“เจ้าพอจะรู้ตัวคนร้ายหรือไม่เยว่เยว่” ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ บรรยากาศในห้องก็อึมครึมขึ้นมาหลายส่วน พี่ชายทั้งสามต่างสบสายตากันและกัน ทางด้านหลินซูฉีเองก็กุมมือบุตรสาวไว้แน่น ความรู้สึกที่ตนเกือบจะต้องสูญเสียลูกสาวเพียงคนเดียวไปยังบีบรัดหัวใจอยู่ เยว่กวางที่เห็นความรักของครอบครัวก็รู้สึกจุกที่อก เมื่อใคร่ครวญสิ่งต่างๆ แล้วเธอจึงตัดสินใจที่จะบอกความจริงทั้งหมด ถ้าเธออยากจะเป็นครอบครัวของพวกเขา เธอก็ควรเชื่อใจพวกเขา
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยิน ท่านรองแม่ทัพ คุณชายรอง คุณชายสาม ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก ต้องการจะบอกพวกท่าน ข้าน้อยขอร้องพวกท่านอย่ารังเกียจข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ” เสียงหวานสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาแดงก่ำรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ทำให้ทุกคนในห้องตกใจอย่างมาก โดยเฉพาะคำที่เด็กสาวใช้เรียกพวกเขา แต่ก่อนจะมีใครได้เอ่ยอะไร เยว่กวางก็เริ่มพูดขึ้น เธอเล่าเรื่องที่เธอไม่ใช่คนที่นี่ เธอมีนามว่าเยว่กวางเช่นกันแต่ตัวเธอนั้นเติบโตในยุคสมัยที่แตกต่าง เธอไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้อง เธอถูกเลี้ยงมาโดยองค์กรณ์นักฆ่า เธอใช้ชีวิตอยู่โดยการทำภารกิจต่างๆ ที่ได้รับมาให้สำเร็จ แต่ในภารกิจล่าสุดเธอก็โดนอีกฝ่ายตลบหลัง และเธอคิดว่าเธอคงเสียชีวิตในตรอกมืดนั่นก่อนที่เธอจะรู้สึกตัวแล้วพบว่าตนเองมาอยู่ที่แห่งนี้ เธอได้รับความทรงจำและความรู้สึกทั้งหมดของเยว่กวางคนเดิม และตัวเธอเองก็รู้สึกผูกพันธ์กับทุกคนตรงนี้มากเช่นกัน
“ฮึก ฮือ เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่น ฮึก นี้เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจะมาแทน ฮึก ที่ของบุตรสาว น้องสาวของพวกท่าน ฮึก ข้าน้อยเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้เช่นไร ข้าน้อยขออภัยด้วยนะเจ้าคะ” ร่างบางลุกขึ้นแล้วลงจากที่นอน ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นพลางร้องไห้สะอื้น เธอไม่รู้ว่าทำไมอารมณ์เธอจึงอ่อนไหวเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ในอดีตเธอจัดการกับอารมณ์พวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
บรรยากาศภายในห้องเงียบสนิท เนื่องจากเรื่องที่ได้ยินจากปากของร่างบอบบางตรงหน้าทำเอาทุกคนตะลึงงันไปเสียแล้ว นี่ไม่ได้หมายความว่า ‘เยว่กวางตายไปแล้วหรอกหรือ!’ พี่ชายทั้งสามมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ผิดกับบิดามารดาที่หันมาสบตากันอย่างมาดหมาย เมื่อซ่งหนิงเฉิงเห็นสายตาของภรรยา ตนก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายตัดสินใจเช่นไร จึงตอบรับด้วยการพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น
“เยว่เยว่ของแม่ เจ้าลุกขึ้นมานั่งตรงนี้เถิดนะ” ร่างบางระหงของหลินซูฉีย่อตัวลงไปประคองบุตรสาวของตนขึ้นมานั่งบนเตียงเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยปลอบเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่ตอนนี้ตาแดงไปหมดแล้ว
“ในเมื่อตอนนี้เจ้ามาอยู่ที่นี่ แม่ก็จะคิดเสียว่าลูกสาวของแม่ยังไม่ได้จากไปที่ใด เจ้ายังคงเป็นลูกสาวที่พ่อกับแม่รัก ยังเป็นบุตรีตระกูลซ่ง เจ้าเข้าใจหรือไม่” หลินซูฉีเอ่ยปลอบพร้อมดึงบุตรสาวเข้ามากอด น้ำตารื้นที่ดวงตาคู่สวยอย่างห้ามไม่อยู่
“พวกท่านไม่รังเกียจข้าน้อยหรือเจ้าคะ” เสียงสั่นเครือจากร่างบอบบางตรงหน้าทำให้ทุกคนในห้องอดที่จะบีบรัดหัวใจไม่ได้ ถึงอย่างไรเด็กสาวตรงหน้าก็ยังเป็นบุตรสาว เป็นน้องสาวของพวกตนอยู่ดี
“ทำไมพ่อจะต้องรังเกียจเจ้าด้วยล่ะ หืม เจ้าที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ว่ามองเช่นไรก็คือบุตรสาวของพ่อ บุตรสาวที่พ่อและแม่ของเจ้าเฝ้ารักและทนุถนอมมาตลอด เจ้าเองก็กลับมาเรียกพ่อกับแม่เช่นเดิมเถิด อย่าได้เรียกกันห่างเหินเช่นนั้นเลย” หนิงเฉินทรุดตัวลงอีกด้านของบุตรสาว ก่อนจะกอดปลอบประโลมไปพร้อมกันทั้งแม่ทั้งลูก เรียกให้คนตรงกลางยิ่งสะอื้นมากกว่าเดิม
“พี่เองก็ยังคงเห็นเจ้าเป็นน้องน้อยคนเดิมเช่นกัน อย่าได้ร้องไห้ไปเลยนะน้องพี่” ซ่งเยว่จวนเอ่ยปลอบน้องอีกแรง เมื่อตนก็เห็นพ้องกับท่านพ่อและท่านแม่เช่นกัน
“นั่นสิ ร้องจนตาปูดบวมเป็นปลาน้อยไปแล้ว” ยังคงเป็นพี่สามของเธอที่มักจะเอ่ยเย้าเพื่อให้เธออารมณ์ดีขึ้น
“ตอนนี้ควรกินยาแล้วก็พักผ่อนมากๆ ได้แล้วเด็กดื้อ” ซ่งเยว่ส่างที่เดินออกจากห้องไปรับยาของน้องสาวเข้ามาเอ่ยขึ้น ซ่งหนิงเฉิงและหลินซูฉีจึงปล่อยตัวบุตรสาว
“ขอบคุณพวกท่านมากเลยนะเจ้าคะ” เยว่กวางเอ่ยเสียงแผ่ว พร้อมรับถ้วยยามาดื่ม ก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงนอนเพราะรู้สึกเพลียจากเรื่องราวมากมายที่ประเดประดังเข้ามา ส่วนคนที่เหลือเมื่อเห็นว่าเด็กสาวหลับไปแล้วก็พากันออกจากห้อง ก่อนที่ซ่งหนิงเฉิงจะให้ทุกคนไปที่ห้องหนังสือ
ห้องหนังสือจวนแม่ทัพใหญ่
เป็นห้องที่ปลอดภัยจากบรรดาสายข่าวของฝ่ายอื่นมากที่สุด ด้วยเพราะองครักษ์เงามากฝีมือที่ประจำการอยู่โดยรอบอย่างแข็งขัน และคำสั่งเจ้าบ้านที่ไม่ให้ใครเดินวุ่นวายในบริเวณใกล้เคียงนั่นเอง
“ท่านพี่ ฮืออออ” หลินซูฉีที่อดทนมาตลอดทางปลอดโฮแล้วโผเข้าหาอ้อมกอดแกร่งทันทีที่เข้ามาภายในห้อง ซ่งหนิงเฉิงเองก็ดวงตาแดงก่ำไม่ต่างกัน รวมไปถึงบุตรชายทั้งสามด้วย
“ไม่เป็นไรนะน้องหญิง พี่รู้ว่าเจ้าเสียใจมากเพียงใด พี่เองก็เสียใจมากเช่นกัน แต่อย่างน้อยพี่ก็เชื่อว่าลิขิตสวรรค์ย่อมมีเหตุผล การที่มีเยว่เยว่จากอีกภพนึงมาอยู่ที่นี่ อาจจะหมายถึงว่านางก็เป็นบุตรสาวของเราเช่นกันก็ได้” ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตัวเขาที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ รบทัพจับศึกเจอเรื่องเหนือธรรมชาติมาก็มาก แม้จะไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้แต่ตนก็มั่นใจว่าทุกอย่างมันต้องมีเหตุและผล
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับท่านพ่อนะขอรับท่านแม่ ถึงน้องเยว่เยว่จะจากเราไปแล้ว แต่การที่น้องฟื้นกลับขึ้นมาพร้อมกับพิษในร่างที่หายไปทั้งๆ ที่เราหาทางแก้กันแทบตาย บางทีอาจจะเป็นชะตาฟ้าลิขิตก็ได้นะขอรับ” ซ่งเยว่ส่างเอ่ยบอกความคิดของตน
“ข้าคิดว่าเยว่เยว่คนนี้น่าสงสารมากเลยนะขอรับ ชีวิตที่ผ่านมาของน้องช่างโหดร้ายมาก เราควรจะมอบความอบอุ่นให้น้องมากๆ ทดแทนในส่วนของเยว่เยว่ที่จากไปด้วยนะขอรับ” ซ่งเยว่เล่อบอกมารดาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ตนรู้สึกเสียใจเช่นกันแต่ก็รู้สึกสงสารน้องสาวคนใหม่คนนี้ด้วย
“ข้าเองก็เห็นด้วยกับน้องสามขอรับ ถ้าท่านแม่ยังไม่สบายใจ พวกเราไปทำบุญให้น้องสาวที่วัดฮุ่ยหงที่อยู่บนภูเขาใกล้ๆ เมืองหลวงนี่ดีมั้ยขอรับ” ซ่งเยว่จวนช่วยปลอบมารดาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไม่แพ้กัน
“นั่นสิหลินซูฉี ไปทำบุญให้เยว่เยว่กันเถอะ แล้วถือว่าเราได้ลูกสาวคนใหม่เพิ่มมาอีกคน” มือหนาลูบลงบนแพรไหมสีดำนุ่มลื่นเบาๆ เพื่อบอกให้คนในอ้อมกอดรู้ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
“เจ้าค่ะ ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ถึงแม้จะเสียใจที่เยว่เยว่จากไปโดยที่แม้แต่คำล่ำลาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยบอก แต่บางทีเยว่เยว่คนนี้อาจจะมาเพื่อเป็นแก้วตาดวงใจของเราก็ได้” เสียงหวานเจือสะอื้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับผละออกจากอกแกร่ง ใบหน้าหวานพริ้มเพราแดงระเรื่อไม่ได้ดูเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันทำเอาท่านแม่ทัพใหญ่อยากรีบพาร่างบางตรงหน้าไป ‘ปลอบโยน’ ในที่ส่วนตัวเสียแล้ว ว่าแล้วก็รีบจบบทสนทนาแต่เพียงเท่านี้ก่อนดีกว่า ริมฝีปากหยักยกยิ้มเจ้าเล่ห์เพียงครู่ก่อนจะจางหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
“เอาล่ะ เรื่องในวันนี้ก็จบไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน พ่อคงต้องพาแม่ของเจ้าไป ‘ปลอบ’ ให้หายจากการเสียใจก่อน ส่วนพวกเจ้าสามคนก็ ‘ปลอบกันเอง’ ไปก่อนก็แล้วกัน หึหึ” ร่างใหญ่กำยำของท่านแม่ทัพเข้าเบียดประชิดร่างบอบบางของคนใกล้ตัว วงแขนแกร่งวาดออกแล้วโอบไหล่ของฮูหยินตนโดยไม่สนใจดวงหน้าแดงก่ำนั่นเลยสักนิด ยิ่งเห็นตาหวานฉ่ำค้อนมาให้ยิ่งอดใจไม่ไหว
ฟอด เสียงคนตัวโตฉกลงไปหอมแก้มนุ่มของอีกฝ่ายช่างดังฟังชัดจนลูกชายทั้งสามถึงกับแข็งค้าง ก่อนซ่งหนิงเฉิงจะรีบจูงฮูหยินของตนออกจากห้องหนังสือไปในทันที ปล่อยให้เจ้าพวกลูกชายยืนบื้ออยู่ตรงนั้นแหละ
‘อันใดคือพาท่านแม่ไป ‘ปลอบ’ เพราะเสียใจ อันใดคือให้พวกข้า ‘ปลอบกันเอง’ ท่านอย่าเอาเรื่องนี้มาอ้าง! จวบจนท่านมีลูก 4 คนแล้ว ข้าก็เห็นท่าน ‘ปลอบ’ ท่านแม่ทุกคืนนั่นแหละ!!’ ทั้งสามที่ถูกทิ้งไว้ต่างตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง บิดาทำอะไรไม่เคยสนใจพวกเขาสักนิด!ดีหน่อยที่อยู่ต่อหน้าน้องสาวยังเก็บอาการบ้าง ไม่เช่นนั้นพวกตนคงต้องคอยปิดตาน้องสาวทุกวันแล้ว…..
.......................................................................................