ตอนที่ 7 จงหลีกทางให้คนจะเป็นว่าที่นางเอก

2883 Words
ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งวันจะถึงวันลงชื่อเข้าทดสอบของสำนักศึกษาหวงหลง ตอนนี้พลังปราณของข้าอยู่ขั้น11 (อมตะ) ระดับสูง ส่วนถงเมาก็เป็นสัตว์เทวะขั้นสูงแล้ว ซึ่งความสามารถของถงเมาก็คือการปกปิดปราณ การอำพรางตัว และเปิดมิติที่สิ่งมีชีวิตสามารถเข้าไปได้แต่อยู่ได้ไม่เกินครั้งละสองชั่วยามเท่านั้น และในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ข้าได้ทำพิธีปักปิ่นไปแล้ว โดยจัดเป็นงานง่ายๆ มีแค่คนในครอบครัวกับท่านตาท่านยายเท่านั้นที่เข้าร่วม เพราะคนในแคว้นยังไม่รู้ว่าข้าฟื้นแล้ว แต่ถึงรู้ว่าฟื้นก็คงคิดว่าข้าไร้พลังปราณ เพราะเหตุการณ์ตอนกระตุ้นพลังของข้าเป็นข่าวดังไปทั่วแคว้นเลยทีเดียว ซึ่งท่านปู่ก็บอกว่าเป็นการดีที่ผู้คนไม่รับรู้เรื่องของข้าเพราะว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหาหรืออันตรายต่อข้าได้ เพราะห้าตระกูลใหญ่ก็มีศัตรูอยากจะโคนล้มมิใช่น้อย การที่ข้ามีพลังสูงอาจจะทำให้คนพวกนั้นมาหาเรื่องได้ นอกจากนี้ท่านปู่ยังได้มอบกระพรวนข้อเท้าที่ไว้ใช้ปกปิดพลังปราณให้ข้าซึ่งกระพรวนหนึ่งลูกลดพลังได้หนึ่งขั้น กระพรวนของข้ามีจำนวนห้าลูกซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่จะใช้ได้ ตอนนี้พลังของข้าจึงลดมาอยู่ที่ขั้น7 (ปรมาจารย์) ซึ่งสำหรับอายุ15ปีก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะได้แล้ว แต่ข้าให้ถงเมาช่วยลดพลังปราณของข้าให้เหลือแค่ขั้น3 (พื้นฐาน) ระดับสูงก็พอ ถึงขั้นปราณจะต่ำเกินไป แต่ถ้านับแล้วข้าพึ่งฟื้นมาแค่สี่ปีกว่าพลังขั้น3ก็ถือว่าไม่น่าเกลียด เช้านี้สี่มู่มาปลุกข้าตั้งแต่ยังไม่สว่าง จับข้าอาบน้ำขัดตัวทุกซอกทุกมุม ซึ่งความอายของข้ามันได้สลายไปตั้งแต่ปีแรกแล้ว และตอนนี้ข้าก็นั่งนิ่งให้พวกนางจับแต่งจับหมุนอยู่ตอนนี้ ร่างนี้ตอนเด็กก็ว่าน่ารักแล้ว พอยิ่งโตความงามก็ยิ่งเพิ่มขึ้น งามจริงๆ นะข้าไม่ได้หลงตัวเอง จากในความทรงจำของข้าแม่นางชงเหมยฮวาในเรื่องราวที่ข้าเห็นมีคนกล่าวว่างดงามนักก็ดูจะไม่งามเท่าร่างนี้เลยออกจะไปทางน่ารักมากกว่า เอ๊ะรึข้าจะหลงตัวเองจริง เมื่อแต่งตัวเสร็จข้าก็รีบไปขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางทันที เมื่อมาถึงหน้าสำนักศึกษาหวงหลงเพื่อลงชื่อข้าก็มองเห็นผู้คนมากมาย ก่อนจะลงรถม้ามู่อิงเอาผ้าผืนบางมาให้ข้าคาดหน้าปิดตั้งแต่ใต้ตาลงมาถึงคางเอาไว้ ซึ่งที่นี่ไม่ถือว่าแปลกที่หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนจะปิดหน้าตนเองเวลาที่ออกมาข้างนอก เมื่อข้าลงมายืนข้างรถม้าเรียบร้อยแล้ว คนที่อยู่ใกล้ก็พากันหันมามองทางข้าเป็นตาเดียว และข้าก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันว่ารถม้าตระกูลซาน หรือว่าคุณหนูซานจะฟื้นแล้ว ระหว่างที่ข้ายืนต่อแถวเพื่อลงชื่อก็ได้ยินเสียงพวกนี้ตลอดทาง ที่เพิ่มมาอีกอย่างคือพลังแค่ขั้นสามพื้นฐานเองเข้าทดสอบจะผ่านหรือ แล้วจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เมื่อได้ฟังข้าก็ไม่สนใจอะไรคนที่เขาจะเป็นนางเอกเขาไม่ไปโวยวายเพราะคนนินทาหรอก พวกนั้นมันตัวอิจฉาถึงจะแสดงอาการกัน ยังคิดไม่ทันจบประโยคข้าก็ได้ยินเสียงโวยวายมาจากทางด้านหลัง พร้อมเห็นคนกลุ่มหนึ่งพยายามผลักและดันคนให้พ้นทางเดิน ข้ามองเห็นเป็นผู้ชายสองคนเดินนำด้านหน้าให้หญิงสาวคนหนึ่งเดินตามหลังมา หน้าตาก็ดูงามดีแต่เชิดหน้ายืดคอที่ข้าเห็นแล้วรู้สึกเมื่อยแทน พวกนั้นก็เดินมาจนถึงตรงหน้าของข้าก็คิดจะผลักข้าออกจากแถว องครักษ์ที่ท่านพ่อให้ข้าพามาด้วยก็รีบมาขวางตรงหน้าข้าพอดี ผู้ชายพวกนั้นก็ดูท่าจะเป็นองครักษ์เหมือนกันคิดจะเอาเรื่องพวกข้า แต่พอพวกนั้นมองเห็นตราที่อยู่บนอกเสื้อของพวกองครักษ์ก็ชะงักไป แล้วหันไปมองผู้หญิงคอยืดคนนั้น ผู้หญิงคอยืดคนนั้นก็ทำเป็นไม่สนใจ แล้วสั่งให้จัดการพวกข้าแล้วจะเดินแทรกขึ้นไป ข้าที่เป็นว่าที่นางเอกจะยอมได้อย่างไรจึงเดินไปขวางหน้าผู้หญิงคนนั้นไว้ นางก็จ้องมองข้าอย่างไม่พอใจ "ข้าเป็นคุณหนูตระกูลเย่ เจ้ากล้าดียังไงมาขวางทางข้า หลบไป" นางกล่าวพร้อมกับสะบัดมือปล่อยพลังปราณขั้น4 (ทหาร) ใส่ข้า แต่ข้าผู้มีพลังปราณถึงขั้นอมตะจะรับมือไม่ได้เชียวหรือข้าจึงสะบัดมือสลายพลังที่นางส่งมาทิ้งไปและจ้องหน้านาง "ตระกูลเย่ข้าไม่รู้จัก แต่เจ้าคงรู้จักข้าคุณหนูตระกูลซานละมั้ง" ข้าพูดพร้อมกับมองหน้านาง "ตระกูลซาน! ตระกูลซานแล้วอย่างไร พลังแค่ขั้นสาม ข้าพลังสูงกว่าเจ้าเพราะฉะนั้นหลบไปซะ" หลังจากได้ยินข้าเอ่ยถึงตระกูลนางก็ตกใจและชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วคงทำการตรวจสอบพลังของข้าเมื่อเห็นว่าต่ำกว่านางเลยไม่กลัว แต่ข้าหรือจะยอมข้ายืนต่อแถวมาตั้งนานอยู่ๆ จะมาแซงใครจะยอม "ทำไมข้าต้องหลบ ตระกูลซานของข้าเป็นถึงตระกูลลำดับสี่ยังต่อแถวเช่นผู้อื่น ตระกูลเย่เป็นตระกูลลำดับที่เท่าไหร่กันถึงได้ทำมาวางอำนาจขนาดนี้" "เป็นตระกูลลำดับสี่แล้วยังไง พลังยังสู้ข้าไม่ได้ คิดจะออกหน้าให้ใครดูกัน" "เกิดอะไรขึ้น" อยู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งขัดขึ้น ข้าจึงหันไปมองเห็นเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดเครื่องแบบของสำนักศึกษาสีขาวมีขลิบทองสองเส้นที่ไหล่และปักอักษรหวงหลงไว้ตรงหน้าอกเสื้อยืนอยู่ด้านหลังข้า "คารวะท่านอาจารย์ ข้ากำลังยืนต่อแถวเพื่อลงชื่ออยู่ๆ คุณหนูท่านนี้ก็ให้องครักษ์ของนางผลักคนที่ต่อแถวอยู่ก่อนออกไป แล้วเดินแทรกมาจนถึงข้าแต่ข้ามิยอมให้นางผ่านไป นางจึงบอกว่าเป็นคุณหนูตระกูลเย่ให้ข้าหลบให้นาง จนเกิดการโต้เถียงกันจนท่านอาจารย์มาพบเข้าเจ้าค่ะ" ข้ารีบกล่าวคนเล่าก่อนมีสิทธิ์ก่อน "เป็นเช่นที่คุณหนูผู้นี้พูดจริงหรือไม่" ท่านอาจารย์คนนั้นเมื่อฟังข้าฟ้อง เอ๊ย พูดจบจึงหันไปมองคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่าที่ข้าพูดเป็นความจริง "ข้ามีทางเลือกให้คุณหนูเย่สองทางคือยกเลิกการลงชื่อเข้าทดสอบแล้วกลับไปซะ หรือขอโทษทุกคนแล้วกลับไปต่อแถวลงชื่อเช่นคนอื่น" ท่านอาจารย์กล่าวพร้อมกับมองไปทางคุณหนูเย่ผู้นั้น "ข้าขออภัยทุกท่านเจ้าค่ะ" คุณหนูเย่ย่อกายคารวะไปทางด้านหลัง แล้วก้มหน้าเดินไปต่อแถว แต่ยังมิวายส่งสายตาอาฆาตมาให้ข้า ฮึ! ใครกลัวกัน แล้วการลงชื่อของข้าก็เสร็จเรียบร้อยได้ป้ายชื่อแจ้งลำดับที่ 389 ขนาดข้ามารอต่อแถวแต่เช้าแล้วนะยังได้ลำดับที่สามร้อยกว่าเลย เมื่อลงชื่อเรียบร้อยอีกสามวันจะเป็นวันเข้าทดสอบ ระหว่างนี้ข้าก็เตรียมตัวสำหรับการทดสอบด้วยการนอน ใช่นอนก็ข้านะฝึกฝนมาตลอดสี่ปีกว่าที่ผ่านมาเลยนะ เพราะฉะนั้นก่อนที่ข้าจะได้ไปผจญภัยในเรื่องราวของผู้อื่น เพื่อจะทำให้ตนเองได้เป็นนางเอกและหาพระเอกมาเป็นของตัวเอง ข้าก็ต้องทำการพักผ่อนให้เพียงพอก่อนนะสิ ส่วนถงเมานายท่านของข้าก็มิได้ต่างกันนัก นอนผึ่งพุงอยู่บนหลังคาเรือนของข้า เห็นแบบนี้ข้าก็อยากจะจับมาฟัดนัก หนึ่งปีที่ผ่านมาข้าต้องได้รับถ้วยทาสดีเด่นแน่นอนจากแมวสีขาวที่ตัวดูขนาดปกติออกจะผอมนิดหน่อย ข้าสามารถเลี้ยงดูนายท่านของข้าให้ตัวกลมจนแทบจะใช้วิธีกลิ้งแทนเดินแล้ว แต่ถึงถงเมาจะกลายเป็นแมวอ้วนแต่ความเร็วของมันมิได้ลดลงเลย เพราะความสามารถของถงเมาอีกอย่างคือธาตุลม ตอนที่ข้าฝึกพลังคู่กับถงเมา ข้ารู้สึกได้ว่าความเร็วและแรงของธาตุน้ำแข็งของข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากธาตุลมของนายท่านนั้นเอง ซึ่งมาคิดถึงความสามารถของสัตว์ในพันธะของตัวเองแล้ว นี่มันสายหนีชัดๆ เลย ทั้งปกปิด ซ่อนเร้น อำพรางแถมยังมีช่องมิติให้หนีเข้าไปหลบได้อีก คิดได้แบบนี้ข้าก็สบายใจละ ถ้าสู้ไม่ได้ข้าก็หนีได้สบายๆ เลย ว่าแต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าแม่นางชงเหมยฮวาจะเป็นอย่างไรแล้วบ้าง ถ้าเป็นอย่างเรื่องราวที่ได้เห็นในฝัน นางจะมีพลังปราณขั้น7 (ปรมาจารย์) ธาตุทองเชียวนะ ธาตุทองความสามารถคือการรักษา ตอนที่เห็นในฝันเหมือนว่าจะเปิดตัวอลังการอยู่นะเพราะเป็นธาตุหายากแถมพลังปราณขั้น7เรียกว่าอัจฉริยะได้เลย และเพราะการเปิดตัวอลังการนี่เองจึงเรียกความสนใจจากตัวเอกสี่องค์ชายเอฟโฟร์ได้นั้นเอง เพราะถ้าได้ครอบครองผู้ที่มีธาตุทองก็ไม่ต้องกลัวว่าจะบาดเจ็บหนักเลย เพราะธาตุทองสามารถแผ่พลังปราณช่วยรักษาได้ เสมือนสายซับที่มีใบชุปตลอดเวลาจนกว่าพลังปราณจะหมดใครจะไม่อยากมีสายนี้ไว้ในตี้กันล่ะ และแล้ววันทำการทดสอบเข้าสำนักศึกษาหวงหลง สำนักศึกษาอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินซื่อหลิงแห่งนี้ก็มาถึง ตอนนี้ข้าได้มายืนต่อแถวเพื่อยื่นป้ายชื่อยืนยันการเข้าร่วมทดสอบหน้าประตูสำนักศึกษา ตัวสำนักศึกษามีพื้นที่กว้างใหญ่มาก น่าจะเกิดจากค่ายกลขยายพื้นที่ และอาคารที่ข้ามองเห็นก็ทำจากหินอ่อนเสียเป็นส่วนใหญ่ อืมร่ำรวยจริงๆ ข้าชักอยากจะเจอประมุขตระกูลหลงซะแล้ว หรือข้าควรจะจับคุณชายจากตระกูลหลงนี่เลยดีกว่านะ เมื่อความคิดเรื่อยเปื่อยของข้าสิ้นสุดลงข้าก็เดินตามคนอื่นๆ มาถึงห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีโต๊ะกับเก้าอี้วางเรียงไว้เหมือนห้องสอบ จำนวนก็น่าจะถึงพันได้ ข้าจึงเดินไปหาโต๊ะหมายเลขของตนเองและนั่งลงรอเวลา เมื่อทุกคนนั่งลงครบทุกโต๊ะ ก็มีอาจารย์เดินขึ้นมาบนเวทีด้านหน้าและแจ้งว่า "การทดสอบแรกให้ทุกคนทำข้อสอบที่กำหนดจำนวนหนึ่งร้อยข้อ ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามเมื่อใครทำเสร็จแล้วให้ถือมาส่งที่ทางออก แล้วนั่งรอฟังผล ผู้ที่ผ่านจะได้เข้ารอบสองเพื่อทดสอบต่อไปเริ่มได้" เมื่ออาจารย์ที่อยู่บนเวทีกล่าวจบ ก็มีกระดาษข้อสอบโผล่ขึ้นมาวางบนโต๊ะของทุกคน ข้าถึงกับตกใจนี่ใช่เวทมนตร์แบบในหนังเรื่องแฮรี่พอตเตอร์หรือเปล่านี่ อ่ะ...ข้าเพ้อเจ้ออะไรอีกแล้วว่าแล้วก็ก้มหน้าทำข้อสอบดีกว่า ข้อสอบก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับดินแดนซื่อหลิงแห่งนี้ และแคว้นต่างๆ ก็เป็นความรู้พื้นฐานที่ใครๆ ก็คงตอบได้ และเพราะความจำพริบตาของข้าข้อสอบแบบนี้ข้าก็ไม่มีทางพลาดไปได้ ดีนะที่ข้าใฝ่รู้อ่านตำราพื้นฐานมาจนครบทั้งห้าแคว้นเลย ถ้าไม่ได้เต็มข้าจะเอาตำราพวกนั้นไปเผาให้หมดเลย ข้าใช้เวลาไปเพียงครึ่งชั่วยามก็ตอบคำถามทุกข้อเสร็จ แต่ข้ายังไม่เห็นมีใครลุกออกจากที่นั่ง ข้าซึ่งยังไม่อยากจะโดดเด่นเกินก็เลยนั่งอ่านทวนอีกเป็นรอบที่สาม จนในที่สุดก็มีคนลุกขึ้นคนแรก ข้าจึงรออีกสักพักก็เริ่มมีคนที่สองและสามตามมาข้าจึงลุกออกไปส่งข้อสอบและออกไปทันที เมื่อเดินออกมาแล้วข้าก็เห็นมู่จินยืนชะเง้อมองหาข้าอยู่ จึงเดินไปหานางและพากันเดินมาทางสวนด้านข้าง มู่จินเอาผ้าออกมาปูที่พื้นหญ้าพร้อมเอาสำรับอาหารที่ใส่กล่องเตรียมไว้มาให้ข้า ข้าก็รับมากินอย่างหิวโหย เพราะความตื่นเต้นของข้าเป็นเหตุทำให้ไม่ได้กินอาหารเช้ามานั้นเอง ซึ่งดูเหมือนทั้งสี่มู่ของข้าจะชินแล้ว เพราะพวกนางดูจะมีการเตรียมการที่ดีกว่าข้าซะอีก เมื่อกินอิ่มแล้วข้าก็เริ่มง่วง จึงให้ถงเมาสร้างมิติให้ข้าเข้าไปงีบระหว่างรอฟังผลสอบ ซึ่งนายท่านของข้าก็ไม่ทำให้ผิดหวังปฏิเสธข้าทันทีบอกว่าเปลืองพลัง ข้าจึงได้แต่นั่งคอตกรอเวลาต่อไป รอจนถึงเวลาประกาศผลป้ายไม้ที่ข้าถือแจ้งลำดับอยู่ก็เปลี่ยนข้อความเป็นคำว่าผ่านและคำว่าหนึ่ง ข้าที่เห็นดังนั้นจึงให้สงสัยนักอะไรคือหนึ่ง ไม่นานก็มีเสียงประกาศว่าผลสอบรอบแรกออกแล้ว ป้ายไม้จะมีแจ้งว่าผ่านหรือไม่ผ่านและจะมีลำดับที่สอบได้แจ้งไว้ด้วย เมื่อรับทราบผลแล้วคนที่ผ่านให้ไปรวมตัวที่ห้องโถงที่ทำการสอบรอบแรกเพื่อทำการทดสอบรอบที่สองต่อไป ข้าที่รู้ว่าสอบผ่านแถมได้อันดับหนึ่งจึงหันไปบอกกับมู่จินให้แจ้งข่าวไปให้ครอบครัวข้าด้วย ส่วนตัวข้าก็เดินกลับไปที่ห้องโถงเพื่อรอทดสอบทันที เมื่อเข้ามาในห้องโถงข้าก็หาที่นั่งตามหมายเลขทันที ซึ่งที่นั่งข้างข้าเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง เมื่อข้านั่งลงนางก็หันมายิ้มให้ข้าและแนะนำตัวว่า "ข้าชื่อ เถาอี้ชิง สอบได้อันดับสองล่ะ ข้าทำผิดไปสองข้อเจ้าละชื่ออะไร" นางแนะนำตัวเองอย่างคล่องแคล่ว "ข้าชื่อ ซานเฟิงมี่ สอบได้อันดับหนึ่งได้ร้อยคะแนนเต็ม" ข้าแนะนำตัวกลับพร้อมกับยิ้มให้ วันนี้ข้าไม่ได้คาดผ้าปิดหน้ามานะ เพราะทางสถานศึกษาแจ้งไม่ให้ใส่มา ป้องกันการสวมรอยในการเข้าทดสอบ "อ่ะ เจ้าคือคุณหนูซานที่ป่วยเมื่อตอนปลุกพลังอย่างงั้นรึ เจ้าหายป่วยมานานหรือยัง แล้วเจ้าฝึกพลังได้แล้วใช่ไหมถึงมาเข้าสอบได้" คุณหนูตระกูลเถาถามข้าด้วยความตื่นเต้น นางก็ดูน่ารักดี ดูจริงใจไม่มีจริตมารยาคนนี้ข้าน่าจะคบได้ "อืม ข้าหายป่วยมาได้สี่ปีแล้ว ฝึกฝนพลังได้แล้วตอนนี้" ข้าตอบนาง พร้อมกับสังเกตนางไปด้วย "ดีจัง ข้ากำลังคิดว่าถ้าเจ้าหายจนมาสอบได้ ข้าจะได้มีเพื่อน เพราะพวกคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ข้าพอจะคบได้ก็คงเป็นเจ้าที่อายุเท่าข้านี่แหละ เจ้าเรียกข้าว่าอาชิงก็ได้นะ ที่บ้านข้าเรียกแบบนี้" อาชิงตอบข้าพร้อมกับยิ้มจนตาปิดเลยทีเดียว ที่อาชิงบอกว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ที่คบได้ไม่ใช่เพราะนางเหยียดตระกูลอื่นๆ หรอกน่ะ แต่เป็นเพราะส่วนใหญ่จะเข้าหาเพราะผลประโยชน์มากกว่า แต่ห้าตระกูลใหญ่ผลประโยชน์ไม่ทับซ้อนกันจึงไม่จำเป็นต้องระแวงกันเอง แต่กับตระกูลอื่นๆ อาจจะเป็นการชักภัยเข้าตัวเองได้ จึงเหมือนว่าห้าตระกูลจะคบค้าแค่กันเอง แต่ที่จริงเป็นการป้องกันการหาผลประโยชน์จากตระกูลอื่นจนตัวเองอาจจะเดือดร้อนได้ เพียงแต่ถ้ามาขอความช่วยเหลืออันนี้ทั้งห้าตระกูลจะช่วยกันให้ความช่วยเหลือ เป็นการควบคุมอำนาจอย่างหนึ่งเพียงแต่ไม่ได้เอาเปรียบใครแค่นั้น "อืม เจ้าเรียกข้ามี่เอ๋อร์ก็ได้ ที่บ้านข้าเรียกแบบนี้" ข้ายิ้มตอบอาชิงเพื่อนคนแรกของข้า ข้าจึงนั่งคุยกับอาชิงรอเวลาเริ่มการทดสอบรอบสอง ระหว่างนั้นข้าก็สอดส่ายสายตามองผู้คนไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงเวลา ก็มีอาจารย์เดินขึ้นไปบนเวที พร้อมกับวางลูกแก้ววัดพลังลงบนแท่นหินที่อยู่บนเวที "การทดสอบรอบสองจะเป็นการวัดพลังปราณ พลังธาตุและสัตว์ในพันธสัญญา ให้เวลาเตรียมตัวหนึ่งเค่อ (15นาที) " อาจารย์ท่านนั่นพูดจบก็เดินลงเวทีไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD