราณมาก ทุกวันหยุดพักข้าจะทำการจองห้องมิติที่ใช้ฝึกฝน เพื่อเข้าไปฝึกพลังปราณให้เข้าขั้นนิรันดร์ให้ได้ เพราะนายท่านถงเมาบอกว่าถ้าอยากรู้อะไร รอให้พลังถึงขั้นนิรันดร์ข้าจะจำเรื่องราวที่ขาดหายไปได้เอง นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าต้องขยันฝึกฝนเช่นนี้ "มี่เอ๋อร์วันหยุดพรุ่งนี้เจ้าจะเข้าห้องมิติอีกหรือไม่" อาชิงเอ่ยถามข้าขณะกำลังกินอาหารเย็นกันอยู่ "เข้าสิ ข้าจองยาวไว้สามเดือนเลย พวกเจ้าอยากเข้าไปด้วยไหม" ข้าหันไปถาม "ไม่ล่ะ แต่พรุ่งนี้พวกข้าอยากชวนเจ้าไปดูอะไรสนุกๆ ต่างหาก" อาชิงตอบข้าด้วยสายตาเป็นประกาย "ทำไมมีอะไรน่าสนุกงั้นรึ" ข้าหันไปมองอีกสามคนที่เหลือเพื่อขอคำตอบ "อะแฮ่ม ๆ คือเรื่องมันมีอยู่ว่าแม่นางชงเหมยฮวาคนงาม ที่ตอนแรกดูจะสนิทสนมกับองค์ชายทั้งสี่น่ะ ตอนนี้พยายามจะพาตัวไปสนิทสนมกับศิษย์พี่หลงของเจ้า จนพาให้พวกองค์ชายทั้งสี่ไม่พอใจ คราวนี้ก็มีหญิงงามกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยินยอมก็เลยจะทำการท้าประลองแม่นางชงคนงามในวันหยุดนี้นะสิ" อาลั่วเป็นผู้เล่าด้วยท่าทางตื่นเต้น "หืม พยายามจะไปสนิทสนมกับใครนะ" ข้าถามด้วยความลืมตัวพร้อมเสียงลอดไรฟัน "มี่เอ๋อร์ใจเย็นๆ ศิษย์พี่หลงของเจ้าน่ะไม่สนใจนางหรอก ทุกครั้งที่แม่นางชงคนงามเดินเข้าไปจะพูดคุยด้วย ก็จะเดินหนีทุกครั้งจนตอนนี้ น่าจะยังไม่เคยได้คุยกับศิษย์พี่หลงเลยจริงๆ เลยกระมัง" อาชิงรีบพูดปลอบ "ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปด้วยแต่เดี๋ยวทำไมเหมือนข้าได้ยินว่า ศิษย์พี่หลงของเจ้า" ข้าหันไปถามอาชิง "แหมก็เจ้ากับคุณชายหลงน่ะ เวลาเดินเจอกันทีไรคนหนึ่งก้มหน้าหลบตาอีกคนก็คอยมองตามจนตาละห้อย พอคนมองเดินพ้นไปคนที่มัวแต่ก้มหน้าก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหา ชัดเจนขนาดนี้ทำไมพวกข้าจะดูไม่ออก" หลินหลินเป็นผู้เล่า "และวันที่นัดกินข้าวกันที่เหลาอาหาร ข้าออกมาก่อนเวลาเจอศิษย์พี่หลงเชิญเจ้าไปดื่มชาที่โรงประมูล แถมตอนออกมาเจ้าก็ตาแดงมาเชียว ตอนนั่งกินข้าวเจ้าก็เหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง" อาชิงเป็นผู้เล่าบ้าง "ข้า..ข้าไม่รู้ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างติดค้างในใจเวลาที่เจอศิษย์พี่หลง แต่ข้าไม่รู้มันคืออะไรพอได้เจอข้าก็เลยไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย" ข้ากล่าวเสียงเบา "แล้วมันเกี่ยวกับที่เจ้าฝึกหนักด้วยไหม" หลินหลินเอ่ยถาม "ก็อาจจะเกี่ยวข้องนิดหน่อย ถงเมาบอกว่าถ้าพลังขั้นข้าเพิ่มขึ้นข้าอาจจะได้คำตอบน่ะ" ข้าตอบพร้อมกับมองหน้าทุกคนอย่างชั่งใจ "แล้วเจ้าต้องมีพลังถึงขั้นไหนล่ะถึงจะรู้อะไรที่ถงเมาบอก" อาชิงถามข้าด้วยความเป็นห่วง "ขั้นนิรันดร์" ข้าเอ่ยตอบ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD