เมื่อรู้บททดสอบรอบสอง ข้าจึงคุยทางจิตกับถงเมาทันที
'ถงเมาลูกแก้ววัดพลังจะตรวจสอบได้ตามที่ข้าให้แสดงหรือไม่' ข้าเอ่ยถามถงเมา
'ตอนวัดพลังเจ้าก็กำหนดอีกทีว่าให้แสดงถึงขั้นไหน แต่ความสามารถของข้าไม่มีทางผิดพลาดหรอก'
'ได้ แต่มันมีการวัดพลังของสัตว์ในพันธะด้วย เจ้าลดพลังเป็นสัตว์อสูรขั้น5ได้ไหม ข้าไม่อยากให้มันสูงเกินไป ประเดี๋ยวมันจะเด่นเกิน'
'เจ้านี่ปัญหาเยอะเหลือเกิน มีพลังสูง ๆ ไม่ชอบกดซะต่ำเตี้ย แถมยังมาบังคับให้ข้าต้องตกต่ำไปด้วยอีก ข้าเลือกทาสผิดหรือเปล่านี่ เห็นพลังเยอะนึกว่าจะอวดเบ่งได้'
'เอาน่ามันยังไม่ถึงเวลา ตอนนี้เรายังไม่รู้สถานการณ์ดี รอดูว่าไม่มีปัญหาอะไรค่อยเพิ่มที่หลังก็ได้นี่ ยังไงเราก็รู้ขั้นพลังของตัวเองอยู่นี่น่านะ ๆ นายท่านถงเมารูปงาม'
'เฮ้อ! ก็ได้ ๆ เจ้านี่มันตัวเรื่องมากจริง ๆ'
เมื่อตกลงกับนายท่านเรียบร้อย อาจารย์คนเมื่อครู่ก็เดินขึ้นมาที่เวทีอีกครั้ง พร้อมกับถือแผ่นกระดาษขึ้นมาด้วย แล้วอาจารย์ก็เริ่มเรียกชื่อ ซึ่งคนแรกก็คือข้านี่เองก็ดีคนแรกเปิดตัวสวย ๆ ไปเลย
เมื่ออาจารย์เรียกชื่อข้าจบ ข้าก็ลุกเดินขึ้นไปบนเวที แล้วรวบรวมสมาธิคราวนี้ข้าไม่ต้องท่องพุทโธแล้วนะ ข้าทำจิตให้ว่างแล้ววางมือบนลูกแก้วพร้อมส่งกระแสจิตไปที่ลูกแก้ว ตอนแรกลูกแก้วมีหมอกสีขาวขึ้นแล้ววงแหวนก็เริ่มหมุนขึ้นวงที่หนึ่ง วงที่สอง วงที่สาม วงที่สี่จนเหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกข้าจึงส่งกระแสจิตไปว่าให้หยุด มันก็หยุด หยุดแบบไม่มีอะไรกั้น (แฮ่มุกห้าบาทสิบบาทก็ยังจะเล่น) เมื่อลูกแก้วหยุดนิ่งแล้ว อาจารย์ที่ยืนประจำบนเวทีก็แจ้งว่าขอตรวจสอบสัตว์อสูร ข้าจึงเรียกถงเมาออกมา อาจารย์ก็แผ่พลังไปตรวจสอบตัวของถงเมาทันที
"ซานเฟิงมี่ พลังปราณขั้นสี่ระดับต่ำธาตุน้ำแข็ง สัตว์อสูรแมวขั้นห้าระดับสูงธาตุลม ผ่าน!!" เมื่อฟังอาจารย์กล่าวจบแล้ว ข้าก็อุ้มถงเมาขึ้นและเดินลงเวทีไป ความจริงข้าจะให้แสดงพลังปราณเพียงแค่ขั้นสามระดับสูง แต่ข้าแค้นใจยัยคุณหนูตระกูลเย่ผู้นั้น จึงให้ถงเมาเปลี่ยนเป็นระดับสี่ขั้นต่ำแทน เวลาเจอหน้ายัยคุณหนูเย่นั่นจะได้พูดไม่ได้ว่าข้ามีระดับพลังต่ำกว่านาง
ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงคนกระซิบคุยกันอย่างที่เคยได้ยิน เช่นเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่แต่มีพลังแค่ขั้นสี่ แถมสัตว์อสูรก็เป็นแค่แมวและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งข้าก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร ตื่นเต้นกันให้พอเลยจ้า อย่าให้ข้าแสดงของจริงให้ดูละกันแล้วจะมาอิจฉา โฮะๆๆ
ข้าก็นั่งดูคนอื่น ๆ ขึ้นไปวัดพลังซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ขั้น 3-5 ธาตุก็ทั่ว ๆ ไป ส่วนอาชิงก็อยู่ขั้น5ระดับต่ำธาตุน้ำ ส่วนของสัตว์อสูรเป็นนกขั้น 6 ธาตุลม จนในที่สุดข้าก็ได้ยินชื่อที่รอที่จะได้เจอมานานถึง 5 ปี อันดับ 35 ชงเหมยฮวา เมื่อสิ้นเสียงเรียกก็มีหญิงสาวนางหนึ่งยืนขึ้นและค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนเวที เนื่องจากข้าอยู่แถวหน้าสุดจึงมองเห็นได้ชัด
หญิงสาวหน้าตาน่ารัก โดดเด่นที่ดวงตาดูกลมโตบริสุทธิ์ จมูกปากเล็กจิ้มลิ้ม ผิวขาว ตัวเล็กช่างดูอ่อนแอและบอบบาง นางใส่ชุดสีขาวบักลายดอกบัวด้วยด้ายสีเงิน ผมยาวมัดครึ่งหัวด้วยผ้าสีขาวลายเดียวกับชุด และก็ไม่ผิดหวังกับสกิลตัวเอกลูกแก้วแสดงธาตุทองพร้อมวงแหวน 7 วงระดับต่ำ แถมมีสัตว์อสูรเป็นหงส์ขั้น 8 ธาตุไฟ เมื่อผลทดสอบของชงเหมยฮวาถูกประกาศทั่วทั้งห้องโถงก็มีแต่เสียงฮือฮาพูดคุยไปทั่ว แถมมีคนบางคนยังใจดี ลากข้าไปเปรียบว่าเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่มีดีแค่หน้าตากับฐานะ แต่พลังยังสู้หญิงสาวที่มาจากชาวบ้านไม่ได้เลย
ซึ่งข้าได้ฟังแล้วเฉย ๆ แต่คนที่ไม่เฉยก็คืออาชิงที่นั่งข้างข้า กำหมัดฮึ่ม ๆ เตรียมจะลุกไปต่อว่าแต่ข้าก็ห้ามนางไว้แล้วกล่าวลอย ๆ ไปว่า
"ไม่เป็นไรนะอาชิง ข้าไม่สนใจหรอก ข้าพึ่งจะหายป่วยจนเปิดพลังปราณได้ และก็ฝึกฝนมาแค่สามสี่ปีเอง ได้ถึงขั้นสี่ก็ถือว่าดีแล้ว" ข้าพูดพร้อมกับลูบแขนปลอบอาชิงไปด้วย
ซึ่งเมื่อข้าพูดจบพวกที่หวังดีเปรียบเทียบข้าก็เงียบลง ฮึ! ข้าฝึกมาแค่ 3-4 ปีได้ขั้น 4 พวกเจ้าฝึกมาตั้ง 6-7 ปียังมากสุดขั้น 4 เท่ากับข้า ยังจะมีหน้ามาว่าผู้อื่นอีก
เมื่อผลทดสอบของชงเหมยฮวาจบลงก็มีคนขึ้นไปทดสอบเรื่อย ๆ จนครบทุกคน มีพลังขั้นเจ็ดอีกสองคนด้วยแต่ข้าไม่ได้สนใจฟัง เมื่อวัดพลังครบทั้งหนึ่งร้อยคนแล้ว อาจารย์ที่ยืนบนเวทีก็แจ้งให้ทุกคนเตรียมตัวพรุ่งนี้ต้นยามเฉิน (7.00-8.59) ให้มาพร้อมกันที่ลานด้านหน้า เพื่อเข้าทดสอบรอบสามซึ่งเป็นรอบสุดท้ายแล้วจึงให้แยกย้ายกันกลับที่พัก
ข้ากับอาชิงจึงกล่าวลากันด้านหน้าห้องโถงเพราะนัดรถม้าไว้คนละที่กัน เมื่อข้าเดินแยกออกมาก็เจอเข้ากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เหมือนกำลังรุมดูอะไรอยู่ ด้วยความเผือก เอ๊ย...ความสนใจข้าจึงลองเดินไปยืนข้าง ๆ กลุ่มนั้นจนได้ยินว่า
"คิดว่ามีธาตุทองขั้นเจ็ดแล้วจะช่วยยกตัวตนของเจ้าขึ้นเป็นชนชั้นสูงได้หรือยังไง ต่อให้พลังของเจ้าสูงยิ่งกว่านี้ เจ้ามันก็เป็นแค่ลูกสาวชาวบ้านแค่นั้น จะทำท่าทางอ่อนแอบอบบางแบบนี้ให้ใครดูกัน" หือ...คุ้น ๆ ไหมประโยคแบบนี้ จะมีใครโดนว่าถ้าไม่ใช่แม่นางชงเหมยฮวาตัวเอกของเรื่องราวนี้
ข้าซึ่งยืนฟังอยู่ห่าง ๆ ก็พยายามมองเข้าไปในกลุ่มนั้น เห็นเป็นหญิงสาว 5 คนยืนล้อมชงเหมยฮวาเอาไว้ตรงกลาง ในสาว ๆ กลุ่มนั้นมีคนที่ใส่ชุดของสำนักศึกษาร่วมอยู่ด้วยสามคน ข้าซึ่งกำลังชั่งใจว่าจะช่วยหรือจะปล่อยผ่านดีก็ได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากอีกทางพอดี
"พวกเจ้าทำอะไรกัน" คนที่ตะโกนมาขัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาใส่ชุดของสำนักศึกษา บุคลิกดูท่าจะเป็นพวกมีตำแหน่ง เพราะดูไม่กลัวใคร แววตามั่นคงเด็ดขาด
"คารวะศิษย์พี่ไป๋ พวกข้าแค่ทักทายคนรู้จักแค่นั้นเจ้าค่ะ" หญิงสาวหนึ่งในกลุ่มที่ใส่ชุดสำนักศึกษาเป็นคนกล่าว
"ใกล้ได้เวลาเข้าประชุมแล้วพวกเจ้ามายืนทำอะไร แยกย้ายไปเตรียมตัวได้แล้ว" มีชายอีกสามคนเดินเข้ามา ซึ่งทั้งสามคนหน้าตาหล่อเหลากินกันไม่ลงเลยแต่ละคนบุคลิกและน่าจะเป็นพวกคนใหญ่คนโต ซึ่งหนึ่งในกลุ่มคนที่มาใหม่เป็นคนกล่าวขึ้น พวกหญิงสาวทั้งห้าได้ยินดังนั้นก็รีบย่อกายแล้วเดินออกไปทันที เมื่อกลุ่มหญิงสาวเหล่านั้นไปแล้ว ชายหนุ่มทั้งสี่ก็หันมองไปทางที่ชงเหมยฮวายืนอยู่
"คุณหนูท่านนี้เจ้าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" ชายหนุ่มหนึ่งในกลุ่มเอ่ยปากถาม คนนี้จะติดมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา
"ฮึ ยังไม่ทันไรก็คิดจะหาเรื่องศิษย์น้องเสียแล้ว พวกเจ้าน่าจะให้ข้าจับไปส่งอาจารย์ลงโทษให้หมด" ชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มดูเป็นคนใจร้อนกล่าวโวยวาย
"ขอบคุณคุณชายทั้งสี่เจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรพวกนางแค่มาทักทายตามประสาคนรู้จักแค่นั้นเจ้าค่ะ" ชงเหมยฮวากล่าวพร้อมกับก้มหน้าแต่ที่ดวงตาเหมือนจะมีหยดน้ำคลออยู่
โอ้ว...ขนาดข้าเป็นผู้หญิงเห็นแล้วยังสะเทือนใจ แล้วผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าแม่นางคนงามจะไม่สะเทือนไปถึงไส้ถึงพุงเลยหรือสกิลนางเอกช่างน่านับถือจริงๆ
ข้าคิดในใจยังไม่ทันจบดีก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง หันไปเห็นเป็นมู่จินที่คงเดินมาตามข้านั้นเอง
ข้าจึงหันกลับไปทางสี่หนุ่มและหนึ่งแม่นางก็เห็นทั้งห้าคนหันมามองข้าอยู่พอดี ข้าจึงยิ้มแล้วย่อกายให้หนึ่งครั้งแล้วหมุนตัวเดินออกมาทันที
ใครจะไปอยากอยู่ด้วยกันสกิลนางเอกแผ่ออกมาขนาดนั้น ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่านั้นคงเป็นสี่องค์ชายที่เป็นตัวเอกในเรื่องราวนี้แน่นอน ยังไม่ทันเริ่มเรื่องราวจริงจังยังมีท่าทางคลั่งรักขนาดนี้ ข้าไม่ขอเสี่ยงเข้าไปทำความรู้จักด้วยหรอก
เมื่อกลับมาถึงจวนข้าก็ไปร่วมรับอาหารพร้อมกับครอบครัวและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง รวมถึงสาเหตุที่ข้าปกปิดพลังอีกด้วย ซึ่งทุกคนในครอบครัวก็พร้อมรับฟังเข้าใจและให้กำลังใจข้า และยังเตือนให้ข้าส่งคนไปแจ้งท่านตาและท่านยายไว้ด้วยจะได้ไม่ตกใจไป
ข้ากลับมาถึงเรือนแล้วเตรียมตัวสำหรับการเข้าทดสอบในวันพรุ่งนี้ ถ้าข้าจำไม่ผิดจะเป็นการให้เข้าไปในค่ายกล เพื่อทำการชิงธงซึ่งมีทั้งหมด 50 อันด้วยกัน ใครที่เจอธงก็ถือว่าผ่านเข้าศึกษาได้ งานนี้ตัดออกเกินครึ่งเลยทีเดียว ซึ่งข้าเป็นกังวลไหมแน่นอนว่าไม่ ข้ามีนายท่านถงเมาอยู่จะต้องกลัวอะไร สิ่งที่ข้าต้องเตรียมก็คือชุดเดินป่าพรุ่งนี้ เสบียงของข้าและนายท่านเตรียมใส่แหวนมิติเอาไว้
วันรุ่งขึ้นยามเฉินข้าก็มายืนอยู่ที่ลานรวมตัวแล้ว อาชิงก็มารวมกลุ่มกับข้าพร้อมกับมีเพื่อนใหม่มาอีกสองคนเป็นฝาแฝดหญิงชาย ชายชื่อเถาหลี่และหญิงชื่อเถาลั่ว ทั้งสองคนเป็นญาติกับอาชิงจึงขอมารวมกลุ่มด้วยนั้นเอง
อาจารย์ชี้แจ้งแบบทดสอบรอบที่สามให้ทุกคนฟังและเป็นอย่างที่ข้าจำได้ ทุกคนต้องเข้าไปในค่ายกลเพื่อตามหาธงสำนัก หนึ่งธงต่อหนึ่งคนเมื่อเจอธงแล้วก็ให้หาทางกลับออกมา และเมื่อครบเวลาสามชั่วยาม ใครที่ไม่มีธงจะถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ ส่วนคนที่มีธงจึงจะได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหวงหลง
เมื่อทุกคนพร้อมอาจารย์ก็แจกป้ายไม้ประจำตัวให้โดยถ้าเกิดอันตรายให้ส่งปราณไปที่ป้ายไม้ก็จะถูกส่งตัวออกมาที่ด้านนอกทันที เพราะฉะนั้นระวังอย่าส่งปราณมั่วซั่วจนตัวเองต้องถูกส่งออกมาก็พอ ส่วนในค่ายกลจะเป็นป่าวงกตและมีสัตว์อสูรแค่ขั้นหนึ่งและสองเท่านั้น ไม่มีอันตรายอะไรนอกจากการต่อสู้แย่งชิงป้ายกันเอง ทำการต่อสู้กันได้แต่ห้ามทำร้ายกันจนถึงแก่ชีวิตเด็ดขาดเพราะจะถูกปรับตกทันที
เมื่อได้เวลาเริ่มข้าก็รอให้คนส่วนใหญ่เข้าไปก่อนจนเมื่อคนน้อยลงกลุ่มของข้าจึงเดินเข้าไป กลุ่มของข้าค่อย ๆ เดินเลาะไปเรื่อย ๆ คอยฟังเสียงการต่อสู้และสอดส่องหาธงไปด้วย ผ่านไปชั่วยามเสียงของถงเมาก็ดังขึ้น
'เจ้าทาสไปทางทิศเหนือข้าไปสำรวจดูมาหมดแล้ว ทางทิศเหนือมีอยู่หลายอันตามมา' และแล้วนายท่านของข้าก็แสดงพลังช่วยงานข้าอย่างดีข้าปลื้มใจเหลือเกิน ข้าพาทุกคนเดินตามที่ถงเมานำทาง จนมาถึงสถานที่คล้าย ๆ ซากโบราณสถานเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ถงเมาเดินนำข้าและทุกคนจึงค่อย ๆ เดินตามเข้าไป
'ในนี้มีสองอันเจ้าแยกกันเดินหาเถอะ ข้าจะช่วยอำพรางที่นี่ให้ แต่หาเร็ว ๆ หน่อยนะมันเปลืองพลัง' เมื่อข้าได้ยินที่นายท่านบอกจึงรีบบอกให้ทั้งสามเถาแยกกันค้นหาธงโดยเร็ว ซึ่งทุกคนก็ไม่สงสัยอะไรแยกกันไปหาอย่างรวดเร็ว
ประมาณหนึ่งเค่อข้าก็เห็นคู่แฝดเดินกลับมาในมือมีธงหนึ่งอัน และก็ตามมาด้วยอาชิงที่ได้มาอีกหนึ่งอัน ข้าให้พวกเขารีบเก็บไว้แล้วรีบพาออกไปก่อนที่จะมีใครตามเข้ามา
เมื่อออกมาได้สักระยะ ถงเมาก็คล้ายที่อำพรางกายออก ข้าจึงหันไปบอกทุกคนว่าเหตุใดเราถึงต้องรีบหาและรีบออกมา เพราะถงเมาช่วยอำพรางไม่ให้คนอื่นเห็นหรือรับรู้ถึงพวกเราได้ เมื่อทั้งสามเถาได้ยินก็ชื่นชมนายท่านกันใหญ่ ที่ช่วยให้การทดสอบง่ายขึ้น แล้วบอกว่าจะพานายท่านไปเลี้ยงขอบคุณอีกด้วย จากนั้นจึงขอร้องให้ช่วยหาอีกสองอันจะได้รีบออกไป
นายท่านเมื่อได้รับการชื่นชมขนาดนี้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวังรีบพาไปอีกที่ทันที สถานที่ใหม่นี้เป็นน้ำตกด้านหลังมีถ้ำอยู่ นายท่านบอกให้ข้าและแฝดอีกคนรีบเข้าไปหา จะช่วยอำพรางให้อีกครั้งป้องกันไม่ให้คนอื่นรับรู้ถึงตัวพวกข้าที่จะเข้าไปโดยให้อีกสองคนนั่งรออยู่ด้านนอก
ข้ากับแฝดชายที่ชื่อเถาหลี่ก็รีบเดินลัดเลาะน้ำตกเข้าไปตามที่ถงเมาคอยนำทาง เมื่อมาถึงด้านหลังก็เห็นเป็นถ้ำขนาดไม่ใหญ่มาก มีบ่อน้ำอยู่กลางถ้ำและมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่ข้างบ่อ
ถงเมาบอกให้คนหนึ่งลงไปหาในน้ำ เมื่อเถาหลี่ได้ยินเช่นนั้นจึงขอลงไปเองเพราะตนมีธาตุน้ำ ข้าจึงพยักหน้ารับและมองหาขึ้นไปบนต้นไม้ ซึ่งก็มองเห็นอยู่ด้านบนสุดของยอดไม้ ข้าจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปหยิบธงลงมา
เมื่อข้าลงมาแล้วไม่นานอาหลี่ก็ขึ้นมา แล้วรีบใช้พลังปราณทำให้ตัวแห้งก็พอดีกับได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก พวกข้าจึงรีบออกไปส่วนถงเมาก็กลับเข้าไปอยู่ในพันธะเพื่อฟื้นฟูพลัง เมื่อข้าออกมาก็เห็นกลุ่มผู้หญิงห้าคนยืนล้อมอาชิงกับอาลั่วอยู่ ข้าจึงเดินไปรวมกลุ่มกับทั้งสองเมื่อพวกนั้นเห็นว่ามีคนมาเพิ่มก็ถอยหลังออกไป
"หึ ข้าก็นึกว่าเป็นใคร ที่แท้ก็คุณหนูตระกูลอันดับสามและอันดับสี่นี่เอง คงรังเกียจที่จะร่วมกลุ่มกับพวกคนจากตระกูลเล็ก ๆ อย่างพวกข้าซินะถึงได้จับกลุ่มกันอยู่แค่นี้" คนพูดคือยัยคุณหนูตระกูลเย่ที่เคยมีเรื่องกันตอนลงชื่อเข้าร่วมการทดสอบ
"พวกข้าจะจับกลุ่มกับใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณหนูจากตระกูลเล็ก ๆ ที่ไม่ติดอันดับอย่างเจ้าด้วยล่ะ พวกข้าพอใจอยากจะร่วมกลุ่มกับใครก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะต้องมายุ่ง" ข้าตอบกลับไปซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะตระกูลไหนข้าก็ยินดีต้อนรับถ้าอีกฝ่ายนิสัยน่าคบหาและมีความจริงใจต่อกัน แต่นี่พวกนางกล่าววาจาราวกับต้องการจะหาเรื่องจะให้ข้ายอมก็คงไม่ได้ สังคมแบบนี้คนอ่อนแอจะถูกรังแก และข้าไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะยอมใครซะด้วย
"อีกอย่างต่อให้เป็นแค่ลูกชาวบ้านธรรมดา ถ้ามาดีข้าก็ยินดีที่จะร่วมกลุ่มด้วย ไม่ใช่ทำเป็นมาวางท่าใหญ่โตแล้วกดข่มผู้อื่นเช่นนี้" ข้าตอบนางไปอีกประโยค ก่อนจะมองไปที่กลุ่มนั้นทีละคนแล้วพาทุกคนเดินออกไป
"หยุดอยู่ตรงนั้นพวกเจ้ายังไปไหนไม่ได้ ส่งธงของพวกเจ้าออกมาแล้วค่อยไป" ยัยคุณหนูตระกูลเย่ตะโกนออกมาพร้อมกับเดินมาขวางทาง
"เจ้าเอาสิ่งใดคิดถึงเชื่อว่าพวกข้าจะทำตามที่เจ้าพูด" ข้าถามกลับไปพร้อมกับกรอกตามองบนไปด้วย ตัวร้ายหางแถวแบบนี้ก็ยังอุตส่าห์มีมา
"พวกข้ามีคนเยอะกว่า ถ้าสู้กันพวกเจ้าจะสู้พวกข้าได้ยังไง" นางตอบข้าอย่างมั่นใจ
"ฮ่า ฮ่า โอ๊ย ข้าขำเหลือเกินอาชิง คนมากกว่าหนึ่งคนกับพลังแค่ขั้นสี่ยังคิดว่าตัวเองเก่งกว่า ข้าอยากจะขำแล้วกลิ้งลงไปกับพื้นจริงๆ" ข้าหัวเราะออกมาแล้วมองไปที่กลุ่มพวกนาง พลังแค่ขั้นสี่ข้าสะบัดมือทีเดียวก็กระเด็นแล้ว คนพวกนี้นี่ช่างสมกับเป็นตัวร้ายหางแถวจริงๆ
"ข้าขอเตือนให้พวกเจ้ามาทางไหนกลับไปทางนั้น ข้าไม่ใช่คนใจดีที่จะได้ยอมให้ใครมารังแกได้หรอกนะ รีบ ๆ ไปให้พ้นซะไม่อย่างงั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน" ข้าพูดพร้อมกับมองหน้าพวกนางทีละคน ส่วนสามเถานะหรือก็ยืนฮึ่มฮัมอยู่ข้าง ๆ ข้านี่แหละ ประมาณว่าถ้าพวกนั้นลงมือก็พร้อมสู้แน่นอน ซึ่งข้าชอบสามเถานี่จริง ๆ ไม่พูดเยอะไม่ถามมาก ข้าให้ทำอะไรก็พร้อมจะร่วมด้วยแบบนี้สิถึงจะคบกันได้
เมื่อพวกนั้นเห็นสายตาว่าข้าเอาจริงก็เหมือนจะกลัว ๆ ก็พากันเดินถอยหลังออกไป แต่ก็ยังไม่วายมองด้วยสายตาอาฆาตและไม่ยินยอม
"หึ นึกว่าจะแน่ที่ไหนได้ถอยหลังเร็วกว่าเดินหน้าอีก ฮ่าๆ" ข้ากล่าวจบทุกคนก็พากันหัวเราะ แล้วก็พากันเดินไปที่ทางออก ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว พวกข้ารู้สึกหิวแล้วรีบออกไปหาอะไรอร่อย ๆ กินดีกว่า