“ห้าววว ไหนเขาบอกว่าไม่อยากทานข้าวเช้าไงคะ”
“ง่วงก็ไปนอนต่อไป ป้าทำเองได้ ไม่ทานข้าวเช้าแสดงว่าไม่ทานข้าวแต่ทานอย่างอื่น”
“ห๊ะ? โอ้ววว จะพูดให้งงทำไม แค่บอกว่าจะกินอะไรก็จบละ”
“ป้าบอกกี่ครั้งแล้ว เฮ้อ จริงๆเลย”
วันต่อมา พริมาที่เดินงัวเงียมาที่ห้องครัวหลังจากได้ยินเสียงป้าจันทร์ฉายเปิดปิดประตูห้อง ทีแรกว่าจะข่มตานอนต่อแต่ด้วยสามัญสำนึกทำให้เธอบอกลาที่นอนแล้วเดินตามออกมา
“แล้วจะทำอะไรคะ?”
“ก็แค่ขนมปังปิ้งกับกาแฟ”
“งั้นขอให้พริมด้วยนะคะ ฝีมือป้าอร่อยที่สุดเลย”
และคนเป็นป้าก็ต้องยิ้มกว้างกับคำชมของหลานสาว เมื่อเธอมีหลานสาวแค่คนเดียวหลังจากตัดสินใจจะไม่แต่งงาน น้องสาวของเธอก็เลยชอบเอาลูกมาให้ช่วยเลี้ยงจนพริมาเปรียบเสมือนลูกสาวเธอเลยก็ว่าได้
“อ่าว ไปไหนซะละ หรือว่ายังนอนไม่ตื่น เด็กสมันนี้น้า นอนตื่นสาย”
พอเดินมาที่โต๊ะอาหาร คาลวินที่ไม่เห็นพริมาเลยพูดออกมาแบบนั้น
“ไม่ตื่นที่ไหนล่ะคะ โน่น นั่งกินขนมปังอยู่ในครัวโน่น บอกว่ายืนนานปวดขาเลยขอนั่งกินรอค่ะ”
ป้าจันทร์ฉายบอกขึ้นอย่างนึกเอ็นดู เพราะปกติคาลวินไม่สนใจอะไรแบบนี้ แต่ดูท่าเจ้านายของเธอจะไม่ลงรอยกับหลานสาวตัวดีเข้าให้แล้ว
ส่วนคาลวิน พอได้ยินแบบนั้นก็อดไม่พอใจไม่ได้ มีที่ไหนกินข้าวก่อนเจ้านายอย่างเขาแบบนั้น
“เธออายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“ปีนี้ก็ 23 แล้วค่ะ ปีหน้าก็จบมหาลัยแล้ว เห็นแบบนั้นได้ที่หนึ่งตลอดเลยนะคะ”
คนเป็นป้าอดชื่นชมในตัวหลานสาวไม่ได้ ส่วนคาลวินก็นั่งกินเงียบๆ เมื่อเขาต้องทนเห็นเธอไปอีกตั้ง 3 เดือนโดยพูดหรือทำอะไรไม่ได้ เมื่อเธอเป็นหลานสาวของป้าจันทร์ฉาย คนที่เขาเคารพไม่ต่างจากญาติคนหนึ่ง
“เฮ้อ อยู่บ้านใหญ่ๆแบบนี้ก็ดีนะ เงียบดี ไม่ได้ยินเสียงเพื่อนบ้านโวยวาย ไม่ได้ยินเสียงหมาเห่าด้วย...”
หลังจากกินจนอิ่มหนำสำราญ พริมาก็เริ่มทำงานด้วยการหยิบผ้าพร้อมน้ำยาเช็ดทำความสะอาดเดินถูๆเช็ดๆไปรอบๆบ้านทั้งๆที่มันก็ไม่ได้สกปรกแต่เธออยากสำรวจเลยหาข้ออ้างเข้ามาทำงาน โดยไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าของบ้านกำลังนั่งมองเธอจากห้องหนังสือของเขา ที่เป็นห้องกระจกมองเห็นแทบทั้งบ้านแต่เธอคงไม่รู้เพราะไม่เคยเข้ามาข้างในนี้อย่างแน่นอน
และมันก็มักจะเป็นแบบนี้แทบทุกวัน คาลวินเฝ้ามองพริมาที่มือเช็ดแต่สองตากลับสอดส่องอย่างอยากรู้อยากเห็น บางครั้งเธอก็เต้น บ้างครั้งก็เหมือนร้องเพลงจนเขานึกขำกับความก๋ากั่นอันไม่มีที่สิ้นสุดของเธอ
“อายุ 23 จริงๆเหรอ นึกว่า 5 ขวบซะอีก...”
เขาพูดขึ้นพร้อมกับมองจ้องร่างเล็กที่กำลังเต้นพร้อมกับถือไม้กวาดเหมือนกำลังอยู่บนเวทีก็ไม่ปาน
“นี่! เธอเป็นใคร สาวใช้คนใหม่เหรอ? แล้วคาลอยู่บ้านรึเปล่า?”
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับไม้กวาด เสียงดังอันแสบแก้วหูก็ดังขึ้น พริมารีบดึงสติกลับมาแล้วหันไปมองแขกของบ้านหลังนี้ทันที
“คะ? เอ่อ น่าจะ...อยู่มั้งคะ”
พริมาบอกขึ้น เพราะเธอไม่รู้ว่าคาลวินอยู่บ้านหรือเปล่า เธอแทบไม่เคยเห็นเขาโผล่ตัวออกมาเลยสักครั้ง
“นี่! เป็นคนใช้ภาษาอะไรไม่รู้ว่าเจ้านายอยู่หรือไม่อยู่ เดี๋ยวจะบอกให้ไล่ออกเลยนี่!”
ต่อว่าเสร็จเธอก็เดินตรงไปที่บันไดบ้านแล้วขึ้นไปโดยไม่สนใจหน้าตาอันมึนงงและสับสนของพริมาเลยสักนิด
“อะไรกัน แฟนใหม่ของอีตานั่นเหรอ? ดูไม่เห็นเหมาะสมกันเลย”
พริมามองตามอย่างนึกสงสัย เมื่อสาวเจ้าดูเจ้าอารมณ์แถมยังแต่งตัวเปรี้ยวซะจนเข็ดฟันขนาดนั้น
“ใครมาล่ะ เสียงดังไปหลังบ้านเลย”
ป้าจันทร์ฉายที่ได้ยินเสียงรีบเดินออกมาดู
“ไม่รู้สิป้า เดินขึ้นไปบนบ้านแล้ว”
พริมาบอกขึ้น
“หรือว่าคุณรสา...”
“ใครเหรอ?”
“เธอเป็นพี่สาวของคุณนาริน ภรรยาที่พึ่งเสียไปของคุณคาลน่ะ ถ้าเธอมาก็หลบๆหน่อย เดี๋ยวเธอเหวี่ยงใส่”
พริมาไม่อยากบอกเลยจริงๆว่าถูกเหวี่ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็พอรู้มาบ้างว่าภรรยาของคาลวินพึ่งเสียไปไม่นาน แล้วทำไมพี่สาวภรรยาถึงมาที่นี่อีกล่ะ หรืออาจมีปัญหากันอยู่
“คาล คุณเป็นยังไงบ้างคะ เห็นว่าไม่เข้าบริษัทสาเป็นห่วงเลยเข้ามาดู”
พอเดินขึ้นไปชั้นสอง รสาก็เจอร่างสูงยืนมองเธออยู่ เมื่อเขาเห็นตั้งแต่เธอเดินเข้ามาและอาละวาดใส่พริมาแล้ว
“อยู่ในช่วงไว้อาลัย...คุณไม่ควรใส่ชุดสีแดงแบบนี้ทั้งๆที่น้องสาวคุณพึ่งเสียไป”
คาลวินตำหนิออกมาอย่างไม่คิดไว้หน้า เมื่อรสาไม่เคยสนใจอะไรหรือใครอยู่แล้วนอกจากตัวของเธอเอง
“เอ่อ...ก็สามีงานนี่คะ จะให้ใส่แต่สีดำคงเบื่อแย่”
รสาบอกขึ้น เมื่อความเสียใจของเธอหมดลงตั้งแต่วันลอยอังคารของนารินแล้ว แถมบางทีเธอยังคิดว่าอยู่ไปก็ทรมานกับโรคที่เป็นอยู่ ตายไปก็อาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ
“เห็นแล้วนี่ว่าผมสบายดี”
“ค่ะ สาดีใจนะคะที่คุณไม่ได้เสียใจ เอ่อ หมายถึงตรอมใจ”
คาลวินมองผู้หญิงตรงหน้า ที่พยายามหาข้ออ้างมาที่บ้านหลังนี้ทั้งๆที่น้องสาวของเธอก็จากไปแล้ว เพราะก่อนหน้าที่นารินยังอยู่เธอก็เอาน้องสาวมาอ้างเพื่อจะมาที่นี่ แล้วตอนนี้เธอจะเอาเรื่องอะไรมาอ้างอีกล่ะ เขาอยากรู้จริงๆ
“ผมสบายดี คุณกลับ...”
“สาอยากทานข้าวเย็นกับคุณ...นะคะ ให้สาทานข้าวเป็นเพื่อน”
“ก็ตามใจ แต่อีกชั่วโมง คุณจะกลับแล้วค่อยมาใหม่ก็ได้นะ”
“ไม่ค่ะ สาคิดถึงริน ขอสาเข้าไปรำลึกถึงรินในห้องของน้องได้ไหมคะ?”
“อืม ตามสบาย”
พูดเสร็จ คาลวินก็เดินกลับเข้าไปในห้องหนังสือ ส่วนรสา เธอมองคาลวินอย่างมาดหมาย เมื่อตอนนี้เขาถือว่าโสดแล้ว เธอก็คงมีสิทธิ์และคงไม่ผิดถ้าเธอจะเข้ามาแทนที่น้องสาวของเธอหลังจากที่พยายามมานานแล้ว
“ริน พี่ขอคาลนะ พี่รักคาลและพี่ก็สัญญาว่าจะดูแลและปรนนิบัติเขาให้ดี”
พอเดินเข้ามาในห้องนอนของนาริน รสาก็เดินไปหยิบรูปของน้องสาวขึ้นมาแล้วพูดขึ้น เธอเคยนึกอิจฉานารินมาโดยตลอดที่ได้แต่งงานกับคาลวิน ถ้าตอนนั้นเธอยอมตกลงที่จะแต่งงานตามความต้องการของบิดามารดา ป่านนี้ชีวิตของเธอคงมีความสุขไปแล้ว
รสาค่อยๆวางรูปของน้องสาวลงแล้วมองไปรอบๆห้องนอนที่เคยเป็นของนาริน ทุกอย่างยังคงวางเอาไว้เหมือนเดิมแม้กระทั่งแหวนแต่งงาน เธอค่อยๆหยิบมันขึ้นมาใส่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง
“หึหึ แกเหมาะที่จะอยู่กับฉัน ว่าไหม?”
เธอพูดออกมาพร้อมกับยิ้มชื่นชมแหวนวงสวย ก่อนจะเริ่มเดินสำรวจห้องของน้องสาว ที่แทบจะไม่มีเครื่องประดับตกแต่งอะไรอีก รสาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก็เจอเข้ากับเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด เมื่อนารินนั้นแทบไม่ออกจากบ้านไปไหน ไม่แต่งตัวเอาแต่ขลุกอยู่บ้านเหมือนคนรับใช้ก็ไม่ปานทั้งๆที่เป็นถึงภรรยาของเศรษฐีหนุ่มเชื้อเจ้าอย่างคาลวิน และน้อยคนนักจะรู้จักนารินเมื่อเธอไม่เคยถูกพาไปออกงานสังคมเลยสักงาน