ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องนอนที่มีเพียงแสงสีเหลืองนวลของโคมไฟ ร่างใหญ่ซึ่งนอนหมิ่นเหม่อยู่ขอบเตียงถูกดึงให้พลิกกายนอนตะแคงด้วยความตึงของผ้าตรงข้อมือ
ข้อจำกัดของผ้าผืนบางที่ใช้พันธนาการข้อมือของหนุ่มสาวเอาไว้ทำให้แขนใหญ่ยื่นออกไปจากที่นอนแม้เขาจะพยายามกระตุกดึงให้เธอหันกลับมานอนหงาย แต่คนขี้เซาที่หลายวันมานี้แทบไม่ได้กินได้นอนกลับหลับเป็นตาย
เขามองร่างบอบบางในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวซึ่งนอนตะแคงหันหลังให้บนฟูกแบบบางที่ปูบนพื้นข้างเตียงด้วยความเซ็ง
“เธอ นี่ น้ำมนต์”
แม้เขาจะเรียกชื่อเธอครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เธอกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย จึงทำได้เพียงถอนหายใจพรืดแล้วลงมาซุกตัวนอนภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
พื้นที่คับแคบชิดเตียงทำเอาเขาไม่สามารถนอนหงายได้ จำต้องนอนตะแคงซ้อนหลังเธอ
ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดต้นคอขาวผ่อง กลิ่นโลชั่นทาผิวและกลิ่นเนื้อสาวที่ผสมผสานกันเป็นฟีโรโมนชั้นดีทำเอาหัวใจแกร่งเต้นกระหน่ำคร่อมจังหวะ
มือใหญ่สั่นเทายกขึ้นมาลูบเบา ๆ บนต้นแขนบอบบางอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวราวกับต้องมนตร์สะกด
และทันทีที่มือร้อนผ่าวต้องผิวกาย คนตัวบางที่หลับสนิทก็สะดุ้งตื่นทันใด เธอพลิกตัวหมุนกลับมาอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายของคนทั้งคู่แนบชิดกันไปทุกสัดส่วน
ดวงตาทั้งสองคู่เบิกกว้างด้วยความตกใจ ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูเผยอค้าง กำลังจะโวยวายที่เขาถือวิสาสะลงมานอนกอดเธอก็เป็นอันต้องหยุดชะงักเมื่อเขาใช้มือล็อกคางเธอเอาไว้แล้วโน้มหน้าไปจูบเธอเบา ๆ อย่างเร้าอารมณ์
“อื้อ”
เสียงร้องครางประท้วงดังอื้ออึงในลำคอ เธอพยายามดิ้นหนี แต่เขากลับสอดมือเข้ามาที่ช่องว่างระหว่างฟูกกับเอวคอดกิ่วแล้วเกี่ยวรั้งร่างกายเธอให้แนบชิดกับเขามากกว่าเดิมขึ้นไปอีก
ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้าไปกวาดต้อนความหวานทั้งยังดูดลิ้นของเธอจนเจ็บแปลบ เสียงร้องประท้วงยังดังเล็ดลอดออกมาพร้อมกับการพยายามดิ้นหนีไม่หยุด มือเล็กที่ยันหน้าอกแกร่งเอาไว้ฟาดลงไปบนร่างกายของเขาไม่ยั้ง
“อย่าดิ้น”
เขาถอนริมฝีปากออกมาแล้วพลิกกายขึ้นคร่อมก่อนจะปล้ำจูบซุกไซ้ซอกคอขาวอย่างบ้าคลั่ง
“คุณปุณณ์ ปล่อยฉันนะ”
ก่อนที่ร่างกายจะอ่อนระทวยไปกับสัมผัสชั้นครู เธอพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายผลักจนเขาผงะหงายหลังเป็นโอกาสให้เธอลุกขึ้นนั่งกระถดตัวหนี
แต่อนิจจา เพียงเขากระตุกผ้าที่พันธนาการข้อมือของคนทั้งคู่เอาไว้ ร่างบอบบางก็ลอยหวือเข้ามาหาเขาในทันที
เขาใช้ร่างกายที่ใหญ่โตและคล่องแคล่วกว่ากระชากตัวเธอให้ลงมานอนหงายโดยมีเขานอนคร่อมทับด้านบนในท่วงท่าแสนล่อแหลมดังเดิม
ริมฝีปากสีชมพูสั่นระริก แววตาที่อ่านไม่ออกคู่นั้นมันดำสนิทลึกล้ำจนดูน่ากลัว
“คุณปุณณ์ จะทำอะไรฉัน”
“แล้วเธอคิดว่าฉันจะทำอะไรเธอล่ะ”
“ไม่ ไม่รู้ค่ะ ลงไปก่อนเถอะนะ”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะลงมานอนกับเธอนักหรอกนะ แต่เธอนอนดิ้นดึงจนแขนฉันจะหลุด ฉันเลยต้องลงมานอนกับเธอนี่แหละ”
เธอมองข้อมือของทั้งเขาและเธอที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกันด้วยผ้าผืนบาง มันสั้นออกปานนั้น ขนาดนอนข้างกันยังลำบาก
“งั้นคุณแกะผ้านี่ออกดีไหมคะ”
“เธอกำลังจะคิดหนีฉันอยู่ใช่ไหม”
“มะ ไม่นะคะ ไม่ได้จะหนี แต่ฉันนอนดิ้นจนทำคุณเจ็บ”
“ก็เพราะว่าเธอนอนดิ้นจนทำฉันเจ็บนี่ไง ฉันถึงต้องลงมานอนทับไม่ให้เธอดิ้น”
ตรรกะป่วย ๆ ที่โพล่งออกมาไม่ได้ทำให้เจ้าตัวรู้สึกอาย ยังคงคิดเข้าข้างตัวเองว่าเหตุผลของเขามันดีที่สุดแล้ว
“ไม่ใช่แบบนี้สิคะ”
“ไม่ใช่แบบนี้ แล้วจะให้ฉันนอนทับแบบไหนล่ะ เธอกำลังหวังอะไรอยู่หรือเปล่า”
เขาโยนความผิดมาให้เธอ ทั้งที่เมื่อครู่ถ้าเธอไม่ออกแรงผลักจนเขากระเด็นผงะออกมา ป่านนี้ลูกชายคนโตที่มันแข็งตัวเต็มที่คงได้เข้าไปเริงร่าอยู่ในความนุ่มนิ่มบอบบางของเธอแล้ว
“ไม่ได้หวังอะไรทั้งนั้น แล้วคุณก็ไม่ต้องมานอนทับฉันด้วย แค่คุณแกะผ้า”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่แกะ”
“แกะแค่ของคุณก็ได้ค่ะ เอามันไปผูกไว้กับหัวเตียงก็ได้”
“ฉันไม่ได้โง่นะ ขืนทำแบบนั้นกว่าที่ฉันจะรู้สึกตัว เธอก็คงหนีข้ามชายแดนไปแล้วมั้ง”
แม้ว่าเขาจะบังคับให้เธอเซ็นสัญญาไปแล้วเมื่อตอนหัวค่ำ ทั้งยังเก็บเอกสารสำคัญของเธอเอาไว้ทุกอย่าง แต่ก็ต้องทำอะไรรอบคอบไว้ก่อน ขนาดคราวนั้นเธอทิ้งเขาไปแต่งงาน ผ่านมาตั้งสิบปีกว่าที่เขาและเธอจะโคจรมาพบกันอีกครั้งด้วยความบังเอิญ ถ้าคราวนี้เธอหนีเขาไปอีก คงแก่ใกล้ตายกว่าจะหาเธอเจอ ป่านนั้นคงไม่มีอารมณ์แก้แค้นให้เธอเจ็บปวดอย่างที่เขาเคยเจอแล้ว
“ฉันจะหนีได้ไงคะ ฉันเซ็นสัญญากับคุณไปแล้วนะ เอกสารประจำตัวของฉันก็อยู่ที่คุณ”
“ถ้าคนมันจนตรอก มันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ เธอก็เห็นนี่ว่าฉันเอาเอกสารนั่นไปไว้ที่ไหน ถ้าเธอเอามันไปด้วยฉันก็จบเห่”
เขาตั้งใจเก็บเอกสารสัญญาเอาไว้ในลิ้นชักข้างเตียงให้เธอเห็น เพราะถ้าเธอมันไว้ใจไม่ได้ เขาจะได้เพิ่มโทษเข้าไปให้เธออีก
“ตู้เซฟคุณก็มีนี่คะ เอาไปใส่ไว้ในนั้นสิ”
“มันไม่ว่าง ข้างในมีของเต็มแล้ว”
“แล้วคุณจะเอายังไงกับฉันค่ะ ถ้าฉันนอนดิ้นอีก คุณก็ต้องลงมานอนข้างล่างอีกเหรอ”
“ใช่ รู้แบบนี้ก็อย่านอนดิ้นสิ”
“จะทำได้ไงคะ”
นั่นสิ เธอจะห้ามร่างกายของตัวเองตอนที่ไร้ซึ่งจิตสำนึกแล้วได้อย่างไร ในเมื่อปกติเธอค่อนข้างจะหลับลึกและด้วยความที่นอนคนเดียวมานานทำให้เธอใช้พื้นที่เปลืองจนชิน
“ในเมื่อทำไม่ได้ ต่อให้ฉันขึ้นไปนอนข้างบน ไม่เกินสิบนาทีที่เธอหลับฉันก็ต้องลงมานอนข้างล่างอีก ไม่รู้หรือไงว่ามันเจ็บ”
“แล้วจะเอายังไงคะ ข้างล่างแคบก็แคบ แข็งก็แข็ง ว้าย...”
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบประโยค ร่างบอบบางก็ลอยหวือขึ้นโดยมีเขาช้อนอุ้มอยู่แนบอก ก่อนถูกวางลงนอนอยู่ริมฝั่งด้านหนึ่งของเตียง และเขาก็ตามลงไปนอนเบียดจนชิดเช่นเดิม
“ทำอะไรคะ คุณปุณณ์”
“ก็เธอบอกเองว่านอนข้างล่างมันแข็ง แคบด้วย ฉันเลยพาขึ้นมานอนข้างบนไง รีบ ๆ หลับตาเลย ฉันง่วง พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า ดูสิป่านนี้ยังไม่ได้นอน”
เพราะอยู่ในสถานะทาสจึงไม่อาจขัดใจเขาได้ อีกอย่างก็นึกสงสารที่เขาต้องตื่นเช้าและตรากตรำทำงานทั้งวัน ถ้าเธอมัวแต่เรื่องมากทั้งเขาและเธอคงไม่ได้หลับได้นอนจริง ๆ
“คุณก็ขยับไปหน่อยสิคะ มานอนเบียดฉันทำไม”
เขาไม่ได้สนใจเสียงร้องประท้วงของเธอ ทำเพียงขยับหมอนของตัวเองมาวางจนชิดกับหมอนของเธอแล้วตวัดผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมร่างกายของเธอและเขาเอาไว้ แถมยังดึงเธอเข้ามากอดหน้าตาเฉยทั้งที่ไม่ได้มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อนอนใกล้จนสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจากร่างกายของกันและกัน ต่อให้เธอนอนดิ้นแค่ไหนก็ไม่มีทางดึงแขนเขาจนเจ็บได้อีก
“อุ๊ย คุณปุณณ์”
คนตัวบางตกใจที่อยู่ ๆ ก็ลอยเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้วจึงร้องประท้วงและใช้มือยันหน้าอกแกร่งเอาไว้
“เงียบ ๆ เหอะน่า หนวกหู นอนหลับไป อย่าเรื่องมาก ถ้าเธอยังพูดไม่หยุดฉันจะให้เธอทำอย่างอื่น”
ร่างบางนอนตัวแข็งทื่อด้วยความเกร็ง นานมากแล้วที่ไม่ได้นอนกอดกับเขาในห้องนี้ สถานที่และกลิ่นอายเดิม ๆ มันทำเอาความทรงจำในตอนนั้นหวนกลับเข้ามาในสมองเป็นฉาก ๆ เล่นงานจนหัวใจดวงน้อยวูบไหวแกว่งไกว
สิบปีแล้วสินะ แต่ทำไมในความรู้สึกของเธอ ผู้ชายคนนี้ยังฝังอยู่ในหัวใจและความทรงจำไม่ยอมจากไปไหน ตั้งแต่เธอตัดสินใจเดินจากเขามา แม้จะมีผู้ชายมากมายเข้ามาจีบและพร้อมจะดูแล แต่เธอกลับไม่เคยรับไมตรีจากใครได้เลย เพราะเขายังคงอยู่ที่เดิม ตรงนั้น...ในหัวใจเธอ