อาณาจักรโยวโจวรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งเพาะปลูกอาหาร ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมไปจนถึงข้าวสาลี ผักนานาชนิดกับผลไม้มากมายล้วนมีรสชาติดีกว่าอาณาจักรใกล้ชิดติดกัน เรียกได้ว่าโยวโจวเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของชนชาติต่างเผ่าพันธุ์และต่างดินแดน ซึ่งนอกจากดินดีที่เป็นสวรรค์ประทานให้แก่ชาวโยวโจวแล้ว กองกำลังทหารของดินแดนนี้ก็ยังกล้าแกร่งมากอีกด้วย จนดินแดนข้างเคียงไม่กล้าหาญชาญชัยมารุกรานโยวโจวทั้งสิ้น
เพราะมีทั้งกองสอดแนมที่การข่าวแม่นยำ ไหนจะยังมีแนวหน้านักรบเดนตายไปจนถึงทหารม้าที่กล้าเผชิญศึกปกป้องชายแดนอย่างไม่กลัวตาย หรือห่วงชีวิตจนได้สมญานามทหารม้าปีศาจทมิฬแห่งค่ายเป่ยหนิง ดังนั้นหลายร้อยปีมาแล้วที่ไม่เคยบังเกิดศึกใหญ่ให้ชาวประชานั้นต้องเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้าเช่นดินแดนใกล้ชิดติดกัน การค้าขายรุ่งเรืองการปกครองย่อมรุ่งโรจน์ แผ่นดินโยวโจวปกครองโดยสกุลจ้าวยาวนานมาเกินพันปี แล้วในรุ่นของจักรพรรดิลำดับที่สามร้อยเก้าสิบเก้านี้ก็ปกครองโดย ‘จ้าวจวินข่าย’ และมีชินอ๋องซึ่งเป็นน้องชายแท้ ๆ ร่วมบิดามารดาเดียวกันนามว่า ‘จ้าวจวินหลาง’ ช่วยปกครองแคว้นหัวเมืองสำคัญอันยิ่งใหญ่ที่เป็นรองก็แค่เพียงเมืองหลวงเช่นแคว้น ‘เป่ยหนิง’ ซึ่งนับจากอดีตฮ่องเต้จากไปได้สามฤดูหนาว ไทเฮา ‘หลิวรุ่ยเซียง’ ก็เศร้าโศกไม่หายจึงมักขึ้นเขาไปไหว้พระสวดมนต์ถือศีลกินผักอยู่บ่อยครั้งดังเช่นในวันนี้องค์ไทเฮาแห่งโยวโจวก็แต่งกายด้วยอาภรณ์เรียบง่าย
ทว่าถึงจะเรียบง่ายเพียงใด แต่เนื้ออาภรณ์นั้นก็เป็นผ้าไหมอย่างดี กำไลและแหวนหยกเนื้อดีที่สวมพร้อมด้วยสร้อยคอไข่มุกสีชมพูสวยก็ช่างล่อตาลวงใจเหล่าขโมยร้ายที่มักจะมาคอยแอบซุ่มซ่อนตัวเพื่อในวันใดวันหนึ่งสบโอกาสเหมาะที่จะพบเข้ากับเหล่าบรรดาฮูหยินฐานะดีให้พวกมันทั้งสองคนได้แอบไปดัก ‘ปล้นทรัพย์’ ระหว่างทางลงเขาอย่างเช่นที่พวกมันทำมาแล้วแทบจะทั่วทุกวัดทุกอารามใหญ่น้อยทั้งมหานครโยวโจว ด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ทำให้พวกมันเลือกที่จะเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ๆ แต่วันนี้ ‘เหยื่อ’ ของมันดู ‘คุ่มค่า’ ให้พวกมันลงมือแล้วย้ายหนีไปหากินยังถิ่นอื่นบ้างจวบจนเรื่องราวเงียบมันค่อยกลับมาหากิน ‘ในถิ่นเก่า’ อีกครั้ง พวกมันทำมานับห้าสิบดคีแล้วแต่ทางการก็คว้าได้เพียง ‘ลม’ เท่านั้นหึ!
“เจ้าเลือกนางแน่หรืออาว่อง”
เจ้าคนที่ติดฝ**นจนกายผ่ายผอมหันไปสอบถาม ‘สหาย’ ร่วมอาชีพ ซึ่งเจ้าของนามว่า ‘ว่อง’ ก็เพียงพยักหน้าจากนั้นก็คอยเฝ้าสังเกตการณ์ขบวนสตรีสามคนกับบุรุษอีกสองคนไปอย่างระมัดระวัง ซึ่งคงเป็นความจริงแล้วหากฮ่องเต้จ้าวจวินข่ายและชินอ๋องจ้าวจวินหลางนั้นไม่ทราบการหลบหนีของไทเฮาขึ้นมายังอารามไห่เหมี่ยวแห่งนี้ หาไม่เพียงโจรกระจอกเพียงสองคนย่อมไม่พ้นฝีมือและสายตาของเหล่าองครักษ์ทั้งหลายเป็นแน่!
ทว่าช่างโชคร้ายอย่างยิ่งไทเฮามีเพียงนางกำนัลใกล้ชิดกับขันทีซึ่งมีวรยุทธ์เพียงขั้นพื้นฐานเพียงเท่านั้นจึงกลายเป็น ‘เหยื่อ’ เนื้อหวานให้แก้เจ้าคอฝ**นทั้งสองทันที...
อีกด้านของยอดเขาไห่เหมี่ยวนั้น บัดนี้หญิงสาววัยสิบแปดปีนาม ‘หวังลี่จู’ และเด็กสาววัยสิบสามปีนามว่า ‘หวังลี่เจิน’ สองพี่น้องกำพร้าที่บิดากับมารดานั้นป่วยตายจากโรคระบาดไปนับได้สี่ปีกว่าแล้ว เด็กสาวกับหญิงสาวสองพี่น้องแซ่หวังจึงได้อาศัยอารามไห่เหมี่ยวอยู่ร่วมกับซือไท่ที่อยู่แยกออกมาจากไต้ซือทั้งหลายที่อยู่อีกฝากหนึ่งของภูเขา
วันนี้สองพี่น้องได้ไปรับจ้างขุดลอกส้วมซึมในยุคโบราณแห่งนี้ จากนั้นก็นำเอาอุจจาระหรือของเสียของจวนคนร่ำรวยเหล่านั้นมาขายให้แก่สวนผักในบริเวณเชิงเขา สองพี่น้องเหน็ดเหนื่อยจนถึงปลายยามเว่ยจึงเสร็จสิ้น วันนี้ได้เงินมาหลายสิบอีแปะ นับเสร็จแล้วต่างก็ยิ้มแย้มให้แก่กันทั้งที่เนื้อตัวนั้นเหม็นกลิ้นอุจจาระคลุ้งไปหมด อย่างน้อยพวกนางสองพี่น้องก็มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว
“สักวันพวกเราจะต้องมีเงินมากพอซื้อที่ดินสักสองหมู่ ปลูกกระท่อมสักหลัง และเหลือที่ดินเอาไว้เลี้ยงสัตว์และปลูกผักหาเลี้ยงชีพกันโดยไม่ต้องอาศัยอารามเป็นที่ซุกหัวนอน ไม่ต้องกินเพียงแต่ผักที่เหลือในอารามไห่เหมี่ยวเช่นนี้แล้ว!”
หวังลี่จูผู้เป็นพี่สาวซึ่งเด็กสาวผู้เป็นน้องสาวเช่นหวังลี่เจินนั้นไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าในร่างกายนี้หาใช่พี่สาวของนางมาถึงสี่ปีแล้ว ด้วยการป่วยคราวนั้นที่รอดพ้นจากโรคระบาดคงมีเพียงหวังลี่เจินเด็กหญิงวัยสิบขวบปีผู้เดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตนอกจากนั้นทั้งบิดา มารดา รวมไปถึงหวังลี่จูในวัยสิบสี่ปีล้วนตายจากไปทั้งหมดเหลือเพียงเด็กหญิงวัยสิบขวบปีเพียงเท่านั้น
ส่วนที่มาอยู่ในร่างของเด็กสาวหวังลี่จูคือ ‘นางสาวดาวพันแสง วลารี’ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่สี่ในวัยเพียงสิบหกปีที่กำลังข้ามถนนไปซื้อชานมไข่มุกดับความร้อนกลางเดือนเมษายนจนไขมันแทบละลาย ซึ่งแน่นอนหญิงสาวรอจนสัญญาณไฟคนเดินของทางม้าลายเป็นสีเขียวได้สามวินาที เพราะเธอกลัวจะเป็นเคสข่าวดังเกี่ยวกับทางม้าลาย แต่เดินก้าวเท้าออกไปได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำสิ่งที่ดาวพันแสงกลัวก็บังเกิดโครมเดียว แล้วโลกทั้งใบของหญิงสาวก็ค่อย ๆ มืดลงอย่างรวดเร็วมารู้สึกตัวอีกครั้งก็พบใบหน้าของเด็กหญิงตัวมอมแมม เสื้อผ้าอาภรณ์เก่าจนแทบไร้พื้นที่ที่จะปะชุนได้อีกแล้วนั่งยิ้มอวดฟันขาวสะอาด แล้วคำเรียกที่เธอถูกทักทายก็คือ ‘พี่สาวท่านฟื้นแล้ว’ เกิดมาจนอายุสิบเจ็ดปีดาวพันแสงมีเพียงมารดากับพี่ชายสองคนเธอเป็นน้องสาวคนสุดท้อง ดังนั้นกว่าหญิงสาวจะทำใจและยอมรับได้ในที่สุดว่าตนเองเป็นอีกคนที่ตกเป็นเหยื่อของเหล่านักซิ่งที่ไม่สนใจสัญญาณไฟเขียวของทางม้าลายอีกรายหนึ่งแล้วก็ผ่านมาถึงสามวันเลยทีเดียว
แต่เด็กหญิงหวังลี่เจินผู้ใสซื่อกลับคิดว่าอาการป่วยของพี่สาวยังไม่หายดีจึงดูแปลกไปราวคนเสียสติ ยังโชคดีที่ซือไท่กับไต้ซือนั้นช่วยเหลือนำยาให้นางสองพี่น้องได้ดื่มกิน เจ้าโรคระบาดซึ่งความจริงมันก็เพียงโรค ‘อหิวาตกโรค’ ที่ไม่ได้น่ากลัวเช่นเจ้า ‘เชื้อไวรัสโคโรนา2019’ ที่ระบาดไปทั่วโลกซึ่งทำคนตายไปไม่น้อยนั่นหรอก
แต่ก็อย่างว่านี่มันยุคโบราณในดินแดนที่คล้ายจีนโบราณถึงแปดส่วน อดีตหญิงสาวไม่เคยเชื่อไอ้เรื่องมิติทับซ้อนหรือต่างโลกอะไรพวกนั้นจนถึงขนาดเรื่องผีสางเทวดา เด็กยุคใหม่ที่สตรีมเกมมิ่งเป็นงานหลักเรียนเป็นอาชีพรองเช่นเธอไม่มีทางเชื่อถือเด็ดขาด หากแต่สี่ปีผ่านมาในแผ่นดินโยวโจวแห่งนี้ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อแล้วว่าต่างโลก ต่างมิติ และต่างภพมีจริง ย่อมยากจะมีหมอที่เก่งกาจมารักษาโรคระบาดดังกล่าวไปได้ คนจึงล้มตายไปไม่น้อยเลยทีเดียวโดยเฉพาะคนยากจน
“พี่สาวของลี่เจินเก่งที่สุดอยู่แล้ว...” หวังลี่เจินยิ้มอวดฟันสวยกับแก้มลักยิ้มบุ๋มแสนน่ารักน่าเอ็นดูจนหวังลี่จูจะอดเอื้อมมือไปจับศีรษะโยกเล่นอย่างมีความสุขเสียไม่ได้ ถึงจะเหนื่อยยากต้องลำบากขนาดไปตักอุจจาระจากบ่อส้วมต้องหาบถังใส่ของเน่าเสีย หรือหากมีงานใดจ้างพวกนางพี่น้องไม่เคยท้อถอยล้วนพุ่งชนทุกงานลำบากเพื่อแลกเงิน
แต่งานสบายเช่นร่ายรำหรือขายเรือนร่างสองพี่ต้องแซ่หวังต่างคิดตรงกันว่าชาตินี้จะไม่มีวันยอมเลือกทางเดินดังกล่าวเด็ดขาด สี่ปีผ่านไปเงินของพวกนางก็มีร่วมเจ็ดสิบตำลึงแล้ว ทว่าถึงจะยังอีกยาวไกลแต่ในความหวังพวกนางเชื่อว่าสักวันพวกนางจะมีที่ดิน มีบ้านหลังน้อย ได้อยู่ร่วมกันตามประสาพี่น้องอย่างมีความสุข ส่วนเรื่องแต่งงานมีสามีพวกนางเป็นกำพร้าและยากจนคงยากจะมีสกุลใดอยากแต่งนางเข้าไปเป็นสะใภ้เอกเป็นแน่ อย่างดีเต็มที่ก็ถูกแต่งงานไปเป็นอนุภรรยาเพื่อระบายราคะให้พวกบุรุษมากตัณหาที่ต้องการมีอนุภรรยาเป็นดอกไม้ประดับภายในจวนของพวกเหล่าคนรวยเท่านั้น
ดังนั้น พวกนางจึงคิดเพียงแค่มีที่ดินเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูปลูกผักปลูกสมุนไพรค้าขายเล็กน้อยเลี้ยงชีพกันไปย่อมมีความสุขมากกว่าจะไปเป็นอนุภรรยาหลายพันหลายหมื่นเท่ายิ่งนัก สองพี่น้องแซ่หวังเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับหาบถังใส่ของเสียที่ถึงจะล้างจนสะอาดแต่กลิ่นย่อมยังอยู่ ด้วยนี่ต้นยามเว่ยแล้วหากช้าไปพวกนางเป็นสตรีก็อาจจะเกิดอันตรายได้ แม้ต่อให้หลังลี่จูพรางใบหน้าข้างหนึ่งให้มีปานดำด้วยก้นหม้อข้าว ส่วนหวังลี่เจินนั้นยังตัวเล็กแคระแกร็นซึ่งความจริงเด็กสาวนั้นงดงามสมส่วน แต่หวังลี่จูเกรงว่าจะบังเกิดอันตรายจึงคอยใช้ผ้ารัดหน้าอกและหาเสื้อตัวโตมาสวมอำพรางทรวดทรงองเอวอรชรของน้องสาวป้องกันอันตรายเอาไว้เสียแต่ต้น
แต่จะเช่นไรหากไปเจอพวกจอมโจรราคะแม้จะป้องกันเพียงใด ทว่าพวกนางเป็นสตรีนั้นย่อมยากจะพ้นมือเจ้าพวกคนชั่ว เช่นนั้นที่ทำได้จึงมีเพียงต้องเร่งขึ้นเขากลับอารามไห่เหมี่ยวก่อนจะค่ำให้จงได้
“กรี๊ด...ช่วยด้วย!”
เดินมาได้เพียงครึ่งทางก็บังเกิดเสียงของสตรีกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ถึงไม่อยากจะไปยุ่งแต่ความที่พวกนางเองก็เป็นสตรีย่อมทนเห็นหรือปล่อยผ่านไม่เข้าไปช่วยเหลือที่มาของต้นเสียงมิได้
“หุบปากไปเลยนะนางแก่ ปลดของมีค่าของพวกเจ้าออกมาให้หมด!”
เสียงโหดเหี้ยมทำให้สองพี่น้องแซ่หวังหันมองหน้ากันก่อนจะส่งสัญญาณมือว่าให้แยกกันโดยต่างคนต่างอ้อมไปคนละด้านโดยไม่ยอมวางหาบถังใส่ของเสียที่เหล่าคนรวยขับถ่ายทิ้งเอาไว้ เพราะต่างคิดตรงกันว่าหากจวนตัวมันก็พอจะเป็นอาวุธเป็นตัวช่วยให้แก่พวกนางได้นั่นเอง
ภาพที่สองพี่น้องแซ่หวังแลเห็นเป็นภาพของบุรุษท่าทางคล้ายสตรีถูกสังหารไปแล้ว บัดนี้มีเพียงสตรีสาวสองนางกับสตรีสูงวัยอีกสองนางที่กำลังกระเสือกกระสนหลบหนีเจ้าสองโจรร้ายอ้วนหนึ่งผอมแห้งหนึ่งที่ในมือของพวกมันคนหนึ่งถือขวานขาววาววับ อีกคนมีดาบเล่มโตคมกริบ หวังลี่จูแลเห็นเงาของน้องสาวเคลื่อนไหวจึงส่งสัญญาณมือให้อีกฝ่ายเคาะถังระรัว ซึ่งนางนั้นก็วางถังสองใบทิ้งไปก่อน จากนั้นก็กำไม้คานหาบถังอุจจาระเอาไว้ในมือจนแน่น
พอหวังลี่เจินเคาะถังระรัวเจ้าสองโจรอ้วนผอมก็ต่างตกใจหันไปทางด้านที่บังเกิดเสียงดังจนลืมระวังด้านหลัง จากที่คิดใช้ไม้คานหาบถังหวังลี่จูนั้นดันเหลือบสายตาไปพบเข้ากับก้อนหินขนาดเหมาะมือ จึงไม่รอช้าวิ่งตรงดิ่งพุ่งกายไปฟาดก้อนหินลงบนท้ายทอยของเจ้าโจรตัวอวบอ้วนก่อน
...ผลัวะ!...โครม!...ผลัวะ!...โครม!...
ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งหญิงสาวกับหนึ่งเด็กสาวจะสามารถ ‘จัดการ’ กับเจ้าสองโจรอ้วนผอมจนสำเร็จได้โดยง่ายเช่นนี้ แต่พวกนางก็ทำได้แล้ว ซึ่งสตรีสูงวัยในอาภรณ์เรียบง่ายแต่ดูมีสง่าราศีเกินกว่าจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาไปได้
...ขวับ!...ฉับ!...ขวับ!...ฉับ!...
มิคาดนางจะหยิบเอาดาบเล่มโตของเจ้าโจรตัวผอมตรงเข้าไปตัดศีรษะของเจ้าโจรชั่วชะตาขาดจนขาดกระเด็นเห็นโลหิตพุ่งราวกับน้ำพุก็มิปาน
“ขอบใจพวกเจ้าสองพี่น้องอย่างยิ่ง หาไม่ข้าคงจบชีวิตลงไปแล้วก็เป็นไปได้” สตรีสูงวัยอายุคงราวห้าสิบเห็นจะได้โยนดาบเล่มนั้นทิ้งไป แล้วหันมาทางด้านของเด็กสาวกับหญิงสาวสองคนที่มอมแมมไม่พอยังมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ จนนางกำนัลทั้งสามคนต่างยกมือขึ้นปิดจมูกกันวุ่นวายเลยทีเดียว
“ท่านป้าไม่คิดว่าพวกเราจะเป็นพวกเดียวกับเจ้าโจรชั่วสองคนนั้นบ้างหรือ?”
เป็นหวังลี่จูเอ่ยถามออกไปอย่างระมัดระวัง เพราะสตรีสูงวัยธรรมดานางหนึ่งย่อมไม่อำมหิตขนาดหยิบดาบมาตัดคอเจ้าสองโจรอ้วนผอมด้วยกิริยาเด็ดขาดไม่มีวี่แววลังเล ทว่าสตรีสูงวัยตรงหน้าที่ตัวนางเรียกว่า ‘ท่านป้า’ ฟันฉับโดยไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ
...นางต้องมิใช่สตรีชาวบ้านธรรมดาเป็นแน่...
หลิวรุ่ยเซียงแย้มยิ้มไร้วี่แววอำมหิตเช่นเมื่อครู่ไปจนสิ้น นางอายุหกสิบแล้วเป็นฮองเฮามาถึงยี่สิบเอ็ดปีแล้วยังเป็นไทเฮาอีกร่วมห้าปีสายตาคนจริงใจหรือหลุกหลิกนางล้วนมองออกทั้งหมด สองสตรีตัวน้อยสกปรกมอมแมมแถมยังมีกลิ่นเหม็นอุจจาระจนขมคอถึงเพียงนี้นางย่อมมิใช่คนชั่ว ตรงกันข้ามแววตาเด็กสาวคนน้องนั้นแตกตื่นตกใจจริง ส่วนแววตาของคนเป็นพี่สาวถึงจะหวั่นไหวอยู่บ้างแต่นางพยายามข่มความหวาดกลัวเอาไว้ หากให้นางเทียบเคียงกิริยาเหล่านี้นางคงนิยามได้เพียง ‘นางกวางดาว’ กำลังหวาดระแวงภัยทั้งแทนตนเองและระวังแทนน้องสาวของนาง ด้วยเพราะเรือนกายที่โตกว่าคนน้องเล็กน้อยจึงดันเอาอีกฝ่ายไปหลบอยู่ด้านหลังของตนเองดังมารดากำลังปกป้องลูกกวางดาวตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น
“พวกเจ้าสวมอาภรณ์ของซือไท่ ข้าจึงคาดเดาเอาว่าเจ้านั้นคงเป็นคนของอารามไห่เหมี่ยวมากกว่าถูกหรือไม่?”
...ไม่ธรรมดาจริงเสียด้วย นี่นางสอดเท้าเข้าไปวุ่นวายกับสตรีสูงศักดิ์เข้าแล้วเป็นแน่!...
“เอ่อ...เดินย้อนขึ้นเขาไปพักบนอารามข้าคิดว่าพวกท่านป้าย่อมปลอดภัยกว่าที่จะเสี่ยงเดินลงเขาไปแจ้งทางการในเวลาใกล้ค่ำเช่นนี้”
หวังลี่จูฉลาดพอที่จะไม่สอบถามอีกฝ่ายอีก นางคิดว่ายิ่งสูงศักดิ์นางกับน้องสาวอยู่ให้ห่างไกลเอาไว้ย่อมปลอดภัยกว่า จะยุคใดสมัยไหนต้องรู้จักอยู่ให้เป็นรู้ความให้น้อยที่สุดเอาไว้นั่นจึงปลอดภัยมากกว่า นางจึงคิดว่าพาสตรีทั้งสี่ชีวิตไปส่งให้กับหัวหน้าซือไท่ย่อมดีที่สุด
“คงต้องเป็นเช่นนั้น อีกไม่เกินครึ่งชั่วยามดวงอาทิตย์คงลาลับทิวเขาแล้วเป็นแน่ ลงเขาไปย่อมยากลำบากกว่า เหนียงจือ ซางอี้ หลุนเจียวดึงศพของพวกเขาหลบไปข้างทางก่อน แล้วเราจึงย้อนกลับขึ้นเขาไปพร้อมกับแม่หนูน้อยสองคนนี้ย่อมปลอดภัยกว่า”
ศพที่อรชรราวสตรีถูกลากไปหลบไม่ให้อุจาดนัยน์ตา ส่วนศพของเจ้าจอมโจรอ้วนผอมถูกปล่อยให้นอนศีรษะไปทางร่างไปอีกทางไร้การใส่ใจ เห็นเช่นนั้นทั้งหวังลี่จูและหวังลี่เจินจึงกลับไปนำเอาหาบถังคู่ชีพแล้วเดินตรงขึ้นเขานำหน้าปล่อยให้อีกสองสาวกับสองสตรีสูงวัยเดินตามขึ้นมาด้วย ต่างคนต่างไม่พูดสิ่งใดต่อกันแม้เพียงครึ่งคำ
“ท่านป้า เชิญด้านนี้เจ้าค่ะ หัวหน้าซือไท่เหยียนนางพักอยู่ยังเรือนหลังนี้”
พอมาถึงฟากฝั่งอารามของนางชีหรือซือไท่ที่แบ่งแยกออกมาจากฟากฝั่งของไต้ซืออย่างชัดเจนด้วยเขาคนละครึ่งซีก หวังลี่จูจึงคิดพาทั้งสี่คนไปพบกับท่านหัวหน้าซือไท่ คราวนี้นางจึงหมดหน้าที่ แล้วจากนั้นพวกนางจะได้ไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายสระผมให้แก่กันจนกว่าจะสะอาดเสียที เพราะพรุ่งนี้นางยังรับงานตัดผักจากสวนของสกุลเหลียวที่อยู่ตรงเชิงเขาอีก หากตัวเหม็นศีรษะมีแต่กลิ่นอึกลิ่นฉี่คงถูกขับไล่ออกจากสวนผักพลาดงานและเงินเสียเป็นแน่
...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
“เหยียนซือไท่ นี่ข้าลี่จูเองเจ้าค่ะ”
ครู่หนึ่งก็มีซือไท่ที่ยังเป็นเพียงเด็กหญิงวัยคงราวสิบขวบปีมาเปิดประตูให้ หวังลี่จูหันไปบอกแก่หวังลี่เจินให้นำข้าวของไปเก็บแล้วตัวของนางก็เดินตัวลีบเล็กเข้าไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ทางลงเขาให้แก่ท่านหัวหน้าซือไท่ทราบเรียบร้อย นางจึงขอตัวไม่ยอมอยู่รับรู้ว่า ‘ท่านป้า’ คนดังกล่าวนั้นจะเป็นฮูหยินจากสกุลใด สำคัญหรือไม่ ก็อย่างที่นางคิดตั้งแต่คราวแรก
...รู้ให้น้อยเข้าไว้ชีวิตจะปลอดภัยนั่นเอง....