…วังหลวง…
ใกล้ค่ำแล้วฮ่องเต้ ‘จ้าวจวินข่าย’ นั้นเสร็จจากการปรึกษาราชกิจกับชินอ๋องผู้เป็นน้องชายเรียบร้อยทั้งสองต่างก็คิดว่าจะไปกินมื้อค่ำกับพระมารดาเช่นไทเฮา พอเก็บงานบนโต๊ะเรียบร้อยฮ่องเต้ก็เดินนำหน้าผู้เป็นน้องชายตรงไปยังตำหนักไทเฮา หากแต่พอมาถึงตำหนักชิวอิ๋งกลับพบว่าป่านนี้แล้วยังไร้เงาของเสด็จแม่ของพวกตน ทั้งสองต่างก็มองหน้าด้วยอาการที่เท่าทันกันอย่างที่เรียกว่าเพียงมองตาก็ทราบความใน
“เสด็จแม่หนีออกจากวัง!”
เพียงเท่านั้นความวุ่นวายก็พลันบังเกิด เหล่าองครักษ์ และทหารรักษาพระองค์ถูกเรียกรวมพลโดยด่วน จ้าวจวินข่ายนั้นไม่อาจจะไปเอาผิดเหล่าทหารและคนในวังหลวงได้ เพราะหากทำเช่นนั้นเขาคงได้ประหารกันจนหมดวังหลวงเป็นแน่เพราะไทเฮานั้นขยันแอบย่องหนีออกจากวังจนเขากับจ้าวจวินหลางปวดเศียรเวียนเกล้ากันอย่างที่สุดแล้ว แต่จะทำเช่นไรได้ด้วยเพราะไทเฮานั้นเศร้าโศกมานับจากอดีตฮ่องเต้จากไป
พวกเขาสองพี่น้องยังจดจำได้แม่นยำว่าช่วงนั้นไทเฮาถึงขนาดจะฝังตนเองไปพร้อมกับพระศพของอดีตฮ่องเต้ แม้นพวกเขาเองจะกำลังวุ่นวายกับการขึ้นครองราชย์ ซ้ำยังต้องคอยกำจัดและล้มล้างฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ยังคงคอยสลับสับเปลี่ยนกันเข้าไปดูแลพระมารดาอย่างใกล้ชิดมิอาจปล่อยให้อยู่เพียงลำพังได้ ด้วยเพราะกลัวว่าไทเฮาจะปลิดชีพตนเองตามอดีตฮ่องเต้ไป กว่าจะผ่านช่วงเวลาเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองพี่น้องก็ลำบากไม่น้อย จนผ่านมาถึงสองปีให้หลังนี้ที่ไทเฮาทรงดื้อและทรงมักโปรดลอบหนีออกจากวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง
ทว่าพระองค์นั้นก็มีเพียงหากไม่ไปสุสานหลวงก็ไปยังอารามต่าง ๆ เพราะมักจะไปรำลึกถึงความหลังระหว่างทั้งสองที่พบรักกันในเทศกาลลอยโคมไฟยังอารามแห่งหนึ่งในเป่ยหนิง บ้านเดิมของไทเฮา ซึ่งคราวนี้ที่สุสานหลวงไม่พบก็คงเป็นอารามใดสักแห่งในโยวโจวนี้เป็นแน่ แต่ในเมืองหลวงนี้พระอารามมีนับสิบก็มิอาจทราบได้ว่าทรงแอบหนีไปยังอารามใดกันแน่ คงมีเพียงกองสอดแนมอิงซื่อของฮ่องเต้เท่านั้นที่จะทราบได้ว่องไวที่สุด
“พบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนึ่งในคนของ ‘อิงซื่อ’ เร่งรุดมาคุกเข่ารายงานว่าบัดนี้ไทเฮานั้นทรงหลบลี้แอบหนีไปยังอารามไห่เหมี่ยวแล้วยังเกิดเรื่องใหญ่อีกด้วย แต่บัดนี้อาศัยอยู่บนอารามของเหล่าซือไท่ ทว่าขันทีติดตามพระองค์มิอาจรอดชีวิตทำเอาจ้าวจวินข่ายและจ้าวจวินหลางนั้นยิ่งเป็นกังวลหนักกว่าเดิม ด้วยเพราะอารามไห่เหมี่ยวนั้นอยู่ห่างไกลมากทีเดียว
“ไห่เหมี่ยวเชียวหรือ ครานี้เสด็จแม่ไปไกลทีเดียว ฝ่าบาททรงพักผ่อนเถิด กระหม่อมจะไปรับพระนางกลับมาเอง”
จ้าวจวินหลางกล่าวแก่ฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชายเพียงเท่านั้นก็เรียกกองทหารม้าที่ตนเองควบคุมอยู่เพื่อตรงไปยังอารามไห่เหมี่ยวทันที ถึงจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดแต่พอนึกไปถึงในสมัยที่พวกเขายังเป็นเด็กเล่นซุกซนแอบลักลอบหนีไปท่องเที่ยวจนพระบิดาพระมารดาร้อนใจ สองพี่น้องผู้สูงศักดิ์ก็มิอาจโกรธเคืองพระมารดาได้ลง เพราะอดีตพระนางก็เหน็ดเหนื่อยกับพวกเขามาไม่น้อยนั่นเอง
“เช่นนั้นเจ้าก็จัดการให้เรียบร้อย คนใดต้องให้รางวัล คนใดต้องลงโทษ”
จ้าวจวินข่ายเอ่ยสั่งความแก่น้องชายไปอย่างจัดเจนเ พราะคนของอิงซื่อรายงานได้ละเอียดลอออย่างยิ่ง ความโกรธย่อมมากแต่เขาเป็นถึงฮ่องเต้เหตุผลย่อมมี เข้าใจว่าพระมารดาของเขานั้นคงจะปลอมตัวไป แต่ปลอมอย่างไรด้วยเครื่องประดับบางชิ้นกับสง่าราศีก็มิอาจปิดบังไม่ได้อยู่ดี
“ฝ่าบาททรงคาดว่ายังจะเหลืออันใดให้กระหม่อมไปให้โทษอีก คนเช่นไทเฮาหลิวรุ่ยเซียงมิใช่สตรีธรรมดานะกระหม่อม”
จ้าวจวินข่ายถึงกับหัวเราะหึ ๆ ออกมาเลยทีเดียวเพราะทราบดีว่ามารดาของตนเองเป็นคนเช่นไร กว่าจะมาเป็น ‘ที่หนึ่ง’ ของวังหลัง หากอำมหิตไม่พอย่อมยากจะขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งฮองเฮาจนมาเป็นไทเฮาไปได้
ทางด้านสองพี่น้องที่ต่างก็ช่วยกันอาบน้ำ ขัดถูเนื้อตัว และสระผมเพื่อชำระล้างกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกไปจนหมดแล้ว ก็เร่งเข้าไปแต่งกายจากนั้นก็ช่วยกันเช็ดเส้นผมให้กันและกันจนแห้งสนิทดี
“เดี๋ยวพี่ไปดูมันเผาก่อนนะว่ากินได้หรือยัง”
หวังลี่จูลุกขึ้นไปดูเตาเผาที่มีเอาไว้ภายในห้องนอนทุกห้องพักบนหุบเขาแห่งนี้ เพราะอากาศบนเขาไห่เหมี่ยวแห่งนี้นั้นหนาวตลอดทั้งปี จะฤดูใดหนาว ใบไม้ร่วง ใบไม้ผลิ ไปจนถึงฤดูฝนล้วนมีอากาศหนาวเย็นจนต้องมีเตาเผาเอาไว้ภายในห้องนอน ซึ่งชาวยุคโบราณนี้เขาฉลาดไม่เบามีการต่อปล่องควันให้ออกไปด้านนอก
เช่นเดียวกับน้ำสำหรับใช้สอยก็มีลำไม้ไผ่ต่อทอดยาวมาจากแหล่งน้ำตกอีกที ส่วนน้ำดื่มจะใช้การต้มคาดว่าพวกเขาคงต้องการฆ่าเชื้อต่าง ๆ ไปในตัวนั่นเอง บนภูเขาการขุดเจาะบ่อน้ำใช้กินดื่มมันมิใช่ง่ายดายเช่นที่พื้นราบยังด้านล่าง ก่อนออกไปอาบน้ำสองพี่น้องก็ได้นำมันเทศที่ได้มาจากไร่ที่พวกนางนั้นได้นำเอา ‘ปุ๋ย’ ธรรมชาติไปขายให้มาซุกเอาไว้ในขี้เถ้าเผาเอาไว้ก่อน เพราะมื้อค่ำจะไม่มีอาหารอันใดเหลือเอาไว้ให้กินแล้ว ด้วยหลวงจีนกับแม่ชีนั้นฉันอาหารเพียงสองมื้อเท่านั้น ในยามค่ำพวกนางสองพี่น้องต้องหาของกินขึ้นมาเอง
…ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…
สองพี่กำลังเตรียมจะกินมันเผาร่วมกันกลับมีเสียงเคาะประตูก็ให้แปลกใจว่าค่ำแล้วเหตุใดยังมีแม่ชีมาเคาะห้องนอนของพวกตนอีก ด้วยปกตินั้นตกค่ำเหล่าแม่ชีกับหลวงจีนล้วนไปเข้าหอพระสวดมนต์กันหมดแล้วแต่เหตุใดค่ำคืนนี้กลับมีคนมาเคาะเรือนนอนของพวกนางทั้งสองคนพี่น้องเช่นนี้ได้
“ขออภัยนะเจ้าคะ นั่นคือผู้ใดกัน?”
อยู่กันเพียงสองคนพี่น้อง ต่อให้เป็นอารามของหลวงจีนและแม่ชี แต่ผู้ใดจะทราบว่าอาจมีคนร้ายคนชั่วแอบแฝงกายเข้ามาคิดร้ายกับพวกนางเอาได้กันเล่า?
“เป็นข้าเอง ลู่ชิว” เสียงอันคุ้นเคยของแม่ชีซึ่งยังเป็นเด็กหญิงที่คอยรับใช้ท่านหัวหน้าแม่ชีดังขึ้น หวังลี่เจินจึงเป็นคนไปเปิดประตูเรือนหลังขนาดเล็กซึ่งสามารถเป็นเพียงห้องนอนกับมีโต๊ะกลางห้องเอาไว้วางกาน้ำกับถ้วยใส่น้ำเท่านั้นส่วนที่มุมห้องมีตู้สำหรับเก็บเสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงคนละสามชุดที่สองพี่น้องสลับกันใช้เพียงเท่านี้ กับอีกส่วนก็คงจะเป็นเตาเผาที่เอาไว้สุมฟืนสำหรับขับไล่ความเหน็บหนาวในยามค่ำคืน ด้วยอารามบนภูเขาเช่นนี้ขนาดเสื้อผ้ายังต้องไปเอาผ้าดิบห่อศพมาซักให้สะอาดแล้วตัดเย็บเอาไว้สวมใส่ ดังนั้นคิดว่าผ้าห่มนั้นจะทำมาจากผ้าอันใดได้อีกหากมิใช่ผ้าห่อศพที่นำมาซักทำความสะอาดแล้วนำมาเย็บทบต่อกันจนเป็นผืนให้พอห่มกันลมหนาวแต่ย่อมยากที่จะอบอุ่น
“ท่านหัวหน้าแม่ชีเหยียนได้ให้เหล่าฮูหยินจ้าวมาอาศัยพักในห้องของเจ้าด้วย เพราะภายในห้องของข้าและเมี่ยวอินให้พี่สาวกับท่านป้านอนได้เพียงสามคนเท่านั้น”
ลู่ชิวแม่ชีน้อยวัยเดียวกับหวังลี่เจินกล่าวอธิบายแก่สองพี่น้องแซ่หวัง ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าทั้งสองคนยากจะปฏิเสธไปได้ เพราะห้องของลู่ชิวกับเมี่ยวอินต้องนอนกันถึงห้าคน แต่ภายในห้องของทั้งสองพี่น้องมีเหล่าฮูหยินผู้นี้มาอาศัยเพิ่มเพียงคนเดียวสองพี่น้องคงไม่ใจดำอำมหิตได้ถึงเพียงนั้น
“เชิญเหล่าฮูหยินจ้าวเข้ามาด้านในสิลี่เจิน” หวังลี่จูหันไปเอ่ยปากกับน้องสาวแล้วยิ้มอ่อนหวานส่งไปให้ลู่ชิวกับผู้เป็น ‘เหล่าฮูหยินจ้าว’ จากนั้นก็หันไปจัดการใช้ไม้ฟืนขุดคุ้ยดูหัวมันว่าระอุพอจะกินได้หรือยัง จากนั้นก็ค่อย ๆ ใช้ไม้แหลมแทงออกมาทีละหัว นับจนครบทั้งหมดสิบหัวจึงยกถาดที่บรรจุมันเผาส่งกลิ่นหอมกรุ่นลอยมาให้ท้องของหนึ่งเด็กสาวกับหนึ่งเหล่าฮูหยินสูงวัยพากันร้องครวญครางขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“เหล่าฮูหยินจ้าวเชิญนั่งเจ้าค่ะพวกเราไม่มีอาหารอื่นใดบนอารามแห่งนี้หลังพ้นต้นยามอู่เจ้าค่ะ พวกเราสองพี่น้องจึงมีเพียงมันเทศเผา เมื่อช่วงบ่ายก่อนขึ้นเขาท่านลุงกับท่านป้าฉวนที่ปลูกผักอยู่เชิงเขาแบ่งให้มาสิบหัวเจ้าค่ะ”
หญิงสาวยกถาดมันเผาไปวางบนโต๊ะกลางห้องโดยที่หวังลี่เจินนั้นนำเอากาใส่น้ำเปล่าไปต้มให้เดือดตามที่พี่สาวเคยสอนก่อนจะนำมาดื่ม หลิวรุ่ยเซียงเองก็หิวมากแล้วเช่นกัน นี่มันก็ดึกแล้วทว่านางยังไม่ได้กินสิ่งใดมากไปกว่าน้ำชาอุ่นเลย ดังนั้นพอได้กลิ่นหอมกรุ่นของหัวมันเผาก็ท้องร้องน้ำลายในปากแตกเต็มปากเลยทีเดียว
“พวกเรายังเป็นเด็กตัวเล็กท้องก็เล็ก แบ่งกันคนละสามหัวก็พอเจ้าค่ะ สี่หัวนี้ให้เหล่าฮูหยินจ้าวหมดเลย”
เป็นหวังลี่จูที่จัดแจงแบ่งหัวมันเผาอย่างลงตัว แต่มองแล้ว ‘ท่านป้าจ้าว’ จะแกะมันเผากินไม่เป็น หวังลี่จูจึงต้องปอกให้แก่หญิงชราก่อน จากนั้นก็หันมาปอกเปลือกมันเผาอีกส่วนส่งให้แก่หวังลี่เจิน แล้วจึงค่อยปอกให้แก่ตนเอง
“เหล่าฮูหยินไม่เคยกินมันเผาหรือเจ้าคะ?” เป็นหวังลี่เจินที่หันไปถามหญิงชราที่ทำท่าทางเก้งก้างดูแล้วเหมือนคนไม่เคยลำบากลำบน ขนาดจับมันเผาก็ยังจับไม่เป็นเอาเสียเลย
“อย่าเรียกเหล่าฮูหยินเลยเรียกข้าว่าท่านป้าหลิวก็ได้ เอ่อแต่ก็จริงของเจ้านั่นแหละแม่หนูน้อย ข้ายังไม่เคยกินมันเผามาก่อนเลย” ก็อดีตนางเป็นถึง ‘ท่านหญิงหลิว’ พออายุสิบสามก็ถูกส่งเข้าวัง อายุสิบหกฮ่องเต้ก็เลือกนางเป็นหลิวกุ้ยเฟย พออายุเข้าสามสิบคลอดองค์ชายห้าก็ได้เป็นฮองเฮาในวัยสามสิบเอ็ดปี ชีวิตของพระนางตลอดมาไม่เคยลำบาก อาหารชาวบ้านเช่นมันเผาเพียงเห็นก็ยังไม่เคยแล้วจะรู้วิธีกินได้อย่างใดกันเล่า? ...
“กินเช่นนี้เจ้าค่ะ” เป็นเด็กสาวเช่นหวังลี่เจินนั้นที่สอนวิธีกินมันเผาให้แก่สตรีสูงวัยตรงหน้าอย่างคล่องแคล่ว ฝ่ายหวังลี่จูนั้นทำเพียงคอยปอกเปลือกมันเผาไปอย่างเงียบ ๆ หนักเข้านางก็กินเพียงแค่สองหัวขนาดกลางปล่อยให้น้องสาวกินไปคนเดียวถึงสี่หัวขนาดใหญ่
“อืม…อร่อยจริงด้วย ทั้งหวานทั้งหอมเลย” หลิวรุ่ยเซียงที่ในชีวิตเกิดมาเพิ่งเคยกินหัวมันเผาเป็นครั้งแรกในวัยเฉียดใกล้หกสิบปีถึงกับพึมพำชื่นชมรสชาติของ ‘มันเผา’ ที่เป็นเพียงของกินพื้นบ้านธรรมดา ๆ ทว่ารสชาติกลับเลิศรสถึงเพียงนี้ ตลอดชีวิตนางไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมาอาศัยมันเพื่อทำให้ท้องอิ่มเช่นนี้มาก่อน
“มันก็รสชาติปกตินั่นแหละเจ้าค่ะท่านป้าหลิว แต่ในยามที่เรากินด้วยความ ‘หิว’ กับกินด้วยความ ‘อยาก’ รสชาติของอาหารย่อมต่างกัน” กล่าวจบแล้วหวังลี่จูนั้นก็จัดการเก็บเอาเปลือกมันเผาไปเททิ้งลงในบ่อขยะเพื่อรอนำไปผสมทำปุ๋ยหมักสำหรับบำรุงผักในสวนของอารามไห่เหมี่ยวแห่งนี้ต่อไป นางจัดการล้างมือจนสะอาด ดื่มน้ำแล้วเสร็จจึงนำเอารากไม้ที่ทับจนเป็นฝอยแต้มเกลือแล้วไปขัดถูฟันก่อนเข้านอน
และแน่นอนว่าหวังลี่เจินก็ถูกพี่สาวจัดการบีบบังคับให้ออกไปทำเช่นเดียวกับตนเอง ไทเฮาเองก็เพิ่งเคยเห็นสตรีสาวชาวบ้านป่าที่รู้จักการทำความสะอาดช่องปากเช่นสตรีในวังหลวงเช่นนี้
“ท่านป้าหลิวนอนด้านบนเตียงเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเราสองพี่น้องจะนำผ้ามาปูนอนที่พื้นเอง”
เพราะ ‘ท่านป้าหลิว’ เป็นสตรีสูงวัยแล้วผิวพรรณกับกิริยาดูอย่างไรให้นอนบนเตียงของพวกนางสองพี่น้องยังคงจะลำบากเลย ด้วยอายุของท่านก็มากแล้วครั้นจะให้ท่านนอนลงกับพื้นเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีเสียเท่าไร อีกทั้งจะให้พวกนางที่ยังเป็นเด็กซ้ำยังอ่อนวัยกว่ามากขึ้นไปนอนอยู่สูงกว่าผู้ใหญ่เช่นนี้ก็เห็นจะไม่สมควรเช่นกัน กับสองท่านแก่ชรามากแล้วพื้นทั้งเย็นทั้งแข็งยิ่งไม่สมควร หวังลี่จูจึงยกเตียงกับที่นอนให้หญิงชราได้นอนอุ่นไปย่อมดีกว่า
“พวกเจ้ามาอาศัยอารามไห่เหมี่ยวนี่กันนานแล้วหรือ?” พอทรุดกายลงนอนหลิวรุ่ยเซียงรู้สึกสนใจเด็กน้อย หรืออันที่จริงแล้วพวกนางก็กำลังเติบโตเป็นสาว คนหนึ่งดูว่าจะเป็นสาวเต็มกายแล้ว ส่วนอีกคนที่เป็นน้องนั้นเค้าความงามก็แจ่มชัดไม่แตกต่างจากคนเป็นพี่สาวเลย
“ร่วมสี่ปีมาแล้วเจ้าค่ะ นับจากเกิดโรคระบาดใหญ่ในคราวนั้น ท่านพ่อและท่านแม่ของพวกข้าก็ล้วนหนีโรคร้ายเหล่านั้นไม่พ้นตายจนสิ้น ในคราวนั้นพวกเราก็ได้รับความเมตตาจากท่านแม่ชีเหยียนให้พักอาศัยเสียที่อารามแห่งนี้ เพราะกลับไปบ้านกับที่นาก็ถูกเจ้าหนี้ยึดไปจนหมดแล้วเจ้าค่ะ”
หวังลี่จูกล่าวไปตามความจริงมิได้คาดหวังให้ ‘ท่านป้าหลิว’ หรือผู้ใดมาเห็นใจ นางก็เพียงถูกสอบถามมาจึงตอบไปก็เท่านั้น ชีวิตของนางมิได้น่าสังเวชหรือสงสารที่สุดในแผ่นดินเพราะอย่างน้อยพวกนางก็มีที่อยู่ที่กิน มีมือมีเท้าครบถ้วนมิได้พิกลพิการ ยังออกไปรับจ้างทำมาหาเลี้ยงชีพตนเองได้อย่างดี นางและน้องสาวจึงไม่เคยน้อยอกน้อยใจต่อโชคชะตาของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าไม่มีญาติที่ใดอีกหรือ?” คนเราอย่างน้อยมันก็ต้องมีญาติกันบ้างไม่มีฝ่ายบิดาก็ต้องมีฝ่ายมารดากันบ้างสิเป็นหญิงมาอาศัยพระอารามอนาคตจะมีชีวิตแต่งงานที่ดีไปได้อย่างไร
“ถึงมีพวกเขาก็ยากจนเช่นกัน พวกเรามีท่านอาซึ่งเป็นน้องชายของท่านพ่อก็จริง แต่พอสิ้นท่านพ่อและท่านแม่เขากลับจะจับเราสองพี่น้องไปขายยังหอนางโลมแลกกับข้าวสาลีหกกระสอบ มีญาติเช่นนี้พวกเราพึงใจไม่มีย่อมดีกว่าเจ้าค่ะท่านป้าหลิว”
หวังลี่เจินนั้นยังเด็กยิ่งนัก คิดเช่นไรรู้สึกแบบไหนนางย่อมพูดออกมาจนหมดผิดกับพี่สาวที่ก่อนจะพูดมักคิดแล้วคิดอีก หนึ่งเพราะนางมาจากต่างภพกับสองนิสัยส่วนตัวของนางก็เป็นคนที่ชอบทำจริงมากกว่าพูดอยู่แล้ว ที่หลิวรุ่ยเซียงได้ฟังเรื่องราวของสองพี่น้องแซ่หวังจึงหลุดออกมาจากปากของเด็กสาวคนน้องมากกว่า
นับว่าเด็กสาวสองนางนี้ทำนางพึงใจไม่น้อย คนพี่นั้นนางถูกใจมากทีเดียว ฉลาดเฉลียวจนนางคิดไปถึงบุตรชายคนเล็กแล้วเทียบเคียงกับใบหน้าเรียบนิ่ง แต่นิสัย ‘เอาจริง’ ของหวังลี่จูกับความสู้ชีวิตที่เด็กสาวมี มิใช่เพียงที่แลเห็นและรับฟังเรื่องราวที่หวังลี่เจินเล่าปาว ๆ ทว่านางฟังทุกสิ่งมาจากสหายสนิทเช่นท่านแม่ชีเหยียนที่อีกฝ่ายอดีตก็เคยเกือบจะได้เข้าวังเช่นเดียวกับนาง แต่เหยียนชิงเหนี่ยวไม่ชอบทางโลก หากแต่นางนั้นชอบทางธรรมมานับตั้งแต่จำความได้
ดังนั้นระหว่างถูกบิดาส่งเข้าวังหลวงเหยียนชิงเหนี่ยวจึงแอบลักลอบหนีขึ้นเขาไห่เหมี่ยวบวชเป็นแม่ชีมาร่วมสามสิบปีเห็นจะได้เช่นทุกวันนี้ นางเองยังจำได้ว่าท่านแม่ทัพเหยียนโกรธเคืองบุตรสาวอย่างยิ่ง แต่จะขึ้นเขามาสึกนางชีก็กระไรอยู่จึงจำใจต้องปล่อยเลยตามเลยมาจนถึงวันนี้
“แล้วเจ้าสองพี่น้องคิดจะอยู่บนเขาเช่นนี้ไปชั่วชีวิตเลยหรือ?” ลองสอบถามเปิดทางดูก่อน เพราะหากสองพี่น้องแซ่หวังคิดจะเจริญรอยตามเหยียนซือไท่นางคงเสียใจด้วยแย่
“ไม่หรอกเจ้าค่ะท่านป้าหลิว” ก็ยังเป็นเจ้าตัวเล็กคนน้องที่ยังพูดจ้อ ๆ ไม่หยุด ส่วนหวังลี่จูก็ปล่อยให้เจ้าตัวแสบนั้น ‘โม้’ กับท่านป้าหลิวไปจนกว่าอีกครู่ด้วยทราบดีว่าหวังลี่เจินสามารถพูดได้จนกว่าจะหลับนั่นแหละ ซึ่งก็จริงเสียด้วยผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อดีด้วยซ้ำถามอันใดหวังลี่เจินก็ตอบอืออาบอกได้ว่าบัดนี้สาวน้อยนั้นได้หลับสนิทไปในท้ายที่สุดเรียบร้อยแล้วนั่นเอง...