ตอนที่ 3 ต่างก็เยียวยาหัวใจกัน
เฟยเทียนนั่งมองผ้าเช็ดหน้าที่มัดอยู่บนหัวเข่าตัวเอง เขายังจำสัมผัสของมือแม่ได้อยู่เลย แม่ทำแผลให้เขาด้วยละ มือนิ่มมากจนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด ตั้งแต่เกิดมาเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกหรือเปล่านะที่แม่ไม่ด่า และยังช่วยทำแผลให้อีกด้วย ริมฝีปากเด็กชายโค้งขึ้น สักเดี๋ยวก็หุบลง มือทั้งสองเดี๋ยวกำเดี๋ยวปล่อยทั้งตกใจ ทั้งดีใจ และก็กลัว กลัวว่ามันจะเป็นเพียงความฝันเท่านั้น หากตื่นมาก็ยังเป็นเขาที่ต้องทำแผลเองดูแลตัวเองเหมือนเดิม อาการของเฟยเทียนแสดงออกมาจนเฟยหงขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย พี่ชายเจ็บแผลจนบื้อไปแล้วหรือ
"อาเทียนเป็นอะไร เดี๋ยวร้องเดี๋ยวยิ้มอยู่ได้ นายเจ็บแผลมากเลยเหรอ เดี๋ยวฉันจะไปต้มยาให้นะ" เฟยเทียนสะดุ้งเฮือกขึ้นมา พร้อมกับอาการเก้อเขิน ใบหน้าเล็ก ๆ พยายามปั้นขรึมให้ดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่เหมือนที่เขาชอบทำมาเสมอ เด็กชายเชิดหน้าขึ้นพลาง ตอบแฝดน้อง
"ใครร้องกัน...พี่เป็นผู้ชายไม่ร้องไห้หรอก" เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าจะร้องไห้ ไม่ยอมรับก็ช่างเธอไม่สนหรอกคนปากแข็ง เฟยหงคว่ำปากลงก่อนจะแอบมองไปที่บาดแผลนั้น ในใจก็นึกเป็นห่วงยิ่งนัก เธอยกมือไปขยับเก้าอี้ออกมาแต่สายตายังคงสอดส่อง สอดไม้กวาดไปที่ใต้โต๊ะกวาดเศษฝุ่นออกมา เสร็จแล้วก็ดันกลับเข้าไปใหม่ และกวาดไปกองรวม ๆ กัน จากนั้นก็เดินไปหยิบที่โกยมากวาดใส่ และขยับไปกวาดที่อื่น จนทั่วห้อง
เฟยเทียนถูกสั่งห้ามไม่ให้เดินมาก จึงได้แต่นั่งมองน้องสาวทำงาน ในใจก็รู้สึกผิด เขาเป็นพี่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนในบ้าน จะนั่งขี้เกียจอยู่ได้ยังไง เด็กชายขยับตัวลงจากเตียง ทว่าเพียงแค่ขาสัมผัสพื้น ก็นิ่วหน้าขึ้น ไม่คิดว่าบาดแผลเล็ก ๆ จะเจ็บได้ถึงขนาดนี้
"อาหงมานี่พี่กวาดเอง เธอไปเอาผ้ามาเช็ดฝุ่นเถอะ แม่บอกให้เปิดหน้าต่างไล่กลิ่นอับด้วย หรือในบ้านเราเหม็นนะ"
"ไม่ต้องหรอกอาเทียน เอ๊ะ!!!...นั่งลงไปเดี๋ยวนี้นะ!!!... แม่บอกให้นายนั่งเฉย ๆ ไม่ใช่เหรอ แผลที่หัวเข่าลึกระวังเถอะ มันจะไม่หาย ถึงตอนนั้นถูกตัดขาทิ้งขึ้นมา ได้เป็นคนพิการแน่ แล้วนั่นนายยังเจ็บอยู่หรือเปล่า" เฟยเทียนได้ยินแบบนั้นก็ตื่นตระหนกรีบนั่งลงไปเหมือนเดิม ทว่าริมฝีปากเล็กก็แค่นเสียงหัวเราะขึ้นมา กลบเกลื่อนความเจ็บและความกลัว ปิดบังไม่ให้น้องสาวรู้ เขาเป็นพี่ชายจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด
"เฮอะ!!!...ลูกผู้ชายเจ็บไม่เป็นหรอกนะ พี่ไม่ใช่ผู้หญิงเสียหน่อย แผลเล็ก ๆ ไกลหัวใจไหนเลยจะเจ็บได้" ซูฮุ่ยหมิงได้ยินสองพี่น้องโต้ตอบกันตั้งแต่หน้าประตูแล้ว เธออดจะเอ็นดูไม่ได้ คนหนึ่งก็อ่อนโยนไร้เดียงสา อีกคนก็แข็งแกร่งเหลือเกิน แต่ดูแล้วทั้งสองก็หลอมรวมเข้ากันอย่างลงตัว
"จ้า ๆ คนเก่งของแม่ เสี่ยวเทียนเก่งที่สุด ไม่เจ็บสักนิดเลยใช่ไหมล่ะ เสี่ยวหงหนูว่าพี่ชายหนูเก่งไหมจ๊ะ" ไม่รู้ว่าแม่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินเขากับน้องสาวพูดไปถึงไหน เฟยเทียนที่เพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่กลับก้มหน้าลง ใบหูแดงก่ำเขินอายจนไม่กล้าสบตา ซูฮุ่ยหมิงยิ้มขำออกมา เฮ้อ...ทำไมเด็กคนนี้มันน่ารักได้ขนาดนี้นะ
"เก่งค่ะอาเทียนเก่งที่สุด แต่แม่คะแล้วหนูไม่เก่งเหรอคะ หนูก็ทำงานบ้านได้เหมือนกันนะ" เฟยหงก้มหน้ากำชายเสื้อตนเอง เสียงแง่งอนจนคนเป็นแม่อ่อนใจ
ซูฮุ่ยหมิงยกถาดใส่อาหารไปวางบนโต๊ะ เธอเดินไปดึงไม้กวาดที่มือลูกสาวออก และอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาแล้วไปนั่งข้าง ๆ เฟยเทียนที่นั่งเกร็งอยู่บนเตียง หญิงสาวยื่นมือไปโอบลูกชายมาซบหน้าอก โดยที่ยังมีลูกสาวนั่งอยู่บนตัก ฮุ่ยหมิงกดหัวลูกสาวให้ซบลงที่ซอกคอ ทั้งเฟยหงและเฟยเทียนต่างก็ตกใจจนตัวแข็ง ไม่กล้ากระดุกกระดิก เด็กน้อยกลั้นหายใจกลัวว่า หากเผลอหายใจแรง ๆ อ้อมกอดอุ่น ๆ นี้จะหายไป แม่จะผลักทั้งคู่ออก และบ่นว่าอึดอัดไม่ชอบให้กอดเหมือนทุกครั้งที่เด็ก ๆ กอดแม่ ซูฮุ่ยหมิงมือสั่นจนปวดใจ เธอสูดลมหายใจเข้า เกลียดชังแม่แท้ ๆ ของทั้งคู่เป็นอย่างมาก เลวร้ายขนาดไหนกัน แม้แต่กอดลูก ลูกยังกลัวขนาดนี้
"หนูก็เก่งจ้ะ เสี่ยวหงกับเสี่ยวเทียนของแม่เก่งที่สุดเลย และแม่ก็รักพวกหนูที่สุดเลยด้วย" ซูฮุ่ยหมิงรับรู้ถึงแรงสั่นจากร่างกายของเด็กทั้งสอง เธอกระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้น ก้มลงไปจูบที่กลางหัวของเด็กทั้งสอง พลางขยับตัวอุ้มเฟยหงลงไปนั่ง และตนเองก็ลงไปคุกเข่าตรงหน้าลูก ๆ ทั้งสอง ดึงมือทั้งคู่มากุมเอาไว้ สองมือเล็กหนึ่งมือใหญ่ประสานเป็นหนึ่ง กลิ่นอายความรัก ความอบอุ่นกระจายไปทั่วบ้าน
"เสี่ยวเทียน เสี่ยวหง เมื่อก่อนแม่เอาแต่เสียใจเพราะพ่อของลูกจากไปกะทันหัน ทำให้แม่ตั้งตัวไม่ทัน แม่ปล่อยให้ความเสียใจทำร้ายทั้งตัวเองและพวกลูกๆ หลังจากที่แม่หลับไปสองวัน แม่คิดได้แล้วจ้ะ แม่เกือบจะตายไปแล้ว โชคดีที่พ่อของลูกพาแม่กลับมาส่ง ที่ผ่านมาแม่ขอโทษนะ พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีไหม" เพราะไม่รู้จะพูดยังไง จึงได้อ้างถึงปู้อันผัวเก่าของร่างนี้ขึ้นมาอย่างนั้น หากเธอเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เด็ก ๆ อาจจะสงสัย
"แม่คะ...เฟยหงไม่โกรธแม่ หนูรักแม่ค่ะ รักที่สุด"
"ผม...อึก...ผมก็รักแม่ พวกเราไม่เคยโกรธแม่เลย แม่อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ อย่าร้องไห้เลย พวกเรารักแม่" คนที่บอกไม่ให้แม่ร้องไห้ แต่ตัวเองกลับน้ำตาไหลอาบแก้ม ซูฮุ่ยหมิงโอบกอดเด็กทั้งสองเอาไว้ เฟยหงกับเฟยเทียนก็กอดแม่ของเขาเช่นกัน สามคนแม่ลูกต่างก็ร้องไห้กันออกมา ทว่าน้ำตาในครั้งนี้ เป็นน้ำตาแห่งการปลดปล่อย และเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริง และเธอขอสาบานว่า ชีวิตนี้เธอจะทำให้ความเป็นอยู่ของลูก ๆ ดีขึ้นให้ได้
เฟยเทียนกับเฟยหงดีใจที่แม่บอกรัก และยังกอดพวกเขาอีกด้วย ส่วนซูฮุ่ยหมิงก็ร้องไห้เพราะความสงสาร และนอกจากนั้น เธอยังเริ่มหลงรักทั้งคู่จากใจจริง เธอไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นกับเด็ก ๆ ยังไง หากเธอเปลี่ยนไป เฟยหงอาจจะไม่รู้ แต่เฟยเทียนย่อมรู้แน่ อย่าได้ดูถูกว่าเขายังเด็กเชียว เท่าที่เธอเห็น เด็กคนนี้ทิ้งความเป็นเด็กไปหมดแล้ว น่าสงสารเหลือเกิน อายุน้อยเพียงเท่านี้ แต่กลับมีความรับผิดชอบยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก
"เอาละ ๆ อย่ามัวร้องไห้กันอยู่เลย แม่ต้มบะหมี่มาให้ลูก ไปกินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย" หญิงสาวจูงมือลูกทั้งสองไปนั่งบนโต๊ะ แจกจ่ายบะหมี่ออกไปตรงหน้าของเด็ก ๆ คนละถ้วย ของเธอเองอีกหนึ่งถ้วย
กลิ่นหอมของน้ำซุปโชยเข้าจมูก เมื่อสักครู่ไม่ทันได้กลิ่น ทว่าเมื่อใจปลอดโปร่งแล้ว จมูกกลับไวนัก เฟยหงทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับน้ำลายที่หยดลงบนหลังมือตนเอง เฟยเทียนเห็นอย่างนั้นก็เบ้หน้าอย่างรังเกียจ
"อาหงเธอเป็นผู้หญิงหรือเปล่า น่ารังเกียจเสียจริงเช็ดน้ำลายหน่อยเถอะ"
จ๊อก!!!...
ทว่าคนที่ต่อว่าน้องสาวว่าน่ารังเกียจ ท้องน้อย ๆ ก็กลับส่งเสียงประท้วงขึ้นมา เด็กชายก้มหน้าลงจนปลายคางชิดหน้าอก ทั้งหน้าและหูแดงก่ำจนแทบไหม้ เฟยหงเบิกตาขึ้นก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
"ฮ่า ๆ ๆ ว่าแต่ฉัน นายเองก็หิวใช่ไหมล่ะอาเทียน" ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะของน้องสาว คนเป็นพี่ก็ยิ่งก้มหน้าลงไปมากกว่าเดิม
"ฮ่า ๆ ๆ ลูกทั้งสองนี่ตลกจริง ๆ เอาละ ๆ เสี่ยวหงอย่ามัวแต่หยอกล้อพี่ชายหนูเลย เสี่ยวเทียนก็เลิกอายได้แล้ว มากินกันดีกว่า ตอนนี้บ้านของเราไม่มีของกินดี ๆ หลงเหลืออยู่เลย แม่ค้นหาของกินได้เท่านี้ ลูกกินไปก่อนนะ เอาไว้ให้แม่หาทางได้ แม่จะทำของอร่อย ๆ ให้ลูกกิน"
เฟยเทียนกับเฟยหงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ไม่ว่าแม่จะทำอะไร พวกเขาก็พร้อมที่จะเชื่อฟัง และทำตามทุกอย่าง ซูฮุ่ยหมิงเห็นเด็ก ๆ พยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวเปลือกก็หัวเราะจนน้ำตาคลอ ทำไมเด็กสองคนนี้จึงน่ารักได้ขนาดนี้ และที่สำคัญเด็กที่น่ารักขนาดนี้ เป็นของเธอแล้ว
"กิน ๆ ลองชิมสิ ฝีมือแม่จะถูกปากลูก ๆ หรือเปล่า" เด็กน้อยต่างก็คีบบะหมี่เข้าปาก ทันทีที่เส้นลื่นไหลเข้าไป ทั้งคู่ก็เบิกตาขึ้น พร้อมกับน้ำตาที่ฉ่ำคลอ ทั้งคู่พร้อมใจกันยกถ้วยขึ้นมา คีบเข้าปากอย่างรวดเร็ว ซดน้ำซุปดังอึก ๆ ท่าทางสีหน้าและแววตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน สมกับที่เป็นฝาแฝดกันจริง ๆ ต่อให้ไม่มีคำพูดใดสักคำ ดูจากการกระทำก็รู้ว่าพวกเขาชอบบะหมี่ของแม่มากแค่ไหน คนเป็นแม่มือใหม่อย่างเธอ ตื้นตันไปทั้งใจ ถึงแม้ในชามจะเป็นเพียงบะหมี่น้ำใสกับผักไม่มีแม้แต่เนื้อสักชิ้นก็ตาม เด็ก ๆ ก็ยังชอบมากขนาดนี้
"กินช้า ๆ หน่อย ระวังติดคอนะ ไม่ต้องรีบ ๆ ถ้าไม่อิ่มแม่จะทำเพิ่มให้" ซูฮุ่ยหมิงยิ้มออกมา นั่งเท้าคางมองลูกของเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย ชีวิตนี้ไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว อย่างน้อย ๆ เธอก็ยังมีเด็กทั้งคู่ ไม่ใช่เพียงเด็ก ๆ ที่ต้องพึ่งพิงเธอ เธอเองก็เอาทั้งคู่เยียวยาหัวใจเช่นกัน เอาเถอะชีวิตที่นี่ก็ไม่แย่ไปเสียทีเดียว อย่างน้อย ๆ เธอก็มีลูกที่น่ารักอย่างนี้