มีบางอย่างบนใบหน้าของหมอนี่ที่ทำให้ผมอยากชกหน้ามัน อาจจะเป็นแว่นตาหนาเตอะหรือไม่ก็แววตาเฉลียวฉลาดเกินตัวคู่นั้น ทุกครั้งที่ผมเถียงกับอาจารย์พิสมัย ผมเป็นได้เห็นนายเด็กเนิร์ดนี่ส่ายหน้าราวกับผมพูดอะไรผิดเสียเต็มประดา ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหาโอกาสจับตัวมันมาขึ้นชกที่ชมรมไม่ได้เพราะมันไม่เคยทำอะไรผิด ตรงกันข้ามบทความที่มันเขียนวิจารณ์รายงานของผมก็ถูกต้องและตรงไปตรงมา อีกทั้งหมอนี่ยังเป็นนักศึกษาในห้องเพียงคนเดียวที่รู้จุดอ่อนของงานเขียนผมซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันอยากให้ผมได้ปรับปรุงผลงานเขียนของตัวเองจริง ๆ
ตอนที่ผมเอากระดาษวิจารณ์ไปหาเรื่องนายแดนดิน ผมกะจะขู่ให้มันกลัว มันจะได้ไม่กล้ามาตอแยอะไรกับผมอีกแต่ปรากฏว่าหมอนี่ไม่ได้มีท่าทางเกรงกลัวผมเลยแม้แต่น้อย แถมมันยังตีฝีปากอวดฉลาดกับผม ซึ่งทำให้ผมต้องหาโอกาสยึดตัวมันไว้ใกล้ ๆ เหมือนคำเตือนที่ว่า จงเก็บมิตรไว้ใกล้ตัวแต่จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวยิ่งกว่า
และจะว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือว่าอะไรก็ยากจะคาดเดาได้เพราะตอนที่ผมไปหาเรื่องนายเด็กแว่นผมก็เหลือบไปเห็นหนังสือกายวิภาคศาสตร์ของมันเข้า หมอนี่เป็นเด็กคณะแพทย์ฯ...ความรู้ใหม่นี้ทำให้ผมคิดวิธีที่จะดึงนายแว่นมาเป็นทาสรับใช้ของผมได้
ตอนผมโยนกล่องยาแล้วถอดเสื้อออก นายเด็กเนิร์ดมองผมด้วยใบหน้าแดงก่ำ เรียกว่าแดงไปจนถึงใบหูทั้งสองข้างเลยทีเดียว หลังจากนั้นมันก็รีบหลบตาลงมองพื้นแทน ปฏิกิริยาของหมอนี่ทำให้ผมกระตุกริมฝีปากขึ้นมาอย่างเป็นต่อ
ผมยื่นมีดขนาดเล็กเล่มหนึ่งให้นายแว่น นี่เป็นวิธีทดสอบว่าผมจะไว้ใจหมอนี่ได้ไหม
"ผมยังไม่เคยดูแลคนไข้"แดนดินพยายามจะอธิบายให้ผมฟังแต่ผมไม่สนใจ ผมไม่สามารถขอให้ใครช่วยผมเรื่องนี้ได้นอกจากหมอนี่ ก่อนหน้านี้ผมเคยมีแฟนชื่อพี่ก้านแพร เธอเป็นพี่สาวของน้ำมนต์และเป็นอดีตคนรักของผม แต่พี่แพรตัดสินใจไปเรียนต่อเมืองนอกทิ้งผมไว้เมืองไทย โดยไม่มีกำหนดกลับและยังบอกไม่ให้ผมรอเธออีก พี่ก้านแพรเคยเป็นคนช่วยทำแผลให้ผมตอนที่เธออยู่ที่เมืองไทย หลังจากเธอไปแล้วผมก็ไม่สนใจใคร และไม่เคยนึกรักใครอีกเลย คนที่อยากเข้าใกล้ผมถ้าผมไม่ชกหน้าแหก ผมก็ถอดกางเกงกระทุ้งอย่างเดียว เรียกว่าใครอยากสนองอารมณ์ของผมทางไหนก็เชิญได้เลย Be my guest! แต่ผมบอกไว้ก่อนว่าผมไม่คิดออกเดท ไม่บอกรัก ไม่สานสัมพันธ์ต่อ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาชวน
"เชี่ยยยเอ้ย! นี่นายไปโดนอะไรมา" นายแดนมองแผลที่หลังของผมแล้วครางออกมาเหมือนเจ็บแทน
"ไม่ต้องเสือก ทำอย่างไงก็ได้ให้เลือดไม่คั่งแล้วใส่ยา อย่าให้ติดเชื้อนะโว้ย" ผมตอบอย่างเชี่ยวชาญ เพราะทำแผลให้กับตัวเองอยู่บ่อย ๆ แต่ครั้งนี้ผมถูกลอบทำร้ายจากด้านหลังและผมบอกให้น้ำมนต์มันมาช่วยใส่ยาให้ไม่ได้เพราะมันเตือนผมแล้วว่าไม่ให้ไปยุ่งกับพวกแก๊งนั้น ผมไม่ฟังมันเอง
คราวนี้นายแว่นเริ่มเข้าใจว่า ทำไมผมถึงยื่นมีดให้ มันจึงหยิบมีดขึ้นลนไฟแล้วกรีดลงบนปากแผล ผมได้ยินเสียงพ่นลมปากผ่านช่องฟันของนายแดนในขณะที่ผมกัดฟันตัวเองไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมาเหมือนสาวมัธยมต้น ตอนหมอนั่นกรีดเอาเลือดที่คลั่งออกมานั้นไม่เจ็บสักเท่าไรแต่ตอนนายแว่นเทยาลงนี่สิครับ สุดยอด...
เรียกว่าถ้าใครไม่เคยเห็นสวรรค์ก็ได้เห็นกันตอนนี้ โครตแสบ โครตปวด เจ็บยิ่งกว่าถูกโดนไฟไหม้ซะอีก
"ไอ้สัสสสส" ผมสบถ ไม่ได้ด่าใครเป็นพิเศษแต่ใครอยากจะรับไปก็ได้ ผมพ่นลมหายใจเข้าออกแรง ๆ หืดหาดอย่างยากลำบากเหมือนพวก เวอร์จิ้นที่ถูกเปิดซิงเป็นครั้งแรก
นายเด็กแว่นรีบตัดพับผ้าก็อซแปะลงบนแผ่นหลังของผม ลำสีก้อนโตเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาไม่ยอมหยุดอยู่พักใหญ่ ผมอยากอวดนายแดนว่าผมแข็งแรงขนาดไหน แต่เลือดจากแผลของผมดันไหลมากกว่าที่ผมคิดไว้ทำให้ผมหน้ามืดหน่อย จนผมหมดแรงตัดสินใจนอนคว่ำลงกับโซฟาแทน กะว่าจะหลับตาลงสักพักแล้วค่อยขับรถไปส่งนายเด็กเนิร์ดกลับบ้านแต่มารู้สึกตัวอีกทีฟ้าก็มืดแล้ว
นายแดนนั่งอยู่บนโซฟาข้าง ๆ ผม นอนหลับหัวพับอยู่กับพนักพิง
พอหลังจากที่เลือดคลั่งของผม ถูกขับออกบริเวณหลังผมก็ไม่ปวดมากเหมือนเมื่อเช้า ถือว่านายเด็กแว่นคนนี้ช่วยผมได้มากแต่ผมไม่เคยขอบคุณใคร และก็ไม่คิดว่าจะเอ่ยขอบคุณมันด้วย
"เฮ้ย..." ผมเตะขามันเบา ๆ จนนายเด็กแว่นสะดุ้งตื่น
"จะกลับบ้านหรือจะค้างที่นี่" นายแว่นมองนาฬิกาแล้วทำท่าทางตกใจ
"กลับบ้าน พรุ่งนี้ผมมีแล็บแต่เช้า ต้องไปเปลี่ยนเสื้อ" นายเด็กคงแก่เรียนสะลึมสะลือหากระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วเดินไปหยิบรองเท้ามาสวม
"เดี๋ยวไปส่ง" ก็ผมเป็นคนเอามันมา ก็ต้องรับผิดชอบส่งมันกลับไป
"แผลของนายเป็นไงบ้าง" นายแดนถาม ผมอยากจะด่ามันกลับไม่ให้มันมาเผือกเรื่องของผมเป็นครั้งที่สองแต่ตัดสินใจสงบปากตัวเองแทน
นายแดนหยักไหล่เริ่มชินกับการพูดคนเดียวเหมือนคนบ้าแล้วจึงเดินตามผมออกจากห้องไป
X