Chapter 5 เลวอย่างที่คิด

1240 Words
“คิดไม่ถึงเลยนะคะว่าจะเจอปั้นที่นี่” พูดกับผมแต่สายตาเอาแต่มองเลยไปด้านหลัง “ว่าแต่มากับใครเหรอคะ” นี่สินะจุดประสงค์ที่เดินเข้ามาทัก เพราะอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่ผมพามาด้วย “ทับทิมค่ะ เป็นน้องสาวของพี่ปั้น” กะว่าจะไม่ตอบแล้วเดินหนี แต่ยัยหมูทิมกลับชิงบอกออกไปก่อน “จริงเหรอคะปั้น” ผมถอนหายใจให้ได้ยิน แสดงออกให้รู้ว่าไม่พอใจที่กำลังถูกซักไซ้ “แล้วมีเหตุผลอะไรให้ไม่ใช่ด้วยล่ะครับ” ถามกลับด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ผมกับกุ๊กกิ๊กเรียกคนรู้จักยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แค่คนที่เคยมีอะไรกันใช่ว่าเธอจะมีสิทธิ์มาถามผมแบบนี้ “กิ๊กแค่ถามเฉย ๆ ทำไมต้องทำหน้าดุด้วยล่ะคะ” คนตรงหน้าคงรับรู้แล้วว่าผมไม่สบอารมณ์ถึงได้เปลี่ยนท่าทีเป็นขี้เล่น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำเข้มใส่ราวกับว่าผมนอกใจมากับผู้หญิงคนอื่น “จะเดินต่อไหม” หันไปถามคนที่มาด้วยกัน ยัยลูกหมูมองผมสลับกับกุ๊กกิ๊กก่อนที่เจ้าตัวจะส่ายหน้า “งั้นกลับ” ไม่เสียเวลาบอกลาอีกคนเพราะผมไม่มีอารมณ์จะปั้นหน้า จะว่าผมใจร้ายก็ได้นะ แต่ผมไม่ชอบคนที่ไม่รู้สถานะตัวเองแล้วมาทำตัวให้คนอื่นเข้าใจผิด “พี่ปั้นใจร้ายมากเลยรู้ไหม” “เรื่องอะไร” ปรายตามองยัยเด็กชอบใส่ร้ายขณะกำลังขับรถออกจากมหา’ลัย “ก็เรื่องพี่คนเมื่อกี้ไงค่ะ ทิมมองออกนะว่าพี่เขาชอบพี่ปั้น” “แล้วยังไง” “ที่พี่เขาทำแบบนั้นเพราะหึงแหละค่ะ คงคิดว่าทิมเป็นกิ๊กพี่” “เธอไม่ใช่กิ๊ก” “คะ?” ยัยลูกหมูทำหน้างง จังหวะรถติดไฟแดงผมเลยเอี้ยวหน้าไปหา “ฉันยังไม่มีแฟนเพราะฉะนั้นเธอเลยเป็นกิ๊กฉันไม่ได้ อีกอย่างหน้าตาอย่างเธอ” ผมไล่สายตามอง “ฉันไม่เอามาเป็นกิ๊กให้เสียชื่อตัวเองหรอก” “ทิมก็ไม่เอาพี่ปั้นเหมือนกันแหละ คนอะไรเลวอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด” “เดี๋ยวปล่อยให้เดินกลับ” ยกมือตั้งท่าจะเขกมะเหงกลงไปยังหน้าผากเหม่ง ๆ แต่สัญญาณไฟจราจรกลับเปลี่ยนเป็นสีเขียวก่อนผมก็เลยไม่ได้ทำ “วันนั้นบอกให้พูดตรง ๆ เองหนิค่ะ ทิมเลยคิดอะไรก็พูดออกมาแบบนั้น” ยังกล้ามาทำสีหน้าล้อเลียนใส่ แม่ผมจะรู้ไหมนะว่าหลานสาวที่ท่านมองว่าเรียบร้อยทำตัวแสบกับผมขนาดไหน “แล้วที่บอกว่าฉันเลวอย่างที่คิดความหมายว่ายังไง” “คุณป้าเล่าให้ฟังว่าพี่ปั้นสาวเยอะแต่กลับยังไม่มีแฟน ทิมเลยเดาเอาว่าพี่ปั้นต้องเป็นคนที่ไม่คิดจะจริงจังกับใคร แค่คบเล่น ๆ พอเบื่อแล้วก็ทิ้ง แล้วเหตุการณ์วันนี้ก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ทิมเดาไว้นั้นถูกต้อง พี่ปั้นทำให้พี่คนนั้นรักแล้วก็ไม่ใยดี” “ไร้สาระ” ผมส่ายหน้าระอากับความคิดสุดบรรเจิด “ฉันกับกุ๊กกิ๊กเราไม่ได้คบกัน ระหว่างเราไม่มีสถานะ เป็นแค่คนที่เคยมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น แล้วตอนนี้ผลประโยชน์ที่ว่าก็จบลงไปแล้ว ดังนั้นกุ๊กกิ๊กไม่มีสิทธิ์มาทำเหมือนหึงหวงฉันต่อหน้าคนอื่น ทีนี้เข้าใจยังว่าทำไมฉันถึงหงุดหงิด” คนฟังพยักหน้า “ทิมเข้าใจค่ะ แต่ผู้หญิงอ่ะพี่ปั้น บางทีเขาตัดใจไม่ง่ายเหมือนผู้ชายหรอก” “แล้วยังไง ฉันต้องรับผิดชอบความรู้สึกคนอื่นเหรอ” ในเมื่อตกลงกันแล้วตั้งแต่ต้นว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นแค่เรื่องเซ็กส์ แล้วทำไมผมต้องสนใจคนที่จัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ด้วย ถ้าผมแคร์กุ๊กกิ๊ก ผมก็ต้องแคร์อีกหลายคนที่มีพฤติกรรมเดียวกับเธอ ซึ่งผมไม่เอาด้วยหรอก แค่คิดก็ปวดหัว “ว่าแต่เธอเถอะ ไม่มีแฟนรึไงทั้งวันไม่เห็นคุยโทรศัพท์” “ไม่มีค่ะ ทิมโดนแฟนนอกใจน่ะ” “โทษที” ไม่ได้ตั้งใจพูดจี้จุดยัยลูกหมู แค่ถามไถ่ไปอย่างนั้นไม่คิดว่าจะออกมารูปแบบนี้ ตลอดทั้งวันไม่เห็นคุยโทรศัพท์กับใครเลยนอกจากลุงยศกับน้าแววที่โทรมาตอนขนของเข้าห้องเสร็จผมก็เลยเกิดสงสัย “ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะทิมโอเค” “เหตุผลนี้รึเปล่าที่ทำให้ย้ายมาเรียนที่นี่” พ่อเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อนว่าตามเดิมแล้วทับทิมจะเรียนมหา’ลัยใกล้บ้านเพราะที่นั่นก็เป็นอันดับหนึ่งของแถบนั้น แต่ไม่รู้ยังไงเกิดเปลี่ยนใจตอนขึ้นมอหก ลุงยศเลยมาปรึกษาพ่อว่าจะให้เรียนที่ไหนดี พ่อเลยบอกว่ามหา’ลัยที่ผมเรียนอยู่ก็โอเค ถ้ายัยลูกหมูมาเรียนที่นี่พ่อจะฝากผมดูแลให้ ลุงยศเลยตกลงให้ยัยลูกหมูย้ายมาอยู่ไกลบ้าน “ก็ส่วนหนึ่งค่ะ มหา’ลัยนั้นทิมยื่นสอบกับแฟนเก่าแล้วบังเอิญว่าสอบติดเหมือนกัน พอเลิกกันทิมไม่อยากเห็นหน้าก็เลยลงสอบที่นี่แทน” “แล้วส่วนที่เหลือ?” “พี่ปั้นก็ชอบใส่ใจเรื่องคนอื่นเหมือนกันนะคะ” “คนอยู่ด้วยกันก็ต้องถามไถ่กันไหมล่ะ หรือจะเอาแบบที่เดินสวนไม่ต้องทักไม่ต้องมอง เอาแบบนั้นไหมจะได้จัดให้” “พี่ปั้นรู้จักคำว่าพอดีไหมคะ?” “ไม่ยอกย้อนสักเรื่องมันจะลงแดงใช่ไหม” คราวนี้ผมได้เขกมะเหงกยัยตัวดีสมใจเพราะมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้แววแล้ว “ทิมเจ็บนะ” ผมยิ้มพอใจมองคนที่ลูบหน้าผากตัวเองปอย ๆ “ก็ตั้งใจทำให้เจ็บจะได้จำ” แต่เชื่อเถอะว่าแค่นี้ทำให้ยัยลูกหมูหลาบจำไม่ได้หรอก พอหายเจ็บเดี๋ยวก็ปากดีใส่ผมอีก “กินอะไรสั่งเลย… เลี้ยง” “ป๋าจังเลยนะคะ” “หรือจะจ่ายเอง?” “ไม่เอาค่ะ ทิมต้องประหยัดเพราะที่บ้านไม่ค่อยมีตังค์” ถ้าบอกว่าบ้านยัยลูกหมูไม่มีเงิน บ้านผมคงไม่พ้นถูกเรียกว่าขอทาน ใครบอกว่าทำเกษตรแล้วจนผมเถียงขาดใจ เพราะบ้านลุงยศไม่เข้าข่ายคำนั้นเลยสักนิด ปีปีหนึ่งผมว่ารายได้ไม่น่าจะต่ำกว่าสิบล้าน อีกอย่างค่าครองชีพต่างจังหวัดก็ไม่สูง ทำงานที่นั่นอาจจะเงินเดือนน้อยกว่าที่นี่ แต่เงินเก็บคงมีมากกว่าเพราะแทบไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเลย ผักก็เก็บตามริมรั้ว ปูปลาก็หาได้ในนา ไม่เหมือนคนเมืองที่ขยับตัวทีมีแต่รายจ่าย “เป็นอะไร” โบกมือไปมาตรงหน้ายัยลูกหมูเมื่อเห็นว่าเอาแต่นิ่งไม่ยอมพูดยอมจา แถมยังเอาแต่มองไปยังโต๊ะทางด้านในที่มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ “พี่ปั้น” “ว่า” นั่งกันแค่นี้จะเรียกทำไมก็ไม่รู้ “พี่ปั้นคิดว่าทิมบ้าไหม ถ้าทิมจะบอกว่าเห็นแฟนเก่านั่งอยู่โต๊ะนั้น”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD