EP.4 มรดกพิสดาร
แต่เขามองว่ามันมีเงื่อนงำแปลกๆ เพราะหลังจากทริบเฟนออกจากบ้าน หยกทิพย์ก็หอบเสื้อผ้าหนีไป ไม่ได้ใช้ชีวิตเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองเป็นคุณนายทริสตันอย่างที่ทุกคนเข้าใจเลยแม้แต่น้อย บิดาเองก็ไม่ส่งคนออกตามหา และไม่เคยพูดถึงหยกทิพย์อีกเลยเช่นกัน
“ผมคิดดีแล้ว ผมไม่เคยต้องการทรัพย์สมบัติครับพี่คุนไซต์ พี่เป็นคนบริหารบริษัททริสตัน พี่สมควรได้มันมากกว่าผม” ทริบเฟนตอบฉะฉาน ไม่มีแววลังเลในดวงตาสีดำนิลของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นแพทย์ผ่าตัดหัวใจ เขามีอุดมการณ์ในวิชาชีพ และเขาไม่เคยหวังลาภยศเงินทอง
“แต่...”
ทนายสูงวัยเอ่ยขึ้น ก่อนจะยิ้มให้กับทริบเฟน “คุณบานเนอร์เขียนเอาไว้ว่า นอกจากคุณทริบเฟนจะถูกตัดสิทธิ์จากกองมรดกแล้ว เงินสนันสนุนที่ทางทริสตันมอบให้แก่โรงพยาบาลเดือนละกว่าหนึ่งแสนดอลลาร์ก็จะถูกยกเลิกถาวร”
“อะไรนะ!” ทริบเฟนผุดลุกขึ้นยืน ไม่อยากเชื่อว่าบิดาจะเอาเรื่องนี้มาต่อรองกับเขา โรงพยาบาลรัฐอยู่ได้ด้วยเงินสนับสนุนจากรัฐบาลและเอกชน ซึ่งโรงพยาบาลที่เขาสังกัดอยู่นั้นเงินสนับสนุนหลักมาจากมูลนิธิทริสตันที่บิดาเป็นคนก่อตั้ง หากบิดาตัดงบสนับสนุนโรงพยาบาลทิ้ง ผู้ป่วยก็ต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
“ว่าอย่างไรครับคุณทริบเฟน คุณจะทำตามที่คุณบานเนอร์ระบุไว้ในพินัยกรรมหรือเปล่าครับ” เอ็ดการ์ดเอ่ยถามซ้ำ ทั้งที่รู้คำตอบดีว่านายแพทย์หนุ่มไม่มีทางปล่อยให้โรงพยาบาลและผู้ป่วยต้องแบกรับปัญหานี้อย่างแน่นอน
“ผมไม่มีทางเลือก คุณพ่อบีบผมจนถึงขนาดนี้แล้ว คุณทนายคิดว่าผมยังมีสิทธิ์ปฏิเสธอยู่อีกหรือไง” ทริบเฟนกัดฟันเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูนด้วยความกรุ่นโกรธ แต่ไม่สามารถโวยวายอะไรได้ เพราะตัวต้นเรื่องได้นั่งหัวเราะอยู่บนสวรรค์เรียบร้อยแล้ว
“ตกลงตามนี้นะครับ คุณทริบเฟนและคุณคุนไซต์ตกลงทำตามพินัยกรรม มาถึงข้อสุดท้ายแล้วครับ” เอ็ดการ์ดยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะก้มลงอ่านพินัยกรรมต่อ
‘ส่วนฮิดเดนไนต์..แกกับฉันเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด คุยกันได้ไม่เคยเกินห้านาทีต้องทะเลาะมีปากเสียงกันแทบทุกครั้ง สำหรับแก ฉันขอสั่งให้แกนั่งตำแหน่งประธานบริษัททริสตันแทนคุนไซต์เป็นเวลาหกเดือน และต้องทำผลกำไรให้ขยับขึ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์จากไตรมาสที่แล้ว โดยฉันขอแต่งตั้งให้ช่อทับทิม เลขาฯ ที่ฉันไว้วางใจมากที่สุดเป็นคนควบคุมความประพฤติและสอนงานแก หากแกไม่ทำตาม แกจะถูกตัดสิทธิ์จากกองมรดกทันที’
“คิดว่าผมจะต้องทำตามงั้นเหรอ ตอนคุณพ่อทำพินัยกรรมท่านต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ” ฮิดเดนไนต์โวยลั่นทันที เขาเกลียดการถูกบังคับและการออกคำสั่งที่สุด แล้วดูเหมือนว่าบิดาจะรู้จักนิสัยเขาในข้อนี้ดี ท่านจึงใช้คำว่า ‘สั่ง’ ในพินัยกรรม ในขณะที่เนื้อความในจดหมายถึงพี่ชายอีกสองคนท่านใช้คำว่า ‘ขอ’ นี่แสดงว่าบิดาพยายามจะยั่วโมโหให้เขาต่อต้าน ท่านต้องการอะไรกันแน่
“นั่นสิครับคุณเอ็ดการ์ด จะให้ฮิดเดนไนต์บริหารบริษัททริสตันได้อย่างไร ในเมื่อฮิดเดนไนต์ไม่เคยบริหารงานมาก่อน” คุนไซต์เอ่ยค้าน ทั้งชีวิตของเขาทุ่มเทให้กับการพัฒนาบริษัท เขาคงทนไม่ได้แน่ถ้าน้องชายคนเล็กจะเข้ามาบริหารงานแล้วทำให้มันพังลงภายในหกเดือน
“ฉันก็ขอค้านค่ะ นี่น่ะหรือคะธุระที่คุณทนายเรียกฉันมา ฉันขอตัวนะคะ ฉันไม่คิดสอนงานให้กับคนไม่เอาไหนอย่างนายคนนี้แน่ เสียเวลาและเสียมันสมองเปล่าๆ ค่ะ ขอตัวนะคะ” ช่อทับทิมลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องรับแขก ทว่าเสียงทุ้มก็ดังขึ้นจากด้านหลังเสียก่อน
“คิดว่าฉันอยากให้ผู้หญิงอย่างเธอมาสอนนักหรือไง ให้ฉันอยู่ใกล้ผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนนางชีแถมขี้เหร่อย่างเธอ ให้ฉันขาดใจตายตรงนี้เสียยังดีกว่า” ฮิดเดนไนต์โวยขึ้นแล้วเมินหน้าหนี ทำกิริยาอย่างที่เธอทำกับเขาก่อนหน้านี้ เป็นการเอาคืนที่ทำให้ช่อทับทิมถึงกับเม้มริมฝีปากเข้าหากันเป็นเส้นตรง
“นี่นาย!” ช่อทับทิมตัวสั่นด้วยความโกรธ เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนสวย แต่นายปากกรรไกรนี่ก็ไม่ควรมาดูถูกเธอ จริงอยู่ที่เขาหล่อ...หล่อมากจนเธอเกือบจะเผลอเคลิ้มไปกับความหล่อเหลาของเขา แต่หากได้ยินกิตติศัพท์เหม็นโฉ่มั่วผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าของเขาแล้วละก็ เธอบอกตัวเองเลยว่า ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก
“เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ผมยังอ่านพินัยกรรมไม่จบ” เอ็ดการ์ดขัดขึ้น
“ฉันขอตัวค่ะ พินัยกรรมนี่ไม่เกี่ยวกับฉัน” ช่อทับทิมสะบัดหน้า
“เกี่ยวสิครับ เพราะคุณบานเนอร์เขียนถึงคุณ”
“อะไรนะคะ!” ช่อทับทิมไม่คิดว่าเจ้านายจะเขียนถึงเธอ หญิงสาวจึงนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ ตั้งใจว่าหากเขามอบสมบัติหรือเงินให้เธอแม้แต่เซ็นต์เดียว เธอจะปฏิเสธทันที เธอทำดีกับบานเนอร์โดยไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน เธอแค่สงสารชายชราสูงอายุที่มีดวงตาเศร้าและขี้เหงาก็เท่านั้นเอง บานเนอร์ทำให้เธอคิดถึงคุณปู่ของเธอที่เสียชีวิตไปร่วมสิบปี เธอผูกพันกับปู่มาก และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้เธอเข้าใจบานเนอร์กว่าใคร
“เมียน้อยคุณพ่อจะได้สมบัติสักกี่ชิ้นน้า” ทายาทคนเล็กไม่วายค่อนขอดเลขาฯ สาว
คุนไซต์ส่ายศีรษะให้กับความปากร้ายของน้องชายคนเล็ก ส่วนทริบเฟนนั้นนั่งนิ่งมาได้สักพักแล้ว ราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ ซึ่งเดาได้เลยว่าเรื่องนั้นคงเป็นเรื่องของ ‘หยกทิพย์’ อย่างไม่ต้องสงสัย
‘ช่อทับทิม...ฉันขอบใจหนูมากนะที่คอยอยู่เป็นเพื่อนและกินข้าวกับคนแก่อย่างฉัน ถ้าฉันมีลูกสาว ฉันก็อยากได้ลูกสาวที่น่ารักเหมือนหนู เสียดายที่ฉันมีแต่ลูกชายถึงสามคน หนูเหมือนดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ แค่ฉันอยู่ใกล้หนูฉันก็รู้สึกได้ถึงความสุข ฉันไม่กล้ามอบอะไรให้หนู เพราะรู้ว่าหนูไม่รับอะไรจากฉันแน่ ดังนั้นฉันจึงอยากจะเป็นฝ่ายขออะไรจากหนูแทน ช่วยสอนงานลูกชายหัวดื้อของฉันด้วยเถอะนะ ลูกชายของฉันแม้จะปากร้าย แต่มันไม่มีพิษมีภัย ฉันขอร้อง...ถือว่านี่เป็นคำขอครั้งสุดท้ายจากฉัน’