“นี่มัน….จะเป็นปัญหารึไม่นะ….” เยว่กวางเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อไล่เรียงเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ดูเหมือนตัวเธอจะต้องมาใช้ชีวิตที่เหลือที่นี่เสียแล้ว แต่ถ้าถามว่าหนักใจรึไม่นั้น คงต้องบอกว่าด้วยความทรงจำมากมายและความรู้สึกต่างๆ ที่ส่งต่อมา ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่มาก อีกทั้งยังอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่นึกถึงครอบครัวของร่างนี้
“มันอาจจะดีก็ได้นะ ที่คนอย่างฉันจะได้สัมผัสกับคำว่าครอบครัวสักครั้ง” ริมฝีปากสวยยกยิ้มบางเบาให้กับความคิดตนเอง
“แล้ว….เยว่กวางตัวจริงไปไหนเสียแล้วล่ะ” คิ้วโก่งผูกเป็นปมอีกครั้งเมื่อพยายามนึกความทรงจำที่เหลือ……อ่า สิ่งที่มีในทุกยุคสมัย ‘ผู้หญิงขี้อิจฉา’ สินะ ดวงตากลมโตหรี่ลงทอประกายเย็นวาบ เมื่อขุดคุ้ยในความทรงจำของร่างนี้จนพบว่าสาเหตุที่เยว่กวางคนเดิมเสียชีวิตมาจากการลอบวางยาพิษของสายสืบที่มาจากจวนอื่น ซึ่งถ้าเธอเดาไม่ผิดคงเป็น หรงลี่หลิน บุตรีของภรรยารองจากตระกูลหรง ตระกูลเสนาบดีฝ่ายซ้าย คู่อริตลอดกาลของจวนแม่ทัพ เหตุจากการคานอำนาจในราชสำนักและอำนาจทางการทหารกว่า 3 แสนนายที่อยู่ในมือของซ่งหนิงเฉิง แต่ถ้าจะให้เธอคาดเดาจากสถานการณ์มากมายในความทรงจำแล้วล่ะก็ การวางยาพิษครั้งนี้น่าจะมาจากความสิ้นคิดที่ผู้หญิงคนนั้นริษยาร่างนี้ เพราะคู่หมั้นของหล่อนมาคอยขายขนมจีบให้เยว่กวางคนเก่าจนอีกฝ่ายรู้เข้า จึงพาลคอยหาเรื่องตลอดทุกครั้งที่เจอกัน
เพล้ง!
“คุณหนู!!! คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ!!”
ก่อนที่เยว่กวางจะทันได้คิดสิ่งใดไปมากกว่านี้ ก็ปรากฎร่างของสาวน้อยนางนึง ซึ่งเธอแทบจะไม่ต้องเดาเลยว่านี่คือ สาวใช้ประจำตัวของเธอนามว่า ชุนเฟิน ใบหน้าจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยความปิติ ดวงตาคู่สวยมีน้ำใสไหลคลอเบิกกว้างเล็กน้อย ก่อนที่นางจะทำหน้าเหมือนนึกสิ่งใดขึ้นได้ แล้ววิ่งออกไปในทันที ทิ้งให้คนนั่งอยู่บนเตียงมองตามไปด้วยความงุนงง
“ดูเหมือนว่านางจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วสินะ” เยว่กวางพูดกับตนเองเมื่อจำได้ว่ามีฉากป้ำๆ เป๋อๆ ของชุนเฟินอยู่ในความทรงจำของเธอมากมายเช่นกัน
ตึก ตึก ตึก ตึก
เยว่กวางแหงนหน้ามองประตูเนื่องด้วยมีเสียงฝีเท้าที่ดูเหมือนว่าจะมีคนมากมายมุ่งตรงมายังห้องของเธอ แผ่นหลังหลั่งเหงื่อเย็นอย่างเงียบงันเมื่อตนจะต้องสวมบทบาทของบุตรสาวของจวนท่านแม่ทัพแห่งนี้ ในสมองประมวลผลเร็วรี่ว่าตนควรทำเช่นไรดี เพราะนิสัยของทั้งสองคนต่างกันเหลือเกิน เธอที่ไม่เคยเข้าสังคมกับใคร ชอบอยู่ตัวคนเดียว กับ สาวน้อยร่าเริงที่เป็นที่รักของทุกคน เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายดาย เธอกลัวยิ่งนักว่าจะทำอะไรแปลกไปจนเกิดพิรุธให้อีกฝ่ายจับได้
“ลูกแม่!”
“ลูกสาวพ่อ!”
“น้องเล็ก!/น้องเล็ก!/น้องเล็ก!”
เฮือก!! เสียงที่ประสานกันเรียกเยว่กวางทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ทำให้คนบนเตียงซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แต่แล้วเมื่อเธอหันไปสบกับสายตาเป็นห่วงเป็นใยของทุกคนก็ทำให้เยว่กวางรู้สึกเหมือนได้รับน้ำทิพย์รดรินลงบนที่ดินอันแห้งแล้งก็ไม่ปาน มันช่างรู้สึกชุ่มชื่นจนดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยคลอไปด้วยน้ำตา และสุดท้ายเธอก็ปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ได้ เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความอบอุ่นที่อ่อนโยนนี้คือสิ่งใดกัน นักฆ่าไร้ใจเช่นเธอที่ชีวิตนึงอยู่แต่กับภารกิจลอบสังหาร แฝงตัว ความจริงใจใดๆ ไม่เคยมี ต้องเก็บสีหน้าและความรู้สึกส่วนตนฝังให้มิดจมลงไปยังส่วนลึกที่สุด เพราะถ้าเปิดเผยตัวตนแม้เพียงครั้งก็อาจจะส่งผลให้ภารกิจล้มเหลวหรือชีวิตตนดับสิ้นได้
“เป็นอะไรไปลูกรัก ทำไมร้องไห้เช่นนี้กัน” หลินซูฉีรีบลงไปนั่งใกล้ๆ ก่อนจะรวบร่างบอบบางนุ่มนิ่มของบุตรสาวเข้ามากอดอย่างปลอบประโลม
“ยังเจ็บตรงไหนรึเปล่าลูก พ่อบ้านหม่า รีบไปตามหมอมาเร็วเข้า!” ซ่งหนิงเฉิงเอ่ยกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันไปสั่งการพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจ จนบ่าวรับใช้ที่รออยู่หน้าห้องรีบก้มหน้ามองพื้นกันจ้าละหวั่น
“หรือเจ้ารู้สึกแย่ตรงไหน รีบบอกพี่ใหญ่มาได้เลย พี่ใหญ่จะรีบให้คนไปต้มยาให้” ซ่งเยว่จวนเอามือลูบหัวน้องสาวคนเล็กอย่างเอ็นดู เห็นน้องน้อยของตนร้องไห้เช่นนี้ตนยิ่งปวดใจนัก
“อย่าร้องไปเลยนะคนเก่งของพี่ เดี๋ยวพี่รองเด็ดดอกไม้มาประดับจวนเจ้าเพิ่มดีรึไม่ ดอกไม้ในสวนบ้านเราบานสะพรั่งสวยงามทั้งนั้นเลย” ซ่งซ่งเยว่ส่างหาของมาหลอกล่อน้องสาวตนให้อารมณ์ดีขึ้น
“รึว่าเจ้าจะฝันร้ายใช่หรือไม่ ให้พี่สามมานอนกอดเจ้าดีหรือไม่ รับรองถ้าเจ้านอนกอดพี่สาม เจ้าจะต้องฝันดีแน่นอน!!” ซ่งเยว่เล่อเสนอตัวให้น้องน้อยทันที พร้อมการันตีว่าแค่เพียงได้กอดตนน้องสาวต้องฝันดีแน่….ก่อนจะเหงื่อตกเมื่อได้รับสายตาพิฆาตมาจากบรรดาท่านพ่อและพี่ๆ ของตน
“คิกๆ ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ แค่เห็นหน้าพวกท่านแล้วรู้สึกคิดถึงพวกท่านมากๆ เลยเจ้าค่ะ” เยว่กวางหัวเราะเสียงใส เพราะทันทีที่เธอพบกับประกายอ่อนโยนและอบอวลไปด้วยความรักของพวกเขา มันก็ทำให้เธอตัดสินใจได้ทันทีว่า ‘เธออยากอยู่กับคนเหล่านี้ เหล่าบุคคลที่มอบความอบอุ่นให้กับหัวใจของเธอ ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเขาคือครอบครัวของเธอ!”
“ต้องเช่นนี้สิน้องสาวของพี่ น้องเหมาะกับรอยยิ้มที่สุดเลยรู้หรือไม่” ซ่งเยว่เล่อเอ่ยบอกด้วยร้อยยิ้มกว้าง เขาชอบรอยยิ้มของน้องสาวที่สุด
“ใช่แล้วลูกพ่อ ใบหน้าของเจ้าไม่เหมาะกับน้ำตาหรอกนะ” ซ่งหนิงเฉิงโน้มตัวลงไปหาบุตรสาว พร้อมยื่นมือหยาบกร้านจากการจับอาวุธปาดน้ำตาให้เบาๆ
“เจ้าค่ะ! ลูกจะไม่ร้องแล้ว” เยว่กวางยิ้มรับ
“ไหนดูซิ เด็กดื้อของแม่ยังเจ็บป่วยตรงไหนอยู่หรือไม่ พ่อกับแม่และพี่ๆ ของเจ้าเป็นห่วงเจ้ามาก” หลินซูฉีจับบุตรสาวพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อเช็คร่างกายของอีกฝ่าย จนเยว่กวางถึงกับตาลายไปหมด
“ท่านแม่! ใจเย็นก่อนเถิดขอรับ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว จับเยว่เยว่เช่นนั้นน้องคงเวียนหัวแย่” ซ่งเยว่จวนเอ่ยบอกมารดาให้หยุดมือก่อนที่น้องสาวของเขาจะอาการป่วยกับเริบเพราะโดนหมุนไปมา คนเป็นแม่ได้ยินก็ขว้างค้อนขนานใหญ่มาให้ เจ้าตัวน้อยได้ยินชื่อเรียกของตนจากพี่ชายคนโต ก็ทำให้ตนนึกได้ว่าถึงบ้านนี้จะมีคำว่าเยว่อยู่ในชื่อของทุกคน แต่เพราะเป็นที่เอ็นดูที่สุดของบ้าน เธอจึงมีชื่อเล่นที่ทุกคนเรียกกันว่า เยว่เยว่
“ท่านแม่ให้เยว่เยว่นอนพักลงก่อนเถิดขอรับ จะได้ถามไถ่อาการกัน” บุตรชายคนรองของบ้านเอ่ยด้วยท่าทีเหนื่อยใจกับท่าทางดั่งแม่เสือของมารดา ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังคงท่าทางเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ขออภัยขอรับ” เสียงแหบชราของท่านหมอเอ่ยเรียกอยู่ด้านหลัง ทำให้บรรดาแขกในห้องคนป่วยหันไปมองเป็นตาเดียว
“ท่านหมอ เชิญทางนี้เลยขอรับ น้องสาวของข้าอยู่ตรงนี้” ซ่งเยว่เล่อแย้มยิ้มยินดีที่ท่านหมอมาตรวจอาการน้องสาวตนเสียที เมื่อท่านหมอนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างเตียงที่สาวใช้นำมาให้แล้ว จึงยื่นผ้าบางสีขาวไปวางบนข้อมือของคนบนที่นอน
“อืม” หมอชราขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อจับชีพจร ก่อนจะละมือออก
“ตอนนี้คุณหนูซ่งมีอาการเช่นไรบ้างขอรับ” ท่านหมอเงยหน้ามาสอบถามอาการคนไข้เพิ่มเติม เพื่อที่จะได้วินิจฉัยได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
“เอ่อ ตอนนี้ข้ารู้สึกปวดหัวเจ้าค่ะท่านหมอ แล้วก็ปวดร้าวไปทั้งหลังด้วยเจ้าค่ะ” เยว่กวางทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“อืม…จากการตรวจชีพจรและฟังอาการ ข้าคิดว่าเป็นผลตกค้างจากการโดนพิษนะขอรับท่านแม่ทัพ แต่ที่น่าแปลกใจคือ เมื่อครั้งก่อนที่ข้ามาตรวจนั้น พิษได้เข้าสู่ร่างกายจนกัดกินอวัยวะภายในบางส่วนแล้ว แต่ตอนนี้คุณหนูซ่งกลับดูเหมือนว่าได้รับการขับพิษออกไป และเหลือแค่อาการตกค้างเท่านั้น ทานยาสัก 3-4 เทียบ พักผ่อนอีกสักหน่อย ร่างกายก็กลับมาปกติแล้วขอรับ” หมอชราเอ่ยบอกก่อนจะหันไปเขียนเทียบยาให้กับพ่อบ้านหม่า
“ถ้าเช่นนั้นน้องสาวข้าก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วใช่หรือไม่ท่านหมอ” ซ่งเยว่จวนเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อหันไปสบตากับบิดา
“ใช่แล้วขอรับท่านรองแม่ทัพ” หมอชราเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
เอ่อ เธอลืมไปเลยว่าพี่ชายคนโตของเธอเป็นถึงรองแม่ทัพเพื่อเจริญรอยตามท่านพ่อ แต่พี่ชายทั้งสองกลับเลือกที่จะทำการค้าแทน ถ้าให้เธอวิเคราะห์ล่ะก็ คงไม่พ้นเกมการเมืองแน่นอน ตระกูลที่มีอำนาจมากเกินไปก็มีแต่ภัยรอบตัว เท่านี้บ้านเธอก็แทบจะถูกจับตาทุกฝีก้าวแล้ว
“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว ขอบคุณท่านหมอมาก พ่อบ้านหม่าตบรางวัลและไปส่งท่านหมอด้วย” ท่านแม่ทัพซ่งหนิงเฉิงขอบคุณหมอชราก่อนจะหันไปสั่งการกับพ่อบ้าน เมื่อท่านหมอออกไปแล้วจึงให้บ่าวไพร่แยกย้ายไปทำงานให้หมด ไม่ต้องอยู่รอ ก่อนจะปิดประตูมิดชิดแล้วหันมาหาบุตรสาว
.......................................................................................