“ส่วนเรื่องงานในบ้าน ไม่ต้องทำ ฉันมีแม่บ้านมาคอยดูแลอยู่แล้ว อีกอย่างเธอคงยังไม่เห็นว่าฉันเลี้ยงแมว”
ดวงตากลมเบิกขึ้นเล็กน้อย ตั้งแต่มาถึงที่นี่เธอก็พยายามมองหาเจ้าป๊อกกี้ แมวที่เธอกับเขาช่วยกันเลี้ยงเอาไว้ แต่มันผ่านมาเป็นสิบปีแล้วเลยไม่แน่ใจว่าแมวตัวนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าและเธอก็ไม่กล้าถามเขาด้วย
“ไม่ใช่ตัวนั้นหรอก มันตายไปนานแล้ว ฉันเลี้ยงตัวใหม่ อยู่ในห้องนอน เข้าไปดูสิ”
ดวงตากลมเบิกกว้างกว่าเดิมด้วยความตกใจ คำพูดของเขาทำให้หวนย้อนนึกถึงอดีตเมื่อสิบปีที่แล้วเมื่อครั้งที่เขาพาเธอมาเจอกับลูกแมวตัวนั้นเป็นครั้งแรก เขาก็พูดแบบนี้
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ ไว้ค่อยดูวันหลังก็ได้ แล้วฉันมีหน้าที่อะไรเกี่ยวกับแมวตัวนี้ไหมคะ”
“มีสิ ลูกสาวฉันมันเป็นเด็กไม่มีแม่ เธอต้องทำหน้าที่เป็นแม่นมให้มัน ดูแลมันทุกเรื่อง เหมือนที่ดูแลฉัน”
แม่นมหรือ คืออะไร ทำไมเขาไม่ใช้คำว่าพี่เลี้ยงกันล่ะ พูดแบบนี้มันทำให้เธอคิดไปไกลนะ
“เอ่อ ได้ค่ะ คุณเลี้ยงไว้แค่ในห้องนอนเหรอคะ”
“ไม่หรอก ปกติมันก็อยู่ข้างนอก แค่เวลาจะเข้านอนเท่านั้นถึงเอามันเข้าไปในห้อง”
“เจ้าป๊อกกี้...มันตายไปนานแล้วหรือคะ”
ดวงตาแสนเศร้าจ้องมองมายังเขา เขารู้...แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักเขาจริงอย่างที่ปากพูด แต่สำหรับเจ้าป๊อกกี้มันคงไม่ใช่แบบนั้นและเธอคงเสียใจไม่น้อยที่มันตาย
“ห้าปีแล้ว ที่จริงมันก็ซึม ๆ ไปตั้งแต่ที่เธอหายไปแล้ว ฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาให้มัน บางทีก็ต้องเอาไปฝากไว้ให้ที่บ้านเลี้ยง แต่ที่บ้านมีคนแพ้ขนสัตว์ ก็เลยเอาไปอยู่นาน ๆ ไม่ได้ มันก็คงเหงา เลยไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยบ่อย”
“แล้วเจ้าตัวนี้ไม่เหงาหรือคะ คุณทำงานแทบทุกวันเลยไม่ใช่หรือไง”
ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่มีเวลาดูแล ทำไมถึงยังหาลูกแมวมาเลี้ยงให้มันตรอมใจตายอีกนะ
“ก็คงเหงาบ้าง แต่มันไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกของการมีแม่ว่ามันเป็นแบบไหน มันเลยไม่ตรอมใจ ไม่เหมือนเจ้าป๊อกกี้”
“ฉันขอโทษค่ะ”
มือทั้งสองข้างของเธอกุมกันแน่นบนตัก เธอไม่ได้อยากให้เจ้าป๊อกกี้มันตรอมใจตาย แต่เธอเองก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมาย ไม่อย่างนั้นจะต้องเฉือนหัวใจของตัวเองทิ้งทั้งดวงแบบนี้หรือ
“มันตายไปแล้ว ขอโทษไปก็ไม่มีประโยชน์ แค่เธออย่าทำให้แมวตัวใหม่ฉันตายอีกก็พอ ไม่งั้นฉันจะเพิ่มหนี้เธอเป็นค่าเสียใจ”
“ฉันจะดูแลมันอย่างดีค่ะ ขออนุญาตเข้าไปดูมันหน่อยได้ไหมคะ”
“ก็เข้าไปสิ”
เธอค่อย ๆ เปิดประตูห้องนอนของเขา เหมือนกับเหตุการณ์เดิมมันวนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อลูกแมวตัวน้อยวิ่งสวนออกมาแล้วหยุดคลอเคลียที่เท้าของเธอ
“อุ๊ย น่ารักจังเลย เหมือนเจ้าป๊อกกี้ตอนเด็ก ๆ เลยค่ะ”
เธออุ้มเจ้าลูกแมวน้อยขี้อ้อนขึ้นมากอดแนบอก ตัวอ้วนกลมป้อม ใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตสีเทา เหมือนกับลูกของเธอกับเขาไม่มีผิด
“อืม เหมือน เหมือนมาก ขี้อ้อนเหมือนกันด้วย”
“ชื่ออะไรคะ”
“น้ำอุ่น”
คนตัวบางชะงักไปกับชื่อของเจ้าลูกแมวตัวน้อยที่มีคำขึ้นต้นเหมือนกับชื่อของเธอแทนที่จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร ป.ปลาเหมือนกับเขาและเจ้าป๊อกกี้
“น้ำอุ่นหรือคะ”
“ใช่ มีปัญหาอะไรไหม”
“ไม่มีค่ะ ชื่อเพราะดี น้ำอุ่น ว่ายังไงคะคนสวย พี่ชื่อพี่น้ำมนต์นะคะ ชื่อเรามีคำว่าน้ำเหมือนกันเลย”
คนตัวโตชะงักไปกับความจริงตรงหน้า นั่นสิ ตอนที่เขาตั้งชื่อให้เจ้าน้ำอุ่น เขาแค่ต้องการไม่ให้ชื่อของมันไปคล้องกับเจ้าป๊อกกี้ที่เธอเป็นคนตั้งให้ แต่ไหงดันกลายมาคล้องกับชื่อของเธอไปได้ล่ะ เขาไม่รู้ตัวมาก่อนเลยจริง ๆ
“ฮึ่ม พอดีช่วงนั้นที่ฉันได้เจ้าน้ำอุ่นมา ฉันเป็นหวัดบ่อย ๆ โดนบังคับให้กินแต่น้ำอุ่นทุกวัน ก็เลยเรียกมันว่าน้ำอุ่น อย่าสำคัญตัวผิด”
“ค่ะ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่คะ แล้วเจ้าน้ำอุ่นดื้อไหมคะ”
“ไม่ดื้อ แค่ซนตามประสา แล้วก็ขี้อ้อนมาก มากกว่าเจ้าป๊อกกี้ด้วยซ้ำ”
“น่ารักจังเลย ถ้าคุณไม่สะดวก ให้มานอนที่ห้องฉันก็ได้นะคะ”
“ฉันก็นอนกันสองคนพ่อลูกมาตั้งนานแล้วนะ”
“ก็เผื่อคุณพาใครมาค้างที่ห้อง มีเด็กอยู่ในห้องด้วยมันจะไม่ดีนะคะ”
เธอรู้ว่าตอนนี้เขากำลังกุ๊กกิ๊กกับใครอยู่ ข่าวออกจะดังปานนั้น และท่าทางคนนี้จะเป็นตัวจริงของเขาแน่นอน เพราะฝ่ายหญิงเป็นถึงลูกสาวของรัฐมนตรีชื่อดัง ทั้งชาติตระกูล ชื่อเสียงเงินทองและบารมีเหมาะสมกับเขาราวกิ่งทองใบหยก
แม้จะรู้สึกปวดหนึบในหัวใจแต่ก็อดยินดีไม่ได้เมื่อเขาพบคนที่เหมาะสมคู่ควรแล้ว
“ไม่ค่อยได้พาใครมาที่ห้องหรอก ยิ่งมีเธอมาอยู่ด้วยคงไม่พาใครมา ขี้เกียจอธิบาย ถ้าจะนอนกับใครฉันจะไปค้างที่อื่นแทน”
หัวใจดวงน้อยวูบโหวง มันคือความจริงที่เขาเป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของเธออีกต่อไปแล้ว แถมตอนนี้เธอยังอยู่ในชีวิตเขาในสถานะลูกหนี้ มีหน้าที่ตอบสนองคำสั่งของเขาทุกอย่าง แม้จะไม่อยากอยู่ใกล้เพื่อเห็นเขากับผู้หญิงคนไหน แต่ก็ไม่อาจหาทางไปจากเขาได้ ไม่ว่าจะเพราะหนี้สินล้นพ้นตัวที่เขาจ่ายให้ หรือเพราะว่าหัวใจของเธอยังไม่พร้อมจะเดินจากไปในตอนนี้ก็ตาม
“ให้เจ้าน้ำอุ่นมานอนกับฉันเถอะนะคะ จะได้ดูแลได้เต็มที่ แมวจะได้ไม่กวนคุณกลางดึกด้วย”
“แล้วถ้าคืนไหนฉันคิดถึงลูกของฉันล่ะ จะให้ทำยังไง ให้ไปนอนกอดแมวบนเตียงเธอเหรอ”
ใบหน้าขาวเนียนแดงซ่านซับสีเลือด แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไร แต่ภาพความทรงจำครั้งเก่าที่เธอและเขาเคยนอนกอดจูบกันบนเตียงโดยมีลูกแมวตัวน้อยนอนคั่นกลางมันยังชัดเจน
“เอ่อ อย่างนั้นเอาเป็นว่าถ้าคืนไหนคุณไม่กลับมานอนห้อง ฉันค่อยเอาเจ้าน้ำอุ่นมานอนด้วยแล้วกันนะคะ”
“ตามใจ แต่ถ้าเธอกลัวมันจะเหงามากนัก เดี๋ยวฉันหาลูกแมวมาเลี้ยงเป็นเพื่อนมันอีกตัวก็ได้ มันจะได้มีเพื่อนเล่นตอนที่เธอกับฉันไม่อยู่ห้อง”
“ค่ะ”
“งั้นแปลว่าเธอเข้าใจหน้าที่และงานของตัวเองแล้วนะ เซ็นชื่อซะสิ”
“เอ่อ ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะ สมมุติว่าคุณแต่งงานก่อนที่ฉันจะใช้หนี้คุณหมด ฉันสามารถย้ายออกไปอยู่ที่อื่นได้ใช่ไหมคะ”
“ฉันบอกตอนไหนว่าจะแต่งงาน”
“แต่คุณมีแฟน”
“แล้วฉันบอกตอนไหนว่ามีแฟน”
“ก็ฉันเห็นในข่าว”
“ชลลี่น่ะเหรอ”
“ค่ะ”
“ก็แค่ข่าว ฉันสองคนไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่มีอะไรกันเฉย ๆ อีกอย่างต่อให้วันหนึ่งฉันจะแต่งงานกับใครก็ช่าง แต่หน้าที่ทุกอย่างของเธอยังเหมือนเดิมถ้าหนี้ยังไม่หมด”
“ฉันรู้ค่ะว่าหน้าที่ฉันยังเหมือนเดิม แต่ที่ฉันขอออกไปอยู่ข้างนอกเพราะคุณกับภรรยาอาจจะไม่สะดวกใจที่มีฉันอยู่ร่วมห้อง”
ไม่ใช่เขาหรอกที่จะไม่สะดวกใจ แต่เป็นเธอต่างหากที่จะทนเห็นเขากับคนที่เขารักไม่ไหว แค่นี้หัวใจเธอก็บอบช้ำมามากเกินพอแล้ว
“ฉันไม่แคร์ ถ้ารับไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าปล่อยเธอออกไปอยู่ไกลหูไกลตาเกิดเธอหนี หนี้ฉันก็สูญพอดี”
“ถ้าคุณทะเลาะกันหรือโดนขอหย่าขึ้นมาอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะคะ”
“ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก ห่วงตัวเองเหอะ หนี้ตั้งเก้าล้าน เอาชีวิตให้รอดแล้วกัน ไม่ใช่โดนฉันใช้งานจนช็อกตายไปซะก่อนล่ะ”
“รู้แล้วค่ะ แล้วพรุ่งนี้ ฉันต้องปลุกคุณไปทำงานกี่โมงคะ”
การปลุกเขาทุกเช้าก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ซึ่งเขาระบุเอาไว้ในสัญญาอย่างชัดเจน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะสามารถตั้งนาฬิกาปลุกให้ตื่นได้ด้วยตัวเอง แต่ชีวิตหนุ่มโสดที่ร่างกายแทบจะขาดเรื่องอย่างว่าและแอลกอฮอล์ไม่ได้ก็มักจะนอนหลับเป็นตาย จนลำบากให้ผู้จัดการส่วนตัวมาลากลงจากเตียงเสมอ
“ตื่นตีสี่ครึ่งแล้วกัน พรุ่งนี้เธอก็ไปทำงานกับฉันด้วยเลย”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันมาเคาะประตูปลุกนะคะ”
“ฉันไม่ล็อกประตู เข้ามาปลุกถึงเตียงได้เลยเพราะไม่งั้นฉันจะไม่ตื่น”
แม้เมื่อสิบปีที่แล้วเธอต้องรับหน้าที่โทรปลุกเขาไปเรียนทุกเช้า แต่ใครจะคิดว่าผ่านมาเนิ่นนานเขาก็ยังคงนอนขี้เซาเหมือนเดิม
“แค่เคาะประตูก็น่าจะตื่นแล้วนะคะ”
“อย่าเรื่องมากน่า สั่งอะไรก็ทำเถอะ ฉันไม่เอาเธอมาล่ามไว้กับเตียงก็บุญแค่ไหนแล้ว อุตส่าห์เสี่ยงให้นอนคนเดียวแล้วนะ”
“แล้วทำไมคุณต้องทำอย่างนั้นด้วยคะ ฉันจะหนีคุณไปไหนได้”
“เหอะ คนอย่างเธอมันเชื่อได้ด้วยเหรอ”
“ฉันก็มีศักดิ์ศรีนะคะ ไม่เอาเงินใครฟรี ๆ หรอกค่ะ”
ดวงตากลมโตวาววับเอาเรื่องคู่นั้นมันกระตุ้นต่อมอยากเอาชนะของเขาเหลือเกิน อยากรู้นักว่าถ้าเธอถูกบังคับให้มานอนข้างเตียงของเขา เธอจะทำหน้าอย่างไร
“หรือว่าคืนนี้ ฉันจะให้เธอมานอนด้วยดีล่ะ น้ำมนต์”
“ไม่ค่ะ ฉันไม่อยากนอนกับคุณ”
คำปฏิเสธทันควัน แม้จะคนละความหมาย แต่มันก็ทำเอาคนหล่อควันออกหู คนอย่างเขามีสาว ๆ วิ่งเข้าคิวมานอนด้วยจนแทบจะเหยียบกันตาย มันน่ารังเกียจตรงไหน
“นอนกับฉันมันน่ารังเกียจนักหรือไง หรือว่าผู้หญิงอย่างเธอมันอยากไปนอนกับผู้ชายเป็นพันมากกว่านอนกับผู้ชายแค่คนเดียวกันแน่”
“คุณหมายความว่ายังไงคะคุณปุณณ์ นี่เรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่”
“หุบปาก ไม่ต้องมาเถียง ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเป็นทาสของฉัน ถ้าฉันสั่งอะไรก็ต้องทำ และคืนนี้ฉันขอสั่งให้เธอมานอนกับฉัน”
“คุณปุณณ์”